ย้อนกลับไปในวันที่ 30 มิ.ย พ.ศ 2548 มันเป็นวันสำคัญสำหรับผมสองเรื่อง เรื่องแรก นี่คือวันครบรอบวันเกิดของผม และเรื่องที่สอง ผมเลือกที่จะหันหลังให้กับ สิ่งหลายๆคนแม้กระทั่งตัวผมเองคิดว่านั่นคือความ มั่นคงในชีวิต คืองานประจำ อาชีพวิศวกรคอมพิวเตอร์ แต่ความรู้สึกมั่นคง มันไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกอีกด้านหนึ่งของผมได้ นั่นคือ

ผมไม่รู้สึกว่าชีวิต…เป็นส่วนหนึ่งกับอาชีพที่กำลังทำอยู่เลย นั่นคือผมไม่ได้รักงานที่ผมทำอยู่เลย แต่ถึงกระนั้นผมก็ทำมันมาได้ตั้ง 12 ปี แต่เมื่อทนอีกเสียงของตัวเองไม่ไหว จึงตัดสินใจ ลาออก ออกๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่รู้อย่างเดียว เรามีสมองและสองมือ เราคงไม่ปล่อยให้ตัวเอง อดตาย แน่ๆ วันนั้นผมคิดแค่นั้นจริงๆ สำหรับผมวันครบรอบวันเกิดในปีนั้นผมยังจำความรู้สึกได้ดี มันรู้สึก อึนๆ มึนๆ บอกไม่ถูกเลยทีเดียว คนบ้าอะไรกัน ยื่นใบลาออกในวันเกิดตัวเอง ฮาๆๆ

เมื่อลาออกมาตั้งสติ อยู่เป็นอาทิตย์ ผมมีเพื่อนที่เป็นผู้จัดการโรงงานนำเข้ากระเป๋าเดินทาง ผมเลยมีไอเดียว่า น่าจะเปิดร้านขายกระเป๋าเดินทาง แต่ผมไม่ได้มีเงินทุนมากนัก (เงินทุนของผมในวันนั้น ก็คือเงิน สะสมที่ได้รับจากการลาออก ผมจำตัวเลขได้มันประมาณ แสนกว่าบาทเท่านั้นเอง) ผมใช้สายสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อน ก็คือ ขอเอากระเป๋ามาลงหน้าร้านก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลัง ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนเป็นอย่างดี ผมเข้าอินเตอร์เนต เพื่อเสาะหาตึกเช่า เพราะผมคิดเอาว่าผมไม่อยากไปขายกระเป๋าเดินทางในแหล่งที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว เช่นย่านประตูน้ำ จนในที่สุดผมก็ได้เจอกับประกาศให้เช่าตึกย่าน ถนนจันทน์ ในราคาที่ผมรู้สึกว่าไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับโลเคชั่นใจกลางเมือง ย่าน สาทร

แล้วผมก็ถึงบางอ้อ ในวันที่มาขอดูตึก ว่าทำไมมันถึงไม่แพง เพราะหน้าอาคาร ตั้งอยู่บนสามแยก พอดิบพอดี หรือที่คนเขาเรียกกันว่า ทางสามแพร่งนั่นแหล่ะ และห้องติดกันในวันที่ผมมา ก็ว่างติดประกาศให้เช่า คุณคิดว่าผมจะเช่าไหม ? โอเค ตกลงผมเช่าครับผมหันไปบอกเจ้าของบ้าน ที่ยืนรอลุ้นอยู่ ผมไม่คิดอะไรมาก คิดมองแต่ข้อดี คือถ้าโลเคชั่นมันไม่อับปมงคล เราก็คงไม่มีปัญญาเช่าแน่ และในที่สุดผมก็ได้มีกิจการของตัวเองสมใจอยาก นั่นคือร้าน จำหน่ายกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าอื่นๆ ทุกชนิด

เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะ ผมเริ่มมีเพื่อนสนิท เป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ ยุง ฮาๆๆ วันๆหนึ่งผมต้องนั่งตบยุงอย่าว่าแต่ลูกค้าจะมาซื้อกระเป๋าเลยครับ หมายังไม่เดินผ่านร้านผมซักตัว เอาหล่ะสิ เงินทุนก็เริ่มร่อยหรอ ค่ากระเป๋าที่ติดเพื่อนไว้ก่อน ก็ใกล้จะมาถึง แถมในช่วงเวลานั้นผมยัง ไปเรียน ปริญญาโทต่อด้วย ถึงเวลาที่ผมต้องดิ้นรน หนีตายอีกแล้ว

ผมมีพี่ที่เรียนปริญญาโทด้วยกัน ทำงานฝ่ายส่งเสริมการตลาดของธนาคารแห่งหนึ่ง พี่แกจะมีการจัดกิจกรรมไปออกบูธตามหน่วยงานราชการต่างๆ และจะมีการเชิญร้านค้าของกินของใช้ไปร่วมออกบูธด้วยเพื่อสร้างสีสัน และแน่นอน ผมไม่พลาดโอกาสนี้ ผมเอากระเป๋าที่ขายไม่ออกที่ร้านไปร่วมออกบูธกับ ธนาคารด้วย ก็ได้ยอดขายมาในระดับที่รอดไปเดือนๆ หนึ่งแค่นั้นเอง แต่ในขั้นตอนของการออกบูธ เพื่อดิ้นรนหนีตายนี้เอง โอกาสมันก็มาถึง

ทุกครั้งที่ผมไปออกบูธ มักจะมีลูกค้าเดินเข้ามาถามผมเสมอๆ ว่า คุณใช่โรงงานมาเองหรือเปล่า ผมก็ใช่ไว้ก่อน นี่คือราคาโรงงานเลยครับ ดีจังแต่พี่มีกระเป๋าที่มันชำรุดอยู่ น้องพอจะซ่อมได้หรือเปล่า ผมได้ยินคำว่า ต้องการจะซ่อมกระเป๋า บ่อยมากๆ จนผมแอบคิดว่านี่มันคือโอกาสหรือเปล่า จนอยู่มาวันหนึ่ง ผมไปออกบูธที่สำนักงานใหญ่ ธนาคารแห่งหนึ่ง มีพี่ลูกค้าผู้หญิงท่านหนึ่ง พี่แกต้องการที่จะซ่อมกระเป๋าหีบหนังโบราณ ซึ่งเป็นของบรรพบุรุษเดินทางมาจากเมืองจีน มันมีคุณค่าทางจิตใจกับครอบครัวแกเป็นอย่างมาก ผมเลยอาสา ไปหาร้านซ่อมให้แก แต่ปรากฏว่า ผมเจอนะครับร้านซ่อมกระเป๋าแต่ทุกร้านปฏิเสธที่จะทำกระเป๋าใบนี้เพราะสภาพมันแย่เกินกว่าที่จะบูรณะปลวกกินเกือบทั้งใบ

ผมกลับไปหาพี่เจ้าของกระเป๋าและเล่าให้แกฟัง ว่าไม่มีใครยินดีซ่อมกระเป๋าใบนี้ และผมก็ดันปากดี “ พี่รีบมั้ยครับ ถ้าพี่พอจะมีเวลาเดี๋ยวผมจะซ่อมให้พี่เอง” พี่แกไม่ปฏิเสธในคำของผม ฮ่าๆๆๆ ประโยคปากดีของผมประโยคนี้หล่ะครับคือจุดเริ่มต้น ของ Ninebags
ผมกลับมาบ้านพร้อมกระเป๋าใบนั้น นั่งคิดพิจารณาว่าจะต้องทำอย่างไรกับมันดี ทำอะไรก็ไม่เป็น เย็บจักรก็ไม่เป็น ผมค่อยๆ รวบรวมความคิดว่า จะเป็นช่างซ่อมกระเป๋าเนี่ย มันต้องทำอะไรเป็นบ้าง ผมตั้งคำถามกับตัวเอง และเขียนๆ มันออกมา ได้หลายข้อเลยทีเดียว แต่ข้อแรกที่ผมคิดไว้ คือ ควรเย็บจักร ให้เป็นนะ และผมก็ได้ไปเรียนเย็บจักรอุตสาหกรรมกับป้าคนหนึ่งในละแวกบ้าน จนได้ ผมยังจำได้ดี วันที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาฝึกเย็บจักร ป้ามายืนมองผม คงเห็นหน่วยก้านแล้วไม่น่าจะไหวแน่ๆ ป้าพูดว่า ทำไมไม่เรียนให้มันสูงๆหล่ะลูก จะได้ไม่ต้องมาลำบากแบบนี้ ผมก็ได้แต่หันไปยิ้มกับป้าแล้วบอกแกว่า ไม่เป็นไรครับป้า ผมเลือกแล้ว

เมื่อเย็บจักร พอที่จะได้เรื่องแล้ว ผมก็ไปเรียนฝึกสร้างแบบกระเป๋า ที่โรงเรียนสอนวิชาชีพแห่งหนึ่ง ทุกครั้งผมก็หอบหิ้วเจ้ากระเป๋าใบนั้นของพี่เค้าไปด้วย เพื่อเอาไปปรึกษาอาจารย์ว่าจะต้องทำอย่างไร กลับมาบ้านผมก็ค่อยๆมาซ่อมทีละนิดๆ จากคำแนะนำของอาจารย์ จนในที่สุด ผมใช้เวลา 3 เดือน ในการซ่อมกระเป๋าใบนั้นจนเสร็จ และนำกลับไปคืนให้พี่เขา ผมจำสีหน้าและแววตาของพี่เจ้าของกระเป๋าได้ดีว่าแก อึ้งมากว่า ผมทำได้อย่างไร แววตาแห่งความสุขทั้งของพี่เขา และของผมมันตรึงอยู่ในความทรงจำของผมจนทุกวันนี้ กระเป๋าใบนั้นผมเรียกค่าซ่อม พี่แก 500 บาท พี่แกใจดี ทิปมาให้อีก 300 บาท ซึ่ง 800 บาท มันไม่คุ้มเลยกับเวลา 3 เดือน แต่สำหรับผม มันเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพในฝันของผมแล้ว เพราะผมคิดว่า อารมณ์ประมาณนี้แหล่ะ งานบริการประมาณนี้แหล่ะที่ผมอยากทำและผมจะมีความสุขกับมัน ผมตัดสินใจในวันนั้นว่าจะเลิกกิจการซื้อมาขายไปลง และเริ่มให้บริการซ่อมกระเป๋าทุกชนิดตั้งแต่วันนั้น ในนาม Nine bags

ทำไมต้อง Ninebags วันที่ผมเริ่มต้นทำ Ninebags Facebook ยังไม่ถือกำเนิด google คือช่องทางหลักในการค้นหาเพียงหนึ่งเดียว ผมคิดเองเออเองว่า ทำอย่างไรก็ได้ ให้ผม ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในการค้นหา ด้วยคียเวริด์ ซ่อมกระเป๋า ซึ่งตอนนั้นก็มีเจ้าประจำกับคำค้นหานี้อยู่ สองสามราย ผมคิดเอาว่า ชื่อ website หรือ domain name ที่โด่งดังส่วนใหญ่จะสองพยางค์ทั้งนั้น เช่น google , sanook ,hotmail,pantip,yahoo ดังนั้นชื่อของผมต้องเป็นสองพยางค์บ้าง ผมก็ใช้วิธีเข้าไปคีย์ ชื่อโน้นชื่อนี้ไปเรื่อยๆ ใน website ที่ร้บจดโดเมนเนม ชื่อที่ถูกใจก็ดันมีคนใช้คนจองไปแล้วจนคีย์มาที่คำว่า ninebags.com เฮ้ย มันว่าง ผมแทบจะวิ่งไปที่ธนาคารโอนเงินผ่าน ตู้ ATM เพื่อจองชื่อนี้ในวินาทีนั้น และนั่นมันก็คือชื่อทางการค้าของผมจนบัดนี้

ผมทำให้ Ninebags ขึ้นอันดับหนึ่งในการค้นหาทุกช่องทางได้อย่างไร

โชคดีอย่างนึงคือผมมีพื้นฐานด้าน ไอที แต่ไม่รักดี ดันอยากมาซ่อมกระเป๋า แต่ความรู้ด้าน ไอที ช่วยผมได้เยอะในด้านการตลาด การที่ผมทำให้ Ninebags ขึ้นอันดับหนึ่งได้ บนกูเกิล โดย แซงคู่แข่ง ในกลุ่มคำค้นหาเดียวกัน มันมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทั้งเทคนิคกาเขียนโครงสร้างของ Website เพื่อให้กูเกิลเจอเราได้ง่ายขึ้น ทั้งในแง่ของการทำสื่อสารการตลาดในช่องทางอื่นๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาเยี่ยมชม websiteของเรามากขึ้น และที่สำคัญ ธุรกิจผม คำค้นหามันไม่ได้มีคู่แข่งขันมากนัก ซึ่งผม อยากสรุปออกมาเป็นข้อๆ เพื่อที่คุณจะได้นำไปใช้เป็นกลยุทธ์ของตัวเองดูได้บ้าง

กลยุทธ์ของ Ninebags

1. ผมเลือกทำกิจการที่มีคู่แข่งขันน้อย และถึงมีคู่แข่งก็ยังไม่มีใครโดดเด่นจนเป็นเบอร์หนึ่งในตอนนั้น
2. การสื่อสารการตลาด ควรทำ ควบคู่ ทั้ง Online และ off line
3. เดาใจ กลุ่มเป้าหมายให้ถูก ว่า เขาอยากเจอเรา ด้วยคำค้นหาอะไร บนกูเกิล และคำนั้นในโครงสร้างของ website หรือ Facebook Fanpage ควรต้องมีคำๆนั้นปรากฏในเนื้อหาด้วย
4. สร้างตัวตนให้ชัดเจน มีตัวตนจริงๆ เชื่อถือได้ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หากคุณอยากค้าขายสินค้าบน Internet การจดทะเบียนพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก็ควรกระทำ
5. ใช้ข้อได้เปรียบหากกิจการของเราเพิ่งเริ่มต้น หรือยังตัวเล็กอยู่ ความไว ความรวดเร็ว ในการตอบสนองลูกค้าคือข้อได้เปรียบที่เรามีมากกว่าผู้เล่นรายใหญ่
6. ลงทุนกับ Website หรือ Facebook fanpage ใช้มืออาชีพ ในการออกแบบให้เราจะดีกว่า มัวเสียเวลาทำเอง แล้วไม่ได้ดีอีกด้วย
7. หมั่นเข้าไปดู ไปตอบกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา ในกลุ่มอื่นๆ เช่น pantip.com
8. สร้างแบรนด์ ให้มีบุคคลิก ที่คุณอยากให้มันเป็น และลูกค้าก็รู้สึกเช่นนั้นกับคุณ
9. อย่าใช้เงินทุน ที่มีอยู่จำกัดนอกเรื่อง ไม่สร้างหนี้ หัดอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
10. อย่าแผ่ว อย่าท้อ อดทนรอคอยความสำเร็จให้ได้

ขอบคุณพี่ วินิจ ลิ่มเจริญ
เถ้าแก่ใหญ่ ใจถึง ๆ
กับการทำการตลาดแบบ Low Cost แต่ high performance