ถ้าเปรียบบทความหรือ Content เหมือนอาหารสักจาน พวกเราคิดว่าอาหารแบบไหนจึงจะถูกใจคนทานครับ !!!

วันนี้ผมอยากจะลองทำเมนูมาเสริฟกับผู้อ่าน สำหรับการเตรียมการปรุงความแซ่บให้กับ Content ก่อนที่เราจะลงมือปรุง เสริฟให้กับลูกค้าของเรา ไม่ว่าจะผ่านทาง website หรือ Social Media ต่างกันกันครับ ก่อนปรุงคอนเทน เราต้องเตรียมอะไรบ้าง ?

10 ขั้นตอนการเขียน Content อย่างไรให้โดนใจ

1.ต้องรู้ก่อนว่าผู้อ่านบทความเราเป็นใคร

อย่างแรกเลยทีเดียวเราต้องรู้ว่าลูกค้าหรือคนอ่านบทความของเราเป็นใคร ผมยกตัวอย่างหากเราเปิดร้านส้มตำไก่ย่าง เราก็ต้องรู้ว่าลูกค้าเราเป็นใครใช่ไหมหละ รู้ว่าเขาชอบรสชาติแบบไหน ตำไทย ตำปูปลาร้า ฯ

มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าดูนักที่หากเรานำร้านส้มตำแบบเพิงข้างทางไปวางบนห้างสยามพารากอน หรือจัดแต่งร้านหรูแบบสยามพารากอนไปเปิดแถวโรงงานย่านสมุทรสาครฯ

มันเป็นเรื่องเดียวกันครับ “อาหาร” กับ “บทความ”  ต้องวางให้ถูกที่เสริฟให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย แล้วจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร นี่แหละครับคือสิ่งแรกที่เราจะต้องทำคือ “กำหนดกลุ่มลูกค้า” ให้ชัดเจนก่อนที่จะลงมือทำสูตรอาหาร ลงมือเขียนบทความ

2.กำหนดหัวข้อบทความให้กระตุกสายตา กระชากอารมณ์

คราวนี้มาเปิดดูเมนูอาหารกันครับ เอาร้านส้มตำนี่แหละ เมนูเขียนว่า “ส้มตำปลาร้า” กับ “ส้มตำปลาร้าไฮโซ” ,”ส้มตำปลาร้าโลโซ” อย่างไหนทำให้เราสะดุดตาและอยากลองชิมมากกว่ากันครับ

ผมว่าหลายคนอยากรู้ว่า ไอ้เจ้า “ส้มตำปลาร้าไฮโซ” หรือ “ส้มตำปลาร้าโลโซ” นี่น่าตามันเป็นอย่างไร รสชาติมันจะเป็นอย่างไร

เช่นครับการตั้งหัวข้อของบทความมันก็ต้อง สะดุดตา สร้างความน่าสนใจ ชวนสงสัย อยากติดตาม อยากลอง อยากอ่าน อยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นอย่างไร

3.เนื้อหาบทความที่เขียนตรงกับหัวข้อที่ตั้งไว้

เอาหละคราวนี้คุณลองสั่ง ส้มตำปลาร้าไฮโซ มาลองทาน แต่ปรากฏว่าเมื่อพนักงานมาเสริฟกลับกลายเป็น มีส้มตำอยู่นิดเดียว จัดตกแต่งจานก็ธรรมดามาก ไม่ได้มีความ ไฮโซ เหมือนกับที่เขียนไว้ ท่านจะรู้สึกเช่นไร….แมร่งไม่ได้เรื่องเลยหวะ กรูไม่น่าสั่ง !!! (นี่ผมแอบรำพึงในใจนะครับ หวังว่าคงไม่มีใครได้ยิน)

ผมคิดว่าหลายคนคงเจอเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกันในการเห็นบทความบนหน้าเว็บหัวข้อน่าสนใจมาก แต่พอเปิดเข้าไปไม่มีอะไรเลย ข้อความอะไรก็ไม่รู้ไม่ได้เป็นสาระ ที่เหลือก็เป็นโฆษณาเสียส่วนใหญ่….ผมนี่เสียอารมณ์เลย

ลองคิดถึงใจเขาใจเรานะครับ เมนูน่าสนใจ เนื้อในต้องน่าสนใจยิ่งกว่าครับ !!! ไม่ใช่หัวข้อล่อใจ แต่พอเปิดเข้าไปมีแต่เรื่องไร้สาระ

4.ใส่ Value หรือคุณค่าในบทความ

อะไรที่เราปรารถนาจะได้เห็นจาก “ส้มตำปลาร้าไฮโซ” การจัดวางอาหารที่เห็นแล้วต้องรีบโทรศัพท์ แล้วต้องรีบโพส รีบแชร์

เมื่อลองชิมต้องรีบยกนิ้วให้ นี่มันอร่อยโครตๆ ไปเลย…..

คิดเหมือนผมไหม !!!

ร้านอาหารคุณค่ามันก็คือความ อร่อย สะอาด และบริการที่ดีเยี่ยม แล้วบทความเราหละ ได้ให้คุณค่าอะไรกับผู้อ่าน

อย่าคิดเพียงว่า “ขายเครื่องสำอาง” จะต้องนำเสนอแค่เรื่องผิวพรรรณ หน้าตา ปัญหาสิว กระ ฝ้าฯ เรื่องของ Core หรือแกนหลักของธุรกิจอาจจะใช่คำตอบที่ต้องพูดเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เพิ่มคุณค่ามากกว่าปัญหาพื้น ๆ คือ ความเป็นมืออาชีพในเรื่องนั้น ๆ นะครับ

อาหารอร่อย บทความของเราก็มีความอร่อย ออกรสออกชาติเช่นกันครับ ไม่ใช่จืดชืด เป็นน้ำเปล่า….

สำรวจดูนะครับ “คุณค่า” บทความของเรามันเป็นอย่างที่เราเสนอและอย่างที่ลูกค้าต้องการหรือเปล่า ถ้าไม่ก็แค่ปรับมันก็เท่านั้นเอง

5.อย่าทิ้งความบันเทิง หรือ Entertain บทความต้องมีสีสัน

ส้มตำต้องกินกับอะไรถึงอร่อย !! สั่งส้มตำมาจานเดียวมันอร่อยไหม……

ก็คงพอได้นะ แต่ถ้ามีผักเครื่องเคียง มีเส้นขนมจีน หรือสั่งปีกไก่ทอด หรือ ไก่ย่างมาร่วมด้วย มื้อนี้อร่อยจนต้องบอก ว่าไหม ?

ใช่ครับ บทความมันก็เหมือนส้มตำจานเดียวที่เราสั่งมาหนะแหละ สั่งมาอย่างเดียวก็อร่อย แต่ขาดความกลมกล่อม ขาดความอร่อยอะไรไปสักอย่างแน่นอน

บทความนอกจากจะให้ “คุณค่า” แล้ว มันต้องหยอดลูกเล่น เครื่องเคียงเข้าไปด้วยครับ มันถึงจะ เออ !!! น่าสนใจ ได้ความรู้ ได้ความรู้สึก

แต่ ๆๆๆ ลูกเล่น ลูกหยอด มันต้องอยู่บน “กาละ และ เทศะ” นะครับ !!! นั่นหมายความว่า หากลูกค้าหรือกลุ่มผู้อ่านเราเป็นผู้ใหญ่มากจะมาเล่นมากไปก็ไม่ได้ หรือเป็นเด็กจะมาตึงก็ไม่ไหวนะครับ

กลับไปดูครับ ลูกค้าเขาต้องการอะไร ลูกค้าเราเป็นใคร แล้วเสริฟ เอ็นเตอร์เทรน เข้าไปครับ รับรองโอกาสในการขายเราจะเพิ่มมากขึ้น

แม้อาหารหรือบทความบางอย่างเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดา เราก็สามารถสร้างความสนุกความมันส์ขึ้นมาได้ เช่น ก๊วยเตี๋ยวจากยักษ์สั่งกันมากินได้ 4 คน เห็นไหมว่ามันก็แค่ก๊วยเตี๋ยว แต่เติมความใหญ่ ความน่าสนใจเป็นกิมมิค ตัวเอ็นเตอร์เทรนเข้าไป

หา “จุดเอ็นเตอร์เทรน” ของบทความเราให้เจอครับ แล้วบทความมันจะช่วยเราขายสินค้า

6.สรุปประเด็นบทความเป็นข้อ ๆ

ช่วยย่อยให้ลูกค้าครับ ถ้าเป็นซูชิก็เป็นคำพอดี บทความเราก็ต้องย่อยให้ลูกค้าสรุปประเด็นเป็นข้อ ๆ 1,2,3…….. เป็นอะไรอย่างไร ตัวอย่างบทความที่คุณอ่านอยู่นี่แหละครับ ผมสรุปให้เป็นข้อ ๆ ว่าหากต้องการเขียนบทความให้โดนใจลูกค้าต้องทำอย่างไร

คราวนี้เราเองก็ต้องนำกลับไปปรับใช้กับธุรกิจเรานะครับ อย่าเขียนบทความเป็นพรรณาโวหาร สาธยา-สารธตา จนยืดยาวแต่สรุปเป็นประเด็นไม่ได้

หลักการที่ผมใช้คือ เขียนประเด็นหัวข้อขึ้นมาก่อน แล้วค่อยมาเขียนคำบรรยายในแต่ละหัวข้อครับ คิดให้จบก่อนแล้วค่อยลงรายละเอียดในแต่ละประเด็น ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์ หาจุดจบไม่ได้ และ พากันออกทะเล

7.ใช้ภาษาเดียวกับผู้อ่าน ไม่ควรใช้ศัพท์เทคนิคมาก

เราไม่ได้เขียนให้ “ตัวเราอ่าน” แต่เรากำลังเขียนให้ “ลูกค้า” เราอ่าน ภาษาที่ใช้ก็ควรเป็นภาษาเดียวกับลูกค้า หลายคงงง ยังไงภาษาเดียวกับลูกค้า !!!

เอางี้ คิดตามผมนะครับ น่าจะดูการ์ตูนสำหรับเด็กไหม เสียงภาษาก็จะเป็นแบบเด็กๆ คราวนี้กลับมาดูละครหลังข่าว เรื่องของผู้ใหญ่ก็จะใช้ภาษาการเดินเรื่องอีกแบบ นั่นหละครับ สิ่งที่เราเขียน เราสร้าง Content มันก็ทำเหมือนกัน

คุยกับเด็กก็ ใช้ภาษาเขา …. คุยกับผู้ใหญ่ก็ใช้ภาษาผู้ใหญ่ (ผมไม่ได้หมายถึงหนัง Av ที่หลายคนแอบคิดนะครับ 555 )

อีกอย่างที่สำคัญคือ อย่าพยายาม สร้าง Different ใช้ Technical Term ให้มากนัก ทำเป็นเก่ง…5555 ผมยกตัวอย่างย่อหน้านี้ให้เห็นะครับ รู้สึกไหมว่า ทำไมต้องใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือ ทำให้มันดูยากทำไม นั่นหละครับ ไม่ต้องใช้ หรือหากจำเป็นต้องใช้ก็ควรบอกความหมายด้วยว่ามันคืออะไร สิ่งที่ควรเขียนในย่อหน้านี้ควรจะเป็น “อีกอย่างที่สำคัญคือ อย่าพยายามสร้างความแตกต่าโดยใช้คำศัพท์ยากๆ” อะไรทำนองนี้ครับ เข้าใจง่ายกว่า

8.กำหนดเป้าหมาย  วัดการแชร์ คาดคะเนคำ Comment และจำนวน Like

เราต้องถอดความคิดตัวเองออกเวลาเขียนเสร็จ แล้วลองคิดดูสิว่า บทความที่เราเขียนนั้น เมื่อเราอ่านแล้วเราจะกด Like ไหม แล้วเราจะแชร์บอกเพื่อนหรือเปล่า สุดท้ายเราจะคอมเมนต์บทความนี้หรือไม่

หากเราทำมาดีตั้งแต่ต้นมันก็เหมือนกับ “ส้มตำปลาร้าไฮโซ” ที่ผมยกเป็นตัวอย่าง เราทานแล้วอร่อยก็อยากบอกต่อให้เพื่อนมาทาน ชวนเพื่อนมาทาน เราเองก็กลับมาทานอีก

สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจยุคสมัยนี้คือทำอย่างไรให้เกิดการบอกต่อปากต่อปาก โจทย์ยากหากเราไม่วางแผนครับ จุดไหนที่เราอยากให้เขาบอกต่อ บอกต่อด้วยเหตุผลอะไร ทุกอย่างต้องคิดครับ !!!

9.อย่าลืมเรื่อง SEO เพื่อทำให้ติดอันดับ google ในบทความของเรา

2 ข้อท้ายนี้เป็นส่วนเสริมความแซ่บนะครับ ไหน ๆ เราจะสร้างบทความหรือ Content ขึ้นมาแล้วอย่าหวังแค่เพียงว่าเขาจะ Like จะแชร์ หรือ Comment สิ่งหนึ่งที่ต้องวางแผนเผื่อคือ การติดอันดับดี ๆ บทหน้า google ด้วยคำค้นหาที่ลูกค้าเราต้องการ

ยกตัวอย่าง หากเราทำร้านขายส้มตำปลาร้าไฮโซ ร้านตั้งอยู่แถวรามอินทรา หลักพื้นฐานในการเขียน Content ก็คือ หัวข้อบทความของเราก็ต้องมีคำว่า “ส้มตำ” และคำว่า “รามอินทรา” อยู่ในหัวข้อบทความเรา ถามว่าทำไม

ก็ลองคิดดูสิครับว่า หากใครจะกินส้มตำ แถวรามอินทรา เขาก็ต้องหา “ร้านส้มตำรามอินทรา” ใช่ไหม คงไม่มีใครค้นหา “ร้านส้มตำพระราม 2” เพื่อที่จะมากินที่รามอินทรา ว่าไหม ?

ส่วนต่อไปในเนื้อหาบทความก็ต้อง มีคำว่า ส้มตำ รามอินทรา อยู่ในเนื้อหา ด้วยครับ สัก 3-5 คำเป็นอย่างน้อย หลักการเบื้องต้นประมาณนี้

เราทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในเว็บไซต์ของเรา หรือ ในแฟนเพจ (ส่วนที่เป็น Note) เราก็จะยิ่งทำให้ร้านค้าของเรามีโอกาสติดอันดับดี ๆ บน google แถมยังได้รับการแชร์การ Like อีกต่างหาก

ไหน ๆ จะเหนื่อยทั้งทีก็เหนื่อยให้คุ้มค่า !!!

10.แปลงบทความเป็นยอดขายได้ด้วยการใส่วิธีการซื้อหรือติดต่อ

สิ่งที่เราพยายามทำอยู่นี้ บทความที่เราเขียน Content ที่เราสร้างท้ายสุดมันต้องเปลี่ยนมาเป็นยอดขายให้ได้ครับ เราทำธุรกิจไม่ได้ทำองค์กรการกุศล แม้ช่วงแรงมันจะยังไม่เห็นกำไร แต่อย่างน้อยต้องได้ทุนกลับมาบ้าง

มีความเหมือนระหว่าง สินค้าที่จับต้องได้เช่น เครื่องสำอาง ,อาหารเสริม,เสื้อผ้า เป็นต้น และสินค้าที่จับต้องไม่ได้ที่เขาเรียกกันว่า Infoproduct ,คอร์สสัมมนา ฯ นั่นคือ เราต้องสร้างความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ในศาสตร์นั้น ๆ ครับ

บทความที่เราสื่อออกไปมันต้องใส่ความเป็นมืออาชีพของเราในธุรกิจ และต้องปิดด้วยช่องทางการการขาย ปิดด้วยการติดต่อเพื่อดำเนินการสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ได้ครับ

เราต้องการให้ลูกค้า อ่านบทความแล้ว เข้ามาปรึกษาเรา หรือ สั่งซื้อสินค้า ส่วนนี้ต้องมีครับ ผมต้องใช้คำว่า “อย่าเกรงใจ” หรือ “อาย” ที่จะบอกว่าเรามีสินค้า มีบริการอะไรนะครับ

แต่อย่าเป็นประเภทหักมุม หักมุขกันจนคนอ่านหัวคมำ บทความเรื่องหนึ่งอ่านมาแล้วโอ้โหดีเลย แต่สุดท้ายมาขายสินค้าอะไรก็ไม่รู้อีกอย่าง มันเหมือนคนโดนหลอกให้ไปฟัง MLM อะไรประมาณนั้น (อันนี้ผมเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น)

ปิดการขาย เปิดช่องทางติดต่อในบทความ ของเราให้ได้ครับ หากเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หากเขาเชื่อว่าเราสามารถเราช่วยเขาได้เขาจะติดต่อมาหาเราครับ

ความแซ่บของ Content มันต้องฝึก แล้ว ก็ฝึกครับ ค่อย ๆ พัฒนากันไปครับ ลองนำ 10 ข้อที่ผมบอกมานี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของท่านดูนะครับ