ธุรกิจจึงควรใช้วีการทำโฆษณากับ Facebook เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงให้มากขึ้น จะช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายสินค้าให้สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน

ก่อนทำโฆษณากับ Facebook เราควรเข้าใจก่อนว่า ผู้คนไม่ได้ใช้ Facebook เพื่อค้นหาข้อมูลหรือหาคำตอบในสิ่งที่ต้องการ  แต่ผู้คนใช้ Facebook เพื่อสร้างความเพลิดเพลินและการแชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ ลงไปใน  Facebook ต่างหาก  การเลือกโพสหรือสร้าง Profile เพื่อใช้ทำโฆษณากับ Facebook จะต้องเน้นความโดดเด่นสะดุดตาในวินาทีแรกที่เห็น เพราะในวัน ๆ หนึ่งมีผู้คนโพสเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย  เราจะทำอย่างไรให้เขาหยุดสายตาอยู่โพสของเราให้ได้ต่างหาก คือสิ่งที่จะสามารถทำยอดขายสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้เราได้

1.สินค้าสร้างมาเพื่อใคร จำกัด Target ให้แคบลง

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้แคบลงจะช่วยให้ Facebook จำกัดการเข้าถึงได้แคบลงแต่ตรงเป้ามากขึ้น โดยเราจะต้องกำหนดเป้าหมายว่าเราต้องการให้เข้าถึงผู้ใช้กลุ่มไหน เช่น เพศ อายุ ถิ่นที่อยู่ เพราะหากไม่กำหนดให้ชัดเจนต่อให้มีการเข้าถึงผู้ใช้  1 แสนคน แต่อาจมีผู้ที่สนใจจริง ๆ ไม่ถึงพันคนก็เป็นได้ เช่น หากสินค้าที่เราขายคือน้ำยาปลูกผม เราควรกำหนดช่วงอายุ  และเพศของกลุ่มเป้าหมายของเราด้วย หากเราไม่กำหนด ไว้ตั้งแต่แรก ผู้ที่เข้าถึงโฆษณาของเราอาจะเป็นเด็กวัยรุ่นซึ่งไม่มีความจำเป็นและไม่มีความสนใจที่จะซื้อน้ำยาปลูกผมเลย เท่ากับการลงโฆษณาในครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ

2.Look alike ขยายฐานลูกค้า

ฟีเจอร์  Look alike  เป็นการมองหากกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน จากกลุ่มเป้าหมายเดิมที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว โดยการเลือกฟังก์ชั่น  Look alike ของ Facebook เพื่อทำการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มี อายุ  การศึกษา ความชอบ ที่คล้ายกันกับกลุ่มเป้าหมายหลักของเรา โดยกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายคลึงกันนี้จะมีโอกาสที่จะเกิดความพึงพอใจในสินค้าและบริการของเราเหมือนกับกลุ่มเป้าหมายหลัก และ อาจกลายเป็นลูกค้าของเราในอนาคตได้ โดยอาจทำการทดลองยิงโฆษณาแบบ Look alike ที่ 1% ก่อนเพื่อดู feedback ว่ากลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้จะให้ความสนใจสินค้าและบริการของเราหรือไม่ หากวัดผลแล้วพบว่ากลุ่มเป้าหมายนี้มีความสนใจสินค้าของเราและสามารถปิดการขายได้ตรงตามเป้าแล้วค่อยเพิ่มอัตราให้สูงขึ้นในภายหลัง 

3.คอนเทนต์สดใหม่ไม่ซ้ำใคร

Facebook ให้ความสำคัญ Organic Content เป็นอย่างมาก คอนเทนต์ที่สดใหม่ไม่ซ้ำใครจะถูกจัดอันดับความสำคัญให้มีการเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า แม้ว่าเราจะทำการลงโฆษณากับ Facebook  ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกจัดอันดับการเข้าถึง ดังนั้น ไม่ควรใช้บทความเดิม ๆ ในการทำโฆษณา เพราะนอกจาก Facebook จะไม่สนใจแล้ว กลุ่มเป้าหมายของเราก็จะไม่มีความสนใจเช่นกัน เพราะเขาเคยเห็น เคยผ่านตามาแล้ว จึงไม่อยากเสียเวลาดูซ้ำ ๆ อีก  เราอาจใช้คอนเทนต์ที่ไม่ใช่การโฆษณาขายสินค้าโดยตรง แต่ใช้บทความที่ให้สาระความรู้อื่น ๆ แต่มีการแทรกข้อมูลของผลิตภัณฑ์ของเราในตอนท้าย เป็นการเรียกความน่าสนใจในตัวโฆษณาของเราได้มากเช่นกัน

4.Video clip พรีเซนท์จุดขาย

การ พรีเซนท์โดยใช้ Video Clip ควรดึงเอาจุดเด่น จุดขายของสินค้าและบริการของเราออกมาให้มากที่สุดและทำ Video ให้สั้นที่สุด เพราะผู้ใช้งาน  Facebook จะใช้เวลาในการดูวีดีโอไม่เกิน 15 วินาทีเท่านั้น หากวีดีโอของเรามีความยาวมากเกินไป นอกจากเขาจะดูไม่จบแล้วยังจะใช้เวลาในการโหลดนาน ซึ่งผู้ใช้หลายคนเลือกที่จะไม่รอการโหลดวีดีโอนาน ๆ เช่นกัน การทำคลิปวีดีโอให้สั้นจะทำให้โหลดเร็วขึ้น  ประกอบกับเนื้อหาของวีดีโอของเราจะต้องสามารถหยุดสายตาของผู้ชมได้ใน 3 วินาทีแรกเพื่อสร้างความอยากรู้อยากเห็นและติดตามชมต่อจนจบ

5.รูปภาพสะดุดหยุดสายตา

การทำโฆษณากับ Facebook บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้บทความยาว ๆ เพื่อบรรยายสรรพคุณของสินค้าเสมอไป แต่เลือกการใช้สีสันและเลือกรูปภาพให้สื่อความหมายว่าสินค้าคืออะไร มีไว้เพื่ออะไร เรียกง่าย ๆ ว่าให้รูปภาพอธิบายตัวมันเอง ซึ่งการเลือกใช้รูปภาพในลักษณะนี้จะทำให้ผู้ที่เห็นสะดุดตาและหยุดอ่านบทความที่เราใส่ลงไปในภายหลัง  หากเราเลือกที่จะเล่นกับความรู้สึกของผู้ที่พบเห็นควรเลือกรูปที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน ชนิดที่แค่เพียงเห็นก็จะต้องหยุดนิ้วดูสักนิดว่านี่คืออะไร เมื่อเกิดความสงสัยเขาก็จะต้องมองหาคำตอบซึ่งก็คือคอนเทนต์ที่เราใส่ลงไปนั่นเอง

6.ทำโฆษณาอย่างน้อย 2-3 โพส

แทนที่เราจะเลือกทำโฆษณากับ Facebook เพียงแค่   1 โพส เพราะเราคิดว่านี่แหละเจ๋งสุด ดีที่สุดของเราแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโพสนั้นจะทำเงินได้จริง ๆ เราควรเลือกโพสที่ดีที่สุดของเราอย่างน้อย 2-3 โพส เพื่อทดลองทำโฆษณากับ Facebook ในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อน เพื่อทำการเปรียบเทียบว่าโพสไหนที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากและมีอัตราการกด Like   Share  Comment  สูงสุด  กลุ่มเป้าหมายมีความชอบและทำเงินได้มากที่สุด จากนั้นจึงค่อยเลือกใช้โพสนั้นในการทำโฆษณาต่อไป

7.อย่าละเลยหลังบ้าน

ระบบหลังบ้านคือแหล่งข้อมูลและสถิติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เราสามารถตรวจสอบได้ว่า รูปแบบที่เราเลือกใช้ในการยิงโฆษณาออกไปสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และได้รับ Feedback  ที่มีมากแค่ไหน ระบบหลังบ้านจะช่วยในการเก็บข้อมูลการทำงานของโฆษณาที่ยิงออกไปว่ามีการเข้าถึงผู้คนมากน้อยแค่ไหน และมีการกด Like  Share  Comment  หรือมีการแนะนำเพื่อนอยู่ในอัตราส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เข้าถึงโฆษณาของเรา ข้อมูลสำคัญเหล่านี้จะช่วยเราวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น รวมไปถึงสามารถนำข้อมูลสถิติเหล่านี้มาใช้ในการทำ CRM ได้อีกด้วย 

8.อัพเดตความรู้ใหม่ ๆ  ฟังก์ชั่น วิธีการใหม่ๆ อยู่เสมอ

โลกออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของ Facebook ก็เช่นกัน  การลงเรียนเพิ่มเติมเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กับธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็น เพราะ Facebook มีการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ปลีกย่อยอยู่ เรื่อย ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก และมีการโพสข้อความมากมายมหาศาลในทุก ๆ วัน  การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของ Facebook มีผลต่อโฆษณาของเราเช่นกัน การเรียนรู้ทริคต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำโฆษณาผ่าน Facebook จะช่วยทำให้โฆษณาที่เรายิงออกไป มีโอกาสในการเข้าถึงผู้คนได้สูง  ตรงกลุ่มเป้าหมาย และสามารถทำเงินได้จริง

การทำโฆษณากับ Facebook นั้นถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่เจ้าของกิจการควรทำอย่างต่อเนื่อง เพราะในปัจจุบันมีผู้ใช้ Facebook มากถึง  4 พันล้านคนทั่วโลก มีการโพสข้อความในรูปแบบต่าง ๆ มากมายมหาศาลในแต่ละวัน ทำให้ Facebook มีการจำกัดการเข้าถึงผู้คนได้น้อยลง หากเป็นการโพสข้อความแบบออแกนิกส์จะถูกจำกัดการเข้าถึงเพียง 1% เท่านั้น

ดังนั้นธุรกิจจึงควรใช้วีการทำโฆษณากับ Facebook เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงให้มากขึ้น จะช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายสินค้าให้สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน