ความสวยความงามเป็นสิ่งที่ทุกคนชื่นชอบและหลงใหล ไม่ว่าใครก็ต้องการดูดีในสายตาของคนอื่นทั้งนั้น จึงทำให้ธุรกิจเสริมความงามเฟื่องฟูและเติบโตเร็ว แต่ธุรกิจเสริมความงามนั้นสวยงามและง่ายดายจริงหรือ ? บทวิเคราะห์ของ IBISWorld  ชี้ว่าธุรกิจเสริมความงามกำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต     เป็นเพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและประชากรศาสตร์

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้มีเครื่องสำอางที่ดีขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น และการรักษาโดยเฉพาะการผ่าตัดให้ผลการรักษาที่ดีขึ้นและผู้รับบริการฟื้นฟูเร็วขึ้นกว่าเมื่อก่อน ทำให้ลูกค้าเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น ดีขึ้น และในราคาที่ถูกลง

ด้านประชากรศาสตร์ เนื่องจากการรักษาที่ถูกลง จึงทำให้ตลาดขยายตัวขึ้นมาก ผู้เข้ารับบริการจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะดีและบุคคลที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นจนถึงกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุ และไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่ลูกค้ากลุ่มผู้ชายเองก็ยังใช้บริการสถานเสริมความงามด้วยเช่นกัน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเสริมความงามเจริญเติบโตมากขึ้น

แม้ว่าธุรกิจเสริมความงามจะเติบโต แต่ก็ต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นรุนแรง เนื่องจากคลินิกความงามต่างก็มีผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่คล้ายกัน จึงตัดราคากันเอง Dr. Robert Alan Goldberg   จากมหาวิทยาลัยลอสแองเจลิส หรือ UCLA แนะนำว่า ธุรกิจเสริมงามจะอยู่รอดหรือไม่ขึ้นกับธุรกิจนั้นสามารถปรับตัวกับเทคโนโลยีได้เร็วหรือไม่ เนื่องจากเทคโนโลยีในการรักษาเปลี่ยนแปลงเร็วมาก พร้อมๆกับกฎระเบียบของหน่วยงานราชการที่ดูเหมือนจะเข้มข้นและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง  ผู้ประกอบการจึงต้องคอยติดตามข่าวสารด้านกฎหมายด้วย

ทำเลที่ตั้งคลินิกก็เป็นสิ่งไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นการบ่งชี้ว่าลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเดินทางสะดวกหรือไม่ และที่สำคัญคือต้องมีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง จึงจะเป็นสิ่งรับประกันได้ว่าการรักษาจากสถานประกอบการนี้ดีมีมาตรฐาน เมื่อลูกค้าพึงพอใจก็จะบอกต่อ ซึ่งผู้ที่เคยเข้ารับบริการนั้นมีอิทธิพลต่อความคิดของลูกค้าคนอื่นสูง

ดังนั้นเพื่อช่วยให้ คลินิกเสริมความงาม ปรับตัวได้อย่างยั่งยืน เราจึงขอนำเสนอ 5 เทคนิคในการปรับตัว เพื่อสร้างโอกาสในการอยู่รอดทางธุรกิจและเติบโตอย่างเข็มแข็ง

 

  1. ติดตามข่าวสารสม่ำเสมอ

เนื่องจากธุรกิจเสริมความงามนั้นเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอย่างมาก และปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการต้องปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดต้นทุน ยกตัวอย่างเช่น Dr. Zenker จากเยอรมัน ให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Cosmetic Surgery Times ว่า Fillers คือการฉีดสาร Hyaluronic Acid เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นของผิวหนัง แต่ Botox คือการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อหดเกร็งเป็นอัมพาต ทำให้ริ้วรอยหายไป ซึ่งโดยปกติผู้เข้ารับบริการมักจะทำ Botox ก่อน Fillers                   แต่ Dr. Zenker กล่าวว่า สามารถทำไปพร้อมๆกันได้ โดยจุดที่มีริ้วรอยลึกใช้ Fillers แต่จุดที่มีกล้ามเนื้อหนาใช้ Botox ซึ่งให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพึงพอใจ

  1. เจาะตลาดกลุ่มเล็ก

เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มลูกค้าที่เข้ารับการบริการจากสถานเสริมความงามมีหลากหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นธุรกิจเสริมความงามจึงควรศึกษาพฤติกรรมลูกค้าเพื่อที่จะออกแบบการให้บริการตรงกับความต้องการของลูกค้า เช่น    กลุ่มลูกค้าที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี ส่วนมากจะเป็นการรักษา สิว ฝ้า กระ การปรับสภาพผิวหรือการขัดผิว แต่กลุ่มลูกค้าที่มีอายุในช่วง 19 – 34 ปี จะให้ความสนใจกับการดูดไขมัน เสริมจมูก เสริมหน้าอก การทำ Filler และ Botox เป็นต้น แต่ถ้าเป็นกลุ่มอายุ 35- 50 ปี จะนิยมการทำกระชับหน้าท้อง การทำ Botox และการดูดไขมัน และลูกค้าที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป นิยมจะเข้ารับบริการลดริ้วรอยและกระชับใบหน้า ดังนั้นการออกแบบการบริการจึงควรสอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า

  1. บริการครบวงจร

Dmitry Diment ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจความงามจากสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ธุรกิจเสริมความงามที่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกาส่วนมากจะมีการบริการที่หลากหลาย เช่น       การรักษาประเภทขัดผิวและการทำทรีตเมนต์  การกำจัดขนด้วยเลเซอร์ เสริมหน้าอก เสริมจมูก ดูดไขมัน และการฟื้นฟูผิวโดยการทำ Botox และ Fillers เป็นต้น

 

  1. เจาะตลาดสู่ AEC

ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านการรักษาพยาบาลในภูมิภาคอาเซียนอยู่แล้ว      จะเห็นได้ว่าแต่ละปีผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านเดินทางเข้ามารักษาในไทยมากขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจเสริมความงามที่จะเจาะตลาดลูกค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน แต่การจะเข้าถึงลูกค้าในต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นธุรกิจเสริมความงามจึงต้องปรับตัวโดยเฉพาะมาตรฐานในการรักษา เช่น เครื่องสำอางที่ใช้ต้องได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา หรือซื้อวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้มาตรฐานได้รับการรับรองจากมาตรฐานสากล รวมทั้งการฝึกอบรมพนักงานให้มีความเป็นมืออาชีพอีกด้วย

  1. ใช้สมุนไพรในการรักษา

คุณเวทย์ นุชเจริญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย     กล่าวว่าประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชสมุนไพร สำหรับธุรกิจเสริมความงามนั้นนอกจากแข่งขันเองแล้ว                ยังต้องเผชิญการแข่งขันจากธุรกิจอื่นที่ใกล้เคียงกัน เช่น ธุรกิจสปา ที่ใช้สมุนไพรในการให้บริการ ซึ่งเป็นที่นิยมกับลูกค้าที่ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติมาก หากธุรกิจเสริมความงามสามารถนำสมุนไพรมาต่อยอดก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกมาก อย่างเช่น ว่านหางจระเข้สามารถนำมาทำเครื่องสำอางสำหรับการบำรุงผิวพรรณ มะขามหรือขมิ้นก็สามารถนำมาใช้ขัดผิว เป็นต้น

สำหรับธุรกิจเสริมความงามนั้นความพึงพอใจของลูกค้าสำคัญที่สุด ซึ่งปากต่อปากของพวกเขาส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์มาก ฉะนั้น  Find a way to agree”  หากได้รับการยอมรับจากลูกค้าแล้ว    ธุรกิจเสริมความงามก็จะสามารถเติบโตได้อย่างสวยงาม

ขอบคุณบทความจาก คุณวิญญู วีระนันทาเวทย์