หากคุณมีฝีมือในการทำขนมชนิดที่ว่าให้ใครชิมก็เอ่ยปากให้ไปเปิดร้าน การทำร้านเบเกอรี่คือตัวเลือกที่น่าสนใจและยิ่งหากคุณสนใจคิดจะเปิดร้านด้วยแล้ว ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากลเม็ดและคำแนะนำข้างต้นจะช่วยให้คุณเปิดร้านเบเกอรี่ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

เชื่อว่าการเปิดร้านขายขนมหรือเบเกอรี่เป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนที่ชอบทำอาหาร ซึ่งจะยิ่งมีความสุขมากหากเมนูที่ถูกรังสรรค์เป็นที่ชื่นชอบของคนทาน แต่ว่าการเปิดร้านเบเกอรี่จะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายมันก็ง่าย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งความน่าสนใจ การบริหารจัดการ หรือรูปแบบขนมที่ทำออกมา หลายคนประสบความสำเร็จ ในขณะที่หลาย ๆ คนกลับเจ๊งไม่เป็นท่า แน่นอนว่าคุณคงไม่ต้องการเป็นหนึ่งในคนที่ต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน อะไรคือปัจจัยที่จะทำให้คุณเปิดร้านเบเกอรี่แล้วไม่ย่อยยับ ครั้งนี้เรามีคำตอบครับ

ร้านเบเกอรี่มีกี่แบบ

จริง ๆ แล้วทุกคนสามารถเปิดร้านเบเกอรี่ได้ หากคิดจะเปิดจริง ๆ เพียงแต่อาจต้องเลือกรูปแบบให้เหมาะกับตนเอง รูปแบบที่เห็นในปัจจุบันมีดังนี้

1. รับขนมมาขาย

ร้านแบบนี้เป็นร้านที่ไม่จำเป็นต้องทำขนมเป็นก็ขายได้ เพียงแค่ติดต่อไปยังแบรนด์ขนมแล้วรับมาขาย เพียงแต่ข้อเสียคือคุณไม่สามารถกำหนดรูปแบบขนมอย่างที่คุณต้องการได้ และคู่แข่งที่พร้อมจะรับขนมมาขายแข่งกับคุณก็มีมากเช่นกัน

2. ทำขนมเองพร้อมขายส่งและขายหน้าร้าน

ร้านแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ทำขนมเป็นเพราะต้องลงทุนเครื่องมือ ลงทุนเวลาและแรงงาน ข้อดีก็คือถ้าคุณมั่นใจในฝีมือ ขนมของคุณมักจะมีออเดอร์เข้ามาเพื่อนำไปวางขายที่อื่น แต่ข้อเสียคือขนมประเภทนี้ราคาจะอยู่กลาง ๆ คือไม่สามารถตั้งราคาสูงมากได้ จึงจำเป็นต้องทำออกมาในปริมาณมาก ๆ ซึ่งต้องลงแรงในการทำมากเช่นกัน

3. ร้านที่มีที่นั่งทาน

ร้านแนวนี้เป็นร้านที่ถูกจริตหนุ่มสาวออฟฟิศและนักศึกษา เพราะสามารถนั่งทำงานหรือติวหนังสือได้ คนที่เปิดร้านแบบนี้จะต้องทำขนมได้หลากหลายประเภทและลงทุนทำร้านค่อนข้างสูง เพราะนอกจากขนมแล้วจะต้องมีเครื่องดื่มให้บริการเช่นกัน ข้อดีก็คือราคาขายขนมค่อนข้างสูง วันหนึ่งคุณไม่จำเป็นต้องทำขนมในปริมาณมากแต่ต้องหลากหลาย ร้านของคุณก็อยู่ได้ แต่ข้อเสียคือต้องลงทุนสูงมาก

ร้านเบเกอรี่ที่ล้มเหลวเป็นอย่างไร

ใช่ว่าทุกคนเปิดร้านเบเกอรี่แล้วจะรุ่งทุกคน คีย์เวิร์ดสำคัญที่ไม่น่าเลียนแบบเพราะจะทำให้ร้านที่คุณเปิดพุ่งชนความล้มเหลวมีดังนี้

1. ทำอะไรเกินตัว

ปัญหานี้มักเกิดกับเจ้าของร้านที่ทำขนมไม่เป็นและต้องจ้างคนทำขนม จำไว้ว่าอย่าไปฝากอนาคตของร้านในกำมือผู้อื่น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้หายนะจะบังเกิด และในทำนองเดียวกับเจ้าของร้านที่คิดการณ์ใหญ่โดยไม่ได้มองถึงความเป็นจริง ก็เป็นอีกสาเหตุของความล้มเหลวเช่นกัน

2. ไม่ศึกษาวิธีการดำเนินงาน ขาดการจัดการที่ดี

จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะธุรกิจอะไร ถ้าคิดจะลงมือทำคุณควรจะศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อนเพื่อป้องกันความล้มเหลว ขณะเดียวกันคุณก็ควรจะวางระบบการบริหารจัดการให้ดี เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น หากธุรกิจใดขาดทั้งสองส่วนนี้ก็เฝ้านับวันรอเจ๊งได้เลย

3. ร้านไม่มีจุดเด่นให้จดจำและขาดความหลากหลายของขนม

จุดดึงดูดสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าเข้ามาในร้านและตัดสินใจกลับมาซื้อขนมของคุณอีกครั้งคือคุณต้องนำเสนอจุดเด่นของคุณออกมาให้ได้และต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ฉันต้องกลับมาที่ร้านนี้อีก” ร้านที่ขาดทั้งจุดเด่นและความหลากหลายในไม่ช้าก็จะถูกกลืนหายไปอย่างไม่รู้ตัว

ทำอย่างไรไม่ให้เจ๊ง ร้านเบเกอรี่ที่ดัง ๆ เขาทำกันแบบนี้นะ

1. ศึกษาหาข้อมูลให้มาก นำเสนอจุดเด่น จุดแข็งของตนเองออกมาให้ถูกที่

ก่อนคิดจะเปิดร้าน การบ้านที่คุณควรทำคือดูจุดเด่น จุดแข็งของคุณว่ามีอะไร เพราะมันเกี่ยวข้องกับการวาง คอนเซ็ปต์และทิศทางของร้านคุณ ขณะเดียวกันคุณต้องศึกษาการวางระบบจัดการร้าน การทำบัญชี การบริหารต้นทุนให้ดี เพราะมันคือความอยู่รอดของร้าน ขณะเดียวกันก็ควรศึกษาไปถึงคู่แข่งหรือร้านข้างเคียงว่าเขามีดีอย่างไร เพื่อนำมาปรับปรุงร้านของตน

2. ขนมต้องมีความหลากหลาย และเพิ่มเมนูทางเลือก

หนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จคือความหลากหลายของขนม แต่ความหลากหลายนี้ไม่ใช่ว่าคุณต้องทำขนมออกมาพร้อมกันหลาย ๆ อย่างทีเดียว คุณอาจกำหนดขนมที่เป็นจุดเด่นในแต่ละวันออกมาซัก 3-4 อย่าง แล้วที่เหลือผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ การสร้าง Story ผูกขนมต่าง ๆ เข้าด้วยกันก็เป็นวิธีที่คุณจะใช้กำหนดชนิดขนมในแต่ละวันได้ครับ ขณะเดียวกันกระแสการดูแลสุขภาพที่กำลังมาแรง คุณอาจเพิ่มเมนูทางเลือกเป็นจุดขายของร้านก็สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาที่ร้านของคุณได้

3. ทำเลทองคือบ่อทองของร้านเบเกอรี่

ทำเลที่ตั้งก็มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น ร้านเบเกอรี่ที่ประสบความสำเร็จมักมีที่ตั้งอยู่ตรงจุดที่เป็นไลฟ์สไตล์ของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย การเลือกทำเลไม่ดีต่อให้ขนมคุณอร่อยและน่าสนใจขนาดไหน ย่อมไม่อาจเรียกลูกค้าให้เข้ามาในร้านได้ เมื่อรายได้ไม่เข้าเป้าตามที่กำหนด ก็เตรียมตัวขนของกลับบ้านได้เช่นกัน

4. มีขนมพิเศษตามเทศกาล

อีกหนึ่ง Story ที่เป็นที่นิยมของร้านขนมคือ “ขนมพิเศษตามเทศกาล” เพราะมันช่วยดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้ดี ถ้าคุณสามารถผูกเรื่องราวว่าขนมที่กำลังจะมีมันสัมพันธ์กับเทศกาลอย่างไร นี่คือแม่เหล็กที่ “ดูด” ลูกค้าให้มาเข้าร้านได้อีกมาก

5. การตกแต่งร้านมี Story แต่หัวใจสำคัญคือ “ขนม”

สไตล์การตกแต่งร้านก็สำคัญ การวาง Story ให้กับร้านจะเพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น แต่แม้คุณจะจัดร้านให้สวยหรือโดดเด่นขนาดไหนก็อย่าให้ความโดดเด่นไปแย่งซีน “พระเอก” หรือขนมของคุณ การวางตำแหน่งตู้ขนมควรอยู่ในจุดที่โดดเด่นและสะดุดตาที่สุด อย่าลืมว่าสินค้าหลักของคุณคือขนม บรรยากาศเป็นเพียงส่วนช่วยเสริมเท่านั้น

6. รับฟังคำติชมของลูกค้าด้วยความเต็มใจ

คำติชมเปรียบเสมือนกระจกส่องคุณภาพสินค้าโดยรวมของคุณ การยอมรับฟังคำติชมแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องจะยิ่งทำให้ร้านเบเกอรี่ของคุณอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน

7.ใช้ช่องทางออนไลน์ให้คุ้มค่า

หน้าร้านของเราไม่ได้มีแค่ทำเลที่เราตั้งอยู่ ทว่าหากเรานำการตลาดออนไลน์มาใช้อย่างเป็นระบบ มีบล็อกไว้สร้างสังคมของร้าน แฟนเพจไว้โชว์กิจกรรมของลูกค้า สร้าง Line At ไว้สื่อสารการตลาดทำ CRM เชื่อว่าเราจะผูกมัดใจลูกค้าไว้อยู่หมัดอย่างแน่นอน และที่สำคัญคือต้องมีมุมสวย ๆ เมนูหน้าตาน่าทาน เอาไว้ถ่ายรูปเยอะ ลูกค้าถ่ายรูปช่วยแชร์ก็จะเป็นแรงส่งในการช่วยให้ยอดขายเราเติบโต

บทความเกี่ยวกับการทำการตลาดออนไลน์

เริ่มต้นธุรกิจอย่างไรไม่ให้เจ๊ง !!!