สินค้าเมื่อถูกผลิตออกมาก็ย่อมถูกคาดหวังว่าจะต้องถูกขายออกไปได้และต้องสร้างกำไรงดงามให้สมกับที่เหนื่อยยากมาแรมเดือน แต่ในความเป็นจริงนั้นมีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ถูกคาดหวังว่าเมื่อสินค้าเปิดตัวแล้วจะ “ปัง” แต่การณ์กลับไม่เป็นไปดังหวังเมื่อถึงเวลาเปิดตัวจริงแล้วสินค้ากลับ “แป้ก”สนิทจนเจ้าของถึงกับท้อไปเลยก็มี เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะปัจจัยเดียวก็คือ “เพราะเจ้าของสินค้าขายของไม่เป็น” ในครั้งนี้เรามีวิธีการเปิดตัวสินค้าบนโลกออนไลน์อย่างไรให้โดนใจทั้งผู้ซื้อ โดนใจทั้งผู้ขาย และที่สำคัญคือโดนใจทั้งยอดขายที่ได้มาฝากกันครับ

 

Sale Page ที่ดีจะช่วยสร้างยอดขายให้บรรลุเป้าดังวาดฝัน

Sale Page บนโลกออนไลน์ก็คือพื้นที่ไว้วางขายสินค้าสำหรับการขายของออนไลน์ครับ เนื่องเพราะการขายของออนไลน์ลูกค้าของคุณไม่มีโอกาสได้เห็นหรือจับต้องสินค้าของคุณเลย ดังนั้น “Sale Page จึงต้องทำหน้าที่เหมือนดั่งใบปลิวแนะนำสินค้าบนโลกออฟไลน์หรือโลกจริงที่ต้องคอยเชื่อมระหว่างลูกค้าของคุณกับหน้าร้านออนไลน์ของคุณ และต้องทำหน้าที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับเว็บไซต์ของคุณเพื่อช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าอีกทางหนึ่งครับ

 

6 ขั้นตอนการเปิดตัวสินค้าโดยการสร้าง Sale Page ที่ดีเขาทำกันอย่างไร

เชื่อไหมว่าสินค้าที่ดี และมีประโยชน์บนโลกใบนี้กว่า 90% ขายไม่ค่อยได้ครับ เหตุผลเดียวที่ทำให้สินค้าแม้จะมากด้วยประโยชน์และตอบโจทย์ของลูกค้าได้ตามเป้าต้องเป็นหมันเสียตั้งแต่วันเปิดตัวนั่นก็เพราะ “เจ้าของกิจการขายสินค้าของพวกเขาไม่เป็น” ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากทั้ง ๆที่หากเจ้าของกิจการเรียนรู้เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆที่จะกล่าวถึงดังต่อไปนี้ รับรองได้เลยว่าสินค้าของคุณจะต้องปังและเป็นที่รู้จักตั้งแต่ต้นอย่างแน่นอน เรามาดูกันครับว่า Sale Page ที่ดีที่ทำให้สินค้าปังเขาทำกันอย่างไร

1. ต้องบอกลูกค้าว่าเขาจะได้อะไรจากสินค้าของเรา

Sale Page ที่ดีต้องโดนใจลูกค้าตั้งแต่บรรทัดแรก เพราะคนสมัยนี้มักจะไม่สนใจอะไรที่ยาวเกินไป หากสินค้าของคุณมีดีอะไรอย่าได้กั๊กไว้แต่จงปล่อยของเสียตั้งแต่บรรทัดแรก แล้ว sale Page นั้นจึงจะดึงดูดความสนใจของลูกค้าครับ เพราะการปล่อยของของคุณก็เหมือนคุณโปรย headline เอาไว้ให้ลูกค้าได้ตามต่อ ถ้ามันโดนใจมากพอลูกค้าเขาจะตามไปอ่านรายละเอียดด้านล่างต่อเอง แต่ในทางกลับกันถ้าลูกค้าอ่านแล้วไม่รู้ว่าสินค้าของคุณมีประโยชน์อะไร หรืออ่านแล้วงงทุกอย่างก็จบเช่นกัน

2. ต้องบอกลูกค้าว่าสินค้านั้นเหมาะกับใคร

การบอกรายละเอียดหรือกลุ่มเป้าหมายที่กว้างเกินไปจะทำให้สินค้านั้นไม่น่าสนใจ จงอย่าลืมว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาหาสินค้านั้น เขามักจะมีปัญหาที่เฉพาะเจาะจงและอยากได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างจำเพาะเจาะจง การบอกรายละเอียดที่กว้างเกินไปแม้สินค้าของคุณอาจจะช่วยแก้ไขปัญหาของเขาได้แต่เขาก็อาจเกิดความลังเลว่าสินค้าของคุณจะช่วยเขาได้จริงหรือเปล่า และเขาก็อาจหันไปหาสินค้าที่บรรยายสรรพคุณอย่างจำเพาะเจาะจงมากกว่าแทน ฉะนั้นคุณต้องชี้ชัดฟันธงลงไปเลยว่าสินค้าของคุณนั้นเหมาะกับใครหรือใครเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สินค้านี้ตอบโจทย์ ฟังดูแม้อาจจะทำให้คุณได้กลุ่มลูกค้าที่เล็กลงแต่เชื่อเถอะว่าลูกค้าที่คุณได้เข้ามาคือคนที่สนใจสินค้าของคุณจริง ๆ

3. ต้องมีคำนิยมเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

คำนิยมหรือ testimonial เป็นสิ่งที่ควรมีไว้บน Sale Page เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้าของคุณ คำนิยมนี้อาจจะมาในรูปแบบของการรีวิวสินค้าจากประสบการณ์จริงของลูกค้ารายอื่น ๆ หรือคำชมเชยจากผู้ใช้จริงครับ จงจำไว้ว่าเสียงที่ดีและมีคุณภาพที่สุดที่จะพูดถึงสินค้าของคุณก็คือเสียงบอกต่อจากลูกค้ารายอื่น เพราะเสียงเหล่านี้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อสินค้าของคุณเหมือนเสียงเชียร์จากคุณเอง หากต้องการที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถืออย่าละเลยที่จะใส่คำนิยมเพื่อเพิ่มเครดิตให้แก่ตัวสินค้า

4. ต้องบอกราคาอย่างชัดเจน 

เมื่อคุณผ่านทุก ๆขั้นตอนที่กล่าวมาแล้วนั้น จงอย่าเหนียมอายที่จะบอกราคาสินค้าที่คุณต้องการขายลงไปด้วย เชื่อไหมว่าเมื่อถึงขั้นตอนการตั้งราคาขายคนส่วนใหญ่มักจะลังเลที่จะตั้งหรือบอกราคาลงไปโดยตรง และจงอย่ากลัวหากราคาสินค้าของคุณอาจจะดูแพงจนเกินไป แต่จงบอกถึงเหตุผลที่คุณต้องตั้งราคาไว้เท่านี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะประสบการณ์ในการลองผิดลองถูกมายาวนานที่ลูกค้าจะสามารถซื้อประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมบ่มเพาะเอาไว้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปทดลองเองหรือเป็นเพราะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพที่ได้รับรางวัลการันตีหรือช่วยตอบโจทย์แก้ไขปัญหาของลูกค้าได้อย่างตรงจุดก็ตาม ขอเพียงสินค้าของคุณมีคุณภาพ ไม่ว่าราคาจะเป็นอย่างไรถ้าลูกค้ารู้สึกว่ามันตอบโจทย์และราคาสมเหตุสมผลเขาก็จะซื้อสินค้าของคุณอยู่ดี อย่ากลัวที่จะแจ้งราคาลงไปใน Sale Page เสมอ

5. ต้องบอกช่องทางการติดต่อ ช่องทางการชำระเงินให้ชัดเจน

การจะปิดยอดขายได้คุณต้องระบุช่องทางการติดต่อและช่องทางการชำระเงินให้ชัดเจนลงไปด้วยเสมอ เพราะคงเป็นเรื่องตลกมากหากคุณมาตกม้าตายด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ฉะนั้นอย่าหลงลืมที่จะแจ้งรายละเอียดเหล่านี้ให้ชัดเจนครับ

6. Dead line กระตุ้นช่วยเร่งลูกค้าและเร่งการปิดยอดขายได้อย่างสมบูรณ์แบบ

หากคุณมีโปรโมชั่นพิเศษ การกำหนด Dead line จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การขายนั้นมีโอกาสปิดยอดขายได้สำเร็จอย่างที่คุณตั้งใจ การตั้ง dead line ถือเป็นหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าไม่ควรรอช้ามิเช่นนั้นเขาจะพลาดโอกาสสำคัญไป หากคุณจัดให้มีโปรโมชั่นโดยไม่กำหนด Dead line แม้ลูกค้าจะสนใจแต่เขาอาจจะไม่กระตือรือร้นที่จะซื้อเพราะคิดว่าเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยมาซื้อก็ได้ เชื่อหรือไม่ว่าลูกค้าที่ตัดสินใจมาซื้อในภายหลังเกือบ 100% เขาจะไม่กลับมาซื้อสินค้าของคุณอีกเลย

 

การเปิดตัวสินค้าใหม่ให้ปังอาจดูเป็นเรื่องยาก แต่หากคุณรู้เทคนิควิธีการสร้าง Sale Page เพื่อเรียกลูกค้าบนโลกออนไลน์เรื่องที่เห็นว่ายากอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เกินความสามารถของคุณครับ คราวนี้ก็ถึงเวลาที่คุณต้องตัดสินใจแล้วว่าจะยอมทนอยู่กับวิธีการเดิม ๆแล้วมานั่งรอลุ้นสินค้าว่าจะปังหรือแป้ก หรือจะยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อโอกาสในการปิดยอดขายที่ดีกว่า การตัดสินใจนี้อยู่ที่ตัวคุณครับ