ในยุคที่ลูกค้ามีทางเลือกอย่างมากมาย ดังนั้นในฐานะเจ้าของธุรกิจ จำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ด้วยหลักการตลาด 4C ที่จะช่วยให้ยอดขายเพิ่มอย่างถล่มทลาย จากเดิมที่ใช้เพียง การตลาดแบบ 4P ที่ได้กล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้เพียงอย่างเดียว
หากเปรียบมวยกันของความแตกต่างระหว่างการตลาดแบบ 4P และ 4C นั้น จะมีความคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ การตลาดแบบ 4P นั้น จะเป็นมุมมองของแบรนด์ ส่วนการตลาดแบบ 4C จะเป็นมุมมองของลูกค้า
ยิ่งในโลกยุคออนไลน์แล้ว ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลมากมายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกค้านั้น มีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เราเป็นพ่อค้า แม่ค้า นั้น จึงจำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับลูกค้า
และวิธีการที่เราจะสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าได้ดีและประหยัดงบประมาณในการโฆษณาได้ก็คือ การใช้สื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นผ่านเว็บไซต์ กูเกิ้ล เฟสบุ๊ค ไลน์ ยูทูป อินสตาแกรม สามารถสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก ภายในไม่กี่วินาที
จากเดิมที่ 4P ประกอบไปด้วย Product, Price, Place และ Promotion
สำหรับ 4C นั้นจะประกอบไปด้วย Consumer, Costs, Convenience และ Communication
Consumer – สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ
เมื่อเทียบกับ 4P ในส่วนของ Consumer นี้ จะช่วยส่งเสริมในด้านของ Product สินค้าหรือบริการของเรา
โดยแต่เดิมที เราจะผลิตหรือนำเสนอสินค้าแก่ผู้บริโภค โดยแต่ก่อนผู้บริโภคอาจจะไม่มีตัวเลือกมากนัก แต่ในปัจจุบัน ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย ดังนั้นแทนที่จะผลิตสินค้าก่อน ให้คิดกลับกันไปเลยว่า “ผู้บริโภคต้องการอะไร?” ถามความต้องการไปเลย แล้วค่อยผลิตสินค้าออกมาตอบสนองความต้องการนั้น
เพราะกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ หากคุณโฟกัสไปที่การผลิตสินค้าที่คุณภาพดีมาก ๆ ถึงมากที่สุด แต่เมื่อถึงเวลาขายกลับพบว่า ไม่มีใครซื้อมันเลย ทั้ง ๆ ที่ของของเราออกจะดีแท้ ๆ นั่นคือเราอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ไม่ฟังเสียงของผู้บริโภคเลยว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาต้องการมันหรือไม่
ดังนั้น จงค้นหาความต้องการของผู้บริโภคก่อน แล้วจึงค่อยหาสินค้าหรือบริการมาตอบสนองพวกเขาเหล่านั้น
Cost ค่าใช้จ่ายที่ลูกค้าต้องจ่ายเพื่อแลกกับสินค้าหรือบริการ
จากเดิมในมุมมองของ Price ในฝั่งของเจ้าของธุรกิจนั้น จะตั้งราคาตามต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง แล้วจึงบวกกำไรเข้าไป
แต่หากมองในมุมมองของลูกค้าแล้ว ให้เราคิดเสมือนว่าเป็นลูกค้าเองเลยก็จะพบว่า ลูกค้าไม่ได้สนใจว่าค่าวัตถุดิบคุณจะมีราคาขึ้นสูง หรือค่าขนส่งแพงขึ้น แต่ลูกค้าจะมองว่า เงินที่พวกเขาจะจ่ายนั้น มันคุ้มค่ากับสินค้าหรือบริการหรือไม่
ดังนั้น ให้เราลองวิเคราะห์ดูว่า งบประมาณในการใช้จ่ายของกลุ่มลูกค้าเรานั้น มีงบประมาณเท่าไหร่ เช่นหากลูกค้ามีรายได้สูง คุณก็สามารถคิดค่าใช้จ่ายที่ราคาสูงได้ แต่หากรายได้ของลูกค้าไม่สูงมากนัก เป็นระดับทั่ว ๆ ไป ก็อาจจะต้องมีราคาที่ต่ำลง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สินค้าหรือบริการของคุณต้องเหมาะสมกับราคา หากมีราคาสูง ก็จำเป็นที่จะต้องใช้วัตถุดิบและการบริการที่สูงขึ้นตามไปด้วย
เพราะถ้าหากคุณสามารถทำให้ได้เกินความคาดหมายของลูกค้าได้นั้น แม้ว่าสินค้าหรือบริการจะมีราคาสูง ลูกค้าก็ยังคงยินดีที่จะจ่ายอยู่ดี
Convenience – ความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย
แต่เดิมทีในฐานะที่เราเป็นผู้ขาย เราจะคำนึงถึงทำเลที่ดี (Place) แต่หากมองในมุมของผู้บริโภค ยิ่งในยุคออนไลน์ปัจจุบันแล้วด้วยนั้น ในหลาย ๆ ครั้งลูกค้าก็เลือกความสะดวกสบายมากกว่าการที่จะต้องเดินทางไปซื้อสินค้าหรือบริการ
ดังนั้นแม้ว่าคุณจะขายดิบขายดีที่หน้าร้านค้าอยู่แล้วก็ตามที แต่ก็ยังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่ยังเข้าไม่ถึงสินค้าหรือบริการของคุณ หากคุณละเลยในช่องทางขายออนไลน์ ก็อาจจะทำให้เสียโอกาสทางการค้าไปอย่างมากมาย
หากสินค้าหรือบริการของคุณ สามารถซื้อได้โดยที่ไม่ต้องไม่ที่หน้าร้าน คุณก็ควรเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์และโซเชียลเน็ตเวิร์คต่าง ๆ เพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการของแบรนด์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้คนที่ยังไม่เคยเป็นลูกค้าของเรามาก่อนมาพบเจอและเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น
และข้อดีของการโปรโมทแบรนด์บนโลกอินเตอร์เน็ตก็คือ มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสื่อดั้งเดิมอย่าง ทีวี นิตยสาร หนังสือพิมพ์
และนอกจากนั้น สื่อออนไลน์ยังสามารถวัดผลและเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรงกลุ่มมากกว่าอีกด้วย ( ติดต่อโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณได้ที่นี่ )
Communication – การสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ว่าสินค้าหรือบริการนี้เหมาะสำหรับพวกเขา
เมื่อเทียบกับการทำ Promotion หรือการโปรโมท ในมุมมองของแบรนด์หรือผู้ขายนั้น โดยส่วนมากจะเป็นการสื่อสารเพียงฝ่ายเดียวจากผู้ขาย โดยที่ไม่ได้ฟังเสียงของผู้บริโภคเลยว่า พวกเขาต้องการโปรโมชั่นเหล่านั้นหรือไม่
แต่หากมองในมุมมองของผู้บริโภคแล้วนั้น พวกเขาสนใจแค่ว่า สินค้าหรือบริการเหล่านั้น มันสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง
แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ผู้บริโภค อาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า พวกเขาต้องการอะไร ดังนั้น ในฐานะที่เราเป็นผู้ขาย เราจึงจำเป็นต้องทำการ Content หรือเนื้อหา เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยให้เหตุผลว่า ทำไมพวกเขาจึงเหมาะสมกับสินค้าหรือบริการเหล่านั้น
และในขั้นตอนนี้เอง ก็จะมีการโต้ตอบกันระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น และตรงนี้นี่เอง หากเราในฐานะผู้ขายสามารถมัดใจลูกค้าเอาไว้ได้ ก็จะทำให้เรา กลายเป็น Top of Mind หรือเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ เพราะแม้ว่า ลูกค้าจะไม่ได้ทำการซื้อเดี๋ยวนั้น แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าต้องการใช้สินค้าหรือบริการ เราก็จะกลายเป็นตัวเลือกแรก ๆ ทันที
และนี่ก็คือการใช้หลัก 4C ในการเข้าถึงใจลูกค้า เพราะต่อให้สินค้าของคุณมีราคาสูงกว่าคู่แข่ง ถ้าหากลูกค้าพึงพอใจในแบรนด์ของคุณ เขาก็ยังคงเลือกใช้บริการคุณอยู่ดี และที่สำคัญก็คือ นอกจากเขาจะกลายมาเป็นลูกค้าประจำของเราแล้วนั้น เขายังบอกต่อกับเพื่อน ๆ แนะนำให้มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเราอีกด้วย
สำหรับพ่อค้า แม่ค้า เจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการโปรโมทสินค้าหรือบริการ เพื่อเข้าให้ถึงใจของลูกค้า ติดต่อลงโฆษณาได้ทันทีที่นี่ – ติดต่อเรา
บริการอบรม ให้คำปรึกษาการทำธุรกิจออนไลน์ ฝึกอบรมภายในบริษัท แบบตัวต่อตัว การทำ Content Marketing,การโฆษณา Facebook,การโฆษณา Tiktok,การตลาด Line OA และการทำสินค้าให้คนหาเจอบน Google
บริการดูแลระบบการตลาดออนไลน์ให้ทั้งระบบ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสารความรู้การทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ Add Line id :@taokaemai
รับชมคลิป VDO ความรู้ด้านการตลาด กรณีศึกษาธุรกิจ แหล่งเงินทุนน่าสนใจ ติดตามได้ที่ช่อง Youtube : Taokaemai เพื่อนคู่คิดธุรกิจ SME