การทำตลาดบนสื่อออนไลน์ มองเผินๆ เหมือนง่าย จนทำให้กลายเป็นสื่อที่มาแรงถึงขนาดดับสื่อดั้งเดิมไปจนแทบหมดสิ้น ผมเป็นอีกคนหนึ่ง ที่เคยโลดแล่นอยู่บนสื่อดั้งเดิม

ด้วยการคว่ำหวอดกับการทำนิตยสารมานานกว่า 10 ปี ที่สุดแล้วก็โดนสื่อออนไลน์นี่แหละ สาดซัดซวนเซ กลายเป็นจบเห่ในธุรกิจจนแทบกระอักเลือด

ว่าแล้วก็ขอมาดูเสียหน่อยว่า เจ้าสื่อออนไลน์นี่มันมีไม้เด็ดอย่างไรหนอ จึงทำให้ผู้ประกอบการทั้งโลกหันมากระโจนเข้าใส่ แล้วนำไปคลุกเคล้าเร้าหรือกับธุรกิจอย่างเมามัน

ทว่า ในความง่าย จนใครต่อใครก็โดดมาเล่นทำให้หลายคนลืมไปว่า การทำการตลาดที่ดี ควรมีให้ครบทุกมิติ นั่นคือ ต้องทำควบคู่ไปทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ยุคนี้จึงมีไม่น้อยที่ผู้ประกอบการเมามันอยู่กับการทำตลาดบนสื่อออนไลน์เพียงอย่างเดียว

แล้วเอาเข้าจริงเจ้าคำว่า “ออนไลน์” นี้ก็ไม่ได้ส่งให้ทุกธุรกิจไปได้ถึงฝั่งฝัน อ่านมาถึงตรงนี้ท่านอาจจะเกิดคำถามว่า แล้วทีนี้ต้องเชื่อมสื่อออนไลน์ผสานกับออฟไลน์ย่างไรล่ะ ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด

วันนี้ผมขอใช้ประสบการณ์ หยิบยกข้อผิดพลาดที่หลายคนมักทำบนสื่อออนไลน์มาให้ดู ท่านก็ลองพิจารณาดูนะครับว่า การตลาดที่ท่านทำบนโลกออนไลน์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นเข้าข่าย 10 ข้อตามที่ว่านี้หรือเปล่า

ถ้ามีใกล้เคียงแม้แต่สักข้อเดียวล่ะก็ ท่านอาจจะต้องกลับปรับเปลี่ยนวิธีการทำตลาดเสียใหม่ เพราะถ้าเน้นออนไลน์มากไป อาจะเป็นผลร้ายกับแบรนด์ก็ได้นะครับ

5 ข้อผิดพลาด การทำการตลาด Online จนลืม Offline

1. สื่อสารทางเดียว จนไม่ได้ใส่ใจว่า ลูกค้าเป้าหมายคือใครกันแน่?

การสื่อสารบนโลกออนไลน์มีข้อดีตรงที่สื่อได้ถึงกลุ่มคนในวงกว้าง แต่จะมีประโยชน์อะไรหากการทำตลาดของท่านกว้างแบบไร้ทิศไร้ทาง ป่าวประกาศไปคนได้รับรู้ก็จริง แต่มันไม่เข้าเป้า เหมือนคนหลับตาชกมวย รัวๆ หมัดไป ยิ่งเร็ว ยิ่งแรง ยิ่งเหนื่อยเปล่า เพราะมองไม่เห็นคู่ชก สุดท้ายก็เหนื่อยลิ้นห้อย ทำคะแนนไม่ได้สักแต้มเดียว

ไม่ต่างจากคนทำการตลาดออนไลน์ที่สักแต่สื่อสารออกไป แต่ไม่ได้เรียนรู้เลยว่า จะสื่อให้ใครฟัง จะใช้ภาษาแบบไหน จะทำแคมเปญอย่างไร จะตั้งราคาเท่าไหร่ ฯลฯ ซึ่งถ้าเทียบกับการตลาดแบบออฟไลน์ อย่างการลงโฆษณาในนิตยสาร อย่างน้อยท่านก็ยังรู้ว่า

นิตยสารนี้ใครอ่าน เขามีไลฟ์สไตล์อย่างไร เหมาะกับสินค้าท่านหรือไม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าหรือบริการบางอย่าง เช่น ธุรกิจแบบ B2B ที่จะต้องใช้ทีมเซลส์ในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย หรือธุรกิจที่เน้นตลาดระดับล่าง ที่ชีวิตไม่อิงกับโลกออนไลน์จนกลายเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ท่านอาจจะสร้างBrand awareness และเข้าไปทำความรู้จักกับลูกค้าเป้าหมายด้วยวิธีการออฟไลน์ให้มากพอ แล้วค่อยๆ สานสัมพันธ์กับเขาต่อด้วยสื่อออนไลน์ด้วยซ้ำ

2. อะไรๆ ก็อ้างต้นทุนต่ำ

แน่นอนการทำตลาดออนไลน์ เมื่อเทียบกับออฟไลน์แล้วถือว่าใช้งบประมาณในระดับที่เบาหวิวมากๆ แต่ขออ้างอิงจากข้อผิดพลาดที่ 1 หากรัวหมัดออกไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้วยังพลาดเป้า ไอ้เจ้างบที่ดูว่าถูกแสนถูก อาจกลายเป็นแพงมโหฬารกว่าการจ่ายหนักแต่ก็ยังได้ยอดขายกลับมาเชยชม

อันที่จริงแล้วการวางโครงสร้างงบประมาณเพื่อทำการตลาดเป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกธุรกิจจำเป็นต้องมีแพลนว่าจะเทงบที่ไปออฟไลน์และออนไลน์ให้เป็นสัดส่วนมากน้อยเพียงใด เพื่อเป้าประสงค์อะไร หลังจากเทงบไปแล้ว ได้ลองวัดผลถึงความคุ้มค่าหรือไม่

เมื่อสรุปผลและวิเคราะห์ออกมาแล้ว ท่านอาจจะถึงบางอ้อว่า การตลาดแบบใดกันแน่ที่เป็นสูตรสำเร็จอันแสนจะลงตัวในธุรกิจของท่าน

3. ลุยตลาดกระจาย แต่ไร้ความน่าเชื่อถือ

การตลาดบนโลกออนไลน์ อาจทำได้ง่ายก็จริง แต่สิ่งที่ถือเป็นจุดอ่อนอย่างมากคือ การขาดความน่าเชื่อถือของแบรนด์และแม้จะรู้ว่านี่คือช่องโหว่ แต่น่าเสียดายที่ผู้ประกอบการหลายๆ ท่าน ไม่เคยมองหาวิธีที่จะอุดรอยรั่วนี้เลย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทุกธุรกิจจำเป็นจะต้องใส่ความน่าเชื่อถือลงไปให้ลูกค้าได้รับรู้ ให้เขาได้เห็นว่าท่านมีตัวตนและเข้าถึงได้ ซึ่งแน่นอนว่า

บางครั้งการทำการตลาดออนไลน์เพียงอย่างเดียว ไม่อาจตอกย้ำความรู้สึกเหล่านั้นให้เกิดขึ้นได้ในความคิดของผู้บริโภค จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ธุรกิจจะต้องแสดงความน่าเชื่อถือผ่านการทำตลาดบนโลกออฟไลน์บ้าง เช่น ออกงานอีเวนท์ หรือมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเป็นครั้งคราว รวมไปถึงผู้ประกอบการรายเล็กๆ ทั้งหลาย ที่มักจะทำให้สื่อออนไลน์เป็นพื้นที่สำหรับการขายของเพียงอย่างเดียว

บางแบรนด์ลูกค้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของธุรกิจเลยด้วยซ้ำ ซึ่งต้องยอมรับว่า การซื้อขายบนโลกออนไลน์ยังคงเป็นช่องทางการค้าที่ฉาบไปด้วยความเคลือบแคลงระแวงสงสัย ดังนั้นหากท่านยังไม่สามารถเพิ่มน้ำหนักในเรื่องของความน่าเชื่อถือได้ล่ะก็ ถือว่าท่านยังไม่ผ่านกับการทำตลาดออนไลน์ด้วยประการทั้งปวง

4. นำเสนอแต่คอนเทนท์จนกลายเป็นหุ่นยนต์

การตลาดในรูปแบบเก่า อย่างน้อยผู้ซื้อกับผู้ขายก็ยังได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ซึ่งความสัมพันธ์จากการได้พูดและฟังกันทั้ง 2 ฝ่าย บางทีก็หยั่งรากลึกจนกลายเป็น Brand royalty อันถือเป็นยอดปรารถนาของคนทำธุรกิจทุกประเภท

แล้วท่านล่ะ…เป็นผู้ประกอบการที่ทำตลาดออนไลน์โดย เน้นแต่การทำคอนเทนท์มากไป จนลืมโมเมนท์การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า จนทำให้ Brand royalty กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากไปรึเปล่า

การทำคอนเทนท์ดีๆ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่คนบนโลกออนไลน์จะละเลยไปไม่ได้ แต่ถ้าคอนเทนท์ถูกสื่อออกไปราวกับป้อนโปรแกรม ความแห้งแล้งโรยราในสายสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้า ย่อมเกิดตามมาอย่างช่วยไม่ได้

ดังนั้น จะเป็นการดีแค่ไหน หากท่านมีการบริการหลังการขายอย่างเช่น การสอบถามความพึงพอใจทางโทรศัพท์ หรือการโทรแจ้งนัดล่วงหน้า หรือบางธุรกิจอาจต้องมีตารางนัดไปเยี่ยมเยียนลูกค้าบ้าง

สิ่งเหล่านี้ถ้าทำควบคู่กันกับคอนเทนท์ดีๆ บนโลกออนไลน์ ยิ่งจะสร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น และเกิด Brand royalty ได้ไม่ยาก

5. เทคนิคแพรวพราว แต่เข้าไม่ถึงใจลูกค้า

นักธุรกิจบนโลกออนไลน์ มักมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆ บนโลกโซเชียลเป็นอย่างดี ดีจนเชื่อในเครื่องมือเหล่านั้น มากกว่าจะหันมาสนใจตีโจทย์การทำตลาดในธุรกิจอย่างแท้จริง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เครื่องมือต่างๆ เหล่านั้นเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง ที่ช่วยให้การทำการตลาดสมบูรณ์แบบขึ้นก็เท่านั้นเอง

จำไว้ว่า ท่านอาจจะใช้เครื่องมือวิเคราะห์สถานการณ์ได้ แต่ท่านไม่สามารถใช้เครื่องมือเหล่านั้นส่งตัวเองเข้าไปนั่งในใจลูกค้าได้ หากขาดความรู้ความเข้าใจในการทำตลาดอย่างแท้จริง

ไม่ว่าคุณจะศึกษาเครื่องมือบนโลกออนไลน์จนมีความเก่งกาจเพียงใด คุณก็ยังคงต้องยึดถือไว้เสมอว่า “การทำการตลาด คือการค้นหาความต้องการชองลูกค้า และตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ด้วยสินค้าและบริการของคุณ”

ดังนั้นต่อให้เทคนิคบนโลกออนไลน์ของท่านจะแพรวพราวเพียงใด แต่แค่เพียงท่านค้นหาความต้องการของลูกค้าไม่เจอ หรือเจอแล้วแต่สินค้าและบริการไม่ตอบโจทย์พวกเขาได้ดีไปกว่าธุรกิจของคู่แข่ง โอกาสที่ท่านจะเติบโตในโลกธุรกิจก็ยังคงตีบตันอยู่ดี

ทั้งหมดที่กล่าวมา ถือว่าเป็นการบ้านที่ผู้ประกอบการจะเอาไปขบคิดต่อเพื่อมัดรวมกลยุทธ์ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ให้กลมกล่อมเข้ากัน และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบถ้วนในทุกมิติ

อย่าลืมว่าบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ 100% แนวคิดทางการตลาดก็เช่นเดียวกัน ต่อให้โลกหมุนเปลี่ยนไปเร็วแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องดั้งเดิมที่เคยทำเคยใช้ จะไม่สร้างประโยชน์อะไรเลย

ทั้งหมดนี้คือมุมมองของผมที่กลั่นกรองจากประสบการณ์จากที่เคยคลุกคลีทั้งการทำตลาดบนโลกออฟไลน์และออนไลน์มา ต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กับไปครับ อย่าเน้นด้านเดียวจนทำให้ต้องมาตกม้าตายตอนท้ายนะครับ

สำหรับท่านที่ทำธุรกิจด้านแฟชั่น ผมมี Ebook แนะนำเหมาะสำหรับการวางแผนทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เรียนรู้เพิ่มติม > Professional Facebook for Fashion Business