“การขาย” เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้ารายเล็กรายใหญ่ จะใหม่หรือเก่าต้องเจอ เพื่อที่จะนำเสนอสินค้าหรือบริการของตัวเองให้กับลูกค้า แต่ทำอย่างไร ให้ขายดี ขายให้ปัง ขายให้ดัง ขายให้รวย อันนี้ซิ “สำคัญ”

เพราะหลายคนยังไม่เข้าใจว่า “การขาย” มันมีเทคนิคและศิลปะในการขายของตัวมันอยู่ ถ้าคุณอยากขายให้ปัง! อยากขายให้ดัง! อยากขายให้รวย! ต้องอ่าน…

มาดูกัน… ผมจะเริ่มนำเสนอเทคนิคการขาย ทีละเรื่องทีละตอนจากประสบการณ์ และข้อมูลที่เป็นความรู้เป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านที่ติดตามกันเป็นตอนๆ ไป การนำเสนออาจไม่ได้สวยหรู เพราะไม่ได้เขียนเพื่อเอาใจใคร

รวมถึงการเขียนที่ไม่ได้อิงวิชาการ แต่อิงจากประสบการณ์และความเป็นจริง ด้วยแนวทางของตัวเอง แต่เชื่อเถอะมันมีประโยชน์สำหรับคุณ!…

“อย่าขายสเต็ก แต่จงขายเสียงทอด” คุณเคยได้ยินคำนี้ไหม? “เสียงทอด” คือความหมายของจุดประสงค์ในการขายที่สำคัญที่สุด ด้วยเป้าหมายที่ว่า “ทำอย่างไรให้ลูกค้าของคุณเกิดความต้องการซื้อ”…

เสียงทอดของสเต็กนั้น เป็นสิ่งที่เรียกร้องความสนใจได้มากกว่า “เนื้อวัว” แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว เนื้อวัวคือองค์ประกอบที่แท้จริงในการทำสเต็กก็ตาม คุณจะเริ่มเห็นแล้วว่าสิ่งที่มันซ้อนเร้นแอบแฝงอยู่ของ “การขาย” ทุกชนิด ไม่ว่ามันจะเป็นการขายของที่สัมผัสได้หรือไม่ก็ตาม คือสิ่งที่เรียกว่า “จุดเจ้าใจ”!!!

จากประสบการณ์ของผม ผมเรียก “จุดเร้าใจ” นี้ว่า “ช่องว่างแห่งโอกาส” ที่คุณต้องหามันให้เจอ… “นักขายที่ดี ย่อมรู้ว่า จะต้องขายกลิ่นที่เย้ายวนหอมหวนของกาแฟ ไม่ใช่ขายกาแฟ” / “รสชาติ ของเนยต่างหาก ที่ทำให้ขายเนยได้” นายหน้าขายประกัน ย่อมรู้จักขาย “ความคุ้มครอง” ไม่ใช่การ “ขายประกัน” การหา “จุดเร้าใจ” เท่านั้น ที่จะทำให้เราขายสินค้าและบริการของเราได้ดีขึ้น

ผมเองทำธุรกิจในลักษณะ “ธุรกิจค้าส่ง” ลูกค้าซื้อสินค้าเพื่อไปจำหน่ายอีกทอดหนึ่ง “จุดเร้าใจ” ที่นำเสนอให้กับลูกค้าคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า การทำให้สินค้าที่ลูกค้านำไปจำหน่ายต่อมี “กำไรเยอะ” เป็นการหา “ช่องว่าง” ของความต้องการของลูกค้า เมื่อเทียบกับสินค้าและบริการในลักษณะเดียวกัน

เราต้องมองให้ออกว่า “เป้าหมาย” ของเราต้องการอะไร “หาช่องว่าง” และ “จุดเร้าใจ” เพื่อกระตุ้นการขาย เพื่อกระตุ้นยอดขาย เพื่อให้ลูกค้าพูดออกมาว่า “ฉันต้องการซื้อสินค้าของคุณ” / “ผมต้องการสินค้าแบบนี้”

ตัวอย่างง่ายๆ ที่ลูกค้าสะดุดกับ “จุดเร้าใจ” ในสินค้าหรือบริการของผมด้วยคำว่า “ธุรกิจรวยไว กำไรงาม” / “ธุรกิจทำกำไร 100-300%” / “สินค้าลงทุนต่ำ คืนทุนไว” / “รายได้เสริม หลังเลิกงาน 5,000 – 30,000 ทำได้จริง” สิ่งเหล่านี้คือข้อความหรือคำพูดที่เราสื่อสารออกไปยังกลุ่มลูกค้า เพื่อสร้างผลลัพธ์ให้กลับมาสู่ “การเสนอขาย”

“จุดเร้าใจ” นี้เอง ที่จะทำให้ผู้คนสนใจที่จะซื้อสินค้าของเรา ตอนนี้คุณคงเริ่มที่จะมองเห็นแล้วว่า อะไรคือความหมายแรกที่เราจะต้องค้นหา “จุดเร้าใจ” ให้กับการขาย สินค้าและบริการของตัวเองที่คุณทำอยู่ จงลงมือค้นหา “จุดเร้าใจ” ของสินค้าหรือธุรกิจเสียแต่วันนี้!

เริ่มต้นง่ายๆ ลงมือเขียน หัวข้อต่างๆ ที่คิดว่าเป็น “จุดเร้าใจ” ออกมาเป็นข้อๆ 1 , 2 , 3 , 4 หรือมากกว่า เลือกจุดเร้าใจที่ดีที่สุดออกมา ที่คุณมองว่าเป็นสิ่งที่สามารถ “เรียกร้องความสนใจจากลูกค้าได้ดีที่สุด”…

ลงมือทดลองนำเสนอ “จุดเร้าใจ” นั้นกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ว่าอะไรสามารถจะเรียกร้องความสนใจจากลูกค้าได้มากที่สุด สิ่งสำคัญที่สุด คือ “การทำให้จุดเร้าใจไปอยู่ในจิตใจลูกค้า”

รวมถึงการรู้จักที่จะสร้าง “ความต้องการ” ในสินค้าที่นำไปเสนอขายอยู่ตลอดเวลา แต่ขณะเดียวกันก็ต้องจำไว้ด้วยว่า “จุดเร้าใจ” จะมีความสำคัญในแต่ละบุคคล แต่ละกลุ่ม ไม่เหมือนกันทั้งหมด!

หากแต่คุณหมั่นสร้างความสามารถในการหา “ช่องว่าง” ที่เป็น “จุดเร้าใจ” ที่ทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจในสินค้าของคุณอยู่อย่างสม่ำเสมอได้ การขายสินค้าให้ปัง! ให้ดัง! ให้รวย! ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป… ค้นหากันดูครับ

ที่สำคัญ “จุดเร้าใจ” ที่นำเสนอไปต้องไม่เป็นการหลอกลวงลูกค้า เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ลูกค้าจะไม่มีทางไว้ใจในสินค้าและผลิตภัณฑ์ของคุณอีกต่อไป ไว้ว่ากันต่อตอนหน้า ขอให้ขายดี ขายปัง ขายดัง ขายรวย ทุกคนครับ.

ฐานทัพ อินทอง / (บอยข้าวเกรียบปลา)