ส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เมื่อเริ่มธุรกิจ มักทำควบคู่ไปกับงานประจำ และมักทำแบบซื้อมาขายไป ซึ่งไม่ได้คำนึงเรื่องการจ่ายภาษีใดๆ ทั้งสิ้น คิดเพียงแต่ว่า จะหาสินค้าอะไรมาขายดี เขียนคอนเทนต์ยังไงให้คนสนใจ ทำอย่างไรให้ยิงแอดเจอลูกค้าได้ และเมื่อเจอ Winning Product สินค้าเริ่มติด ยอดโต ก็สาระวนไปกับการสั่งสินค้ามาขาย ตอบเมสเสจวุ่นกับการส่งสินค้า มารู้ตัวอีกทีก็เจอสรรพากรมาเคาะประตูบ้านเสียแล้ว
ผู้มีรายได้ทุกคนต้องเสียภาษีอันนี้เป็นหน้าที่ของเราเหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ซึ่งเราก็ไม่ตั้งใจจะหลีกเลี่ยงภาษีหรอกนะ แต่เชื่อว่าทุกคนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ทีนี้พอไม่รู้ ก็จะกลัวและอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ กัน วันนี้ผู้เขียนได้จัดทำ Checklists ง่ายๆ 9 ข้อจากประสบการณ์จริงของตัวเอง ไว้ให้คนที่เพิ่งเริ่มขายออนไลน์และยังงงๆ ว่าจะไปต่ออย่างไรค่ะ
ต้องทำบันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกเดือน
อาจทำอย่างง่ายๆ ด้วยโปรแกรม Excel แต่ถ้ามี “ขายเชื่อ” หรือ “ซื้อเชื่อ” อาจจะสะดวกกว่าถ้าใช้โปรแกรมบันทึกบัญชี งานนี้เป็นงานที่เจ้าของธุรกิจออนไลน์ จำเป็นต้องจัดทำอย่างสม่ำเสมอ ตามประสบการณ์ ผู้เขียนทำรายงานเองทุกอาทิตย์ค่ะ ตั้งเวลาไว้เลย เช่น ทำทุกวันจันทร์ช่วงครึ่งเช้า เพราะถ้ากองดองไว้หนึ่งเดือนจะทำไม่ไหวน่ะ
ต้องมีหลักฐานประกอบการลงรายงานทุกครั้ง
เช่น ใบเสร็จรับเงินในการขายสินค้า ใบกำกับภาษีที่มาจากการซื้อสินค้า เอกสารที่สรรพากรยอมรับให้ใช้ประกอบค่าใช้จ่ายในกรณีที่หลักฐานไม่เพียงพอ เช่น ใบรับเงิน ใบสำคัญรับเงิน ใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน หรือใบสำคัญจ่าย ถ้าแยกไม่ออกว่าอะไรใช้อย่างไร แนะนำไปอบรมหาความรู้เพิ่มเติม มันสำคัญมาก!
การลงรายจ่ายเพื่อให้ไม่มีปัญหากับสรรพากร ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบธุรกิจ
เช่น การให้เช่าพระเครื่องก็ต้องเป็นรายจ่ายค่าเช่าพระ ทำกรอบพระ สร้อยคอ เป็นต้น และต้องไม่มีรายจ่ายส่วนตัวปะปนอยู่ในใบเสร็จเดียวกัน เช่น ถ้าซื้ออุปกรณ์สำหรับแพ็ค เช่น กล่อง เชือก จากร้านค้าก็ต้องขอใบกำกับภาษีแยกบิลออกจากของใช้ส่วนตัวทุกครั้ง ระวังด้วยค่ะ มันกลับไปขอย้อนหลังไม่ได้น่ะ
การลงรายรับต้องลงตามบัญชีธนาคารที่โพสต์บนเว็บไซต์หรือเฟสบุ๊ครับโอนเงินตามกฎหมายอีเพย์เม้นต์ (e-payment)
ถ้าเข้าเงื่อนไข 3,000 รายการ หรือ 400 รายการและเกิน 2 ล้าน ธุรกิจออนไลน์ต้องแสดงให้สรรพากรเห็นว่าตัวเลขไหนไม่ใช่รายรับแต่ (พลาด) ผ่านบัญชีนี้มา ให้หาเอกสารประกอบการชี้แจงเตรียมไว้ เมื่อสรรพากรมาขอตรวจสมุดบัญชีธนาคาร รายการเหล่านี้จะถูกตัดออกและไม่คำนวณภาษี อย่าตกใจ มันชี้แจงได้ค่ะ
คัดแยกเอกสารที่เป็นใบกำกับภาษีทั้งแบบเต็ม แบบย่อ และ ใบเสร็จประเภทบิลเงินสดที่เขียนด้วยลายมือ ออกจากกัน
ทั้งค่าสินค้า ค่าขนส่ง ค่าวัสดุ-อุปกรณ์ ค่าแรง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วยวิธีนี้จะทำให้เราจำแนกได้ว่าใบเสร็จของธุรกิจเรามีลักษณะอย่างไร ใช้อ้างอิงและมีผลตามกฎหมายได้แค่ไหน ทำให้เราสามารถวางแผนภาษีได้
พิจารณาการเสียภาษีเหมาจ่าย 60% ถ้าธุรกิจเราหาใบกำกับภาษีไม่ได้
(ส่วนใหญ่ขายออนไลน์มักเป็นเช่นนี้!) เช่น ซื้อผ้าพันคอจากสำเพ็ง โจงกระเบนจากพาหุรัดมาขาย หรือ เราจ่ายเงินสดให้พี่วินหน้าบ้านวิ่งไปส่งของ พี่วินก็ไม่สะดวกจะเซ็นต์นู้นนี่ตลอดเวลา จากการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ธุรกิจออนไลน์สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ว่าจะเป็น อัตราเหมา หรือหักตามจริง ซึ่งถ้าไม่มีใบกำกับภาษี หลักฐานการรับเงินก็ใช้อัตราเหมาไปเลย
แสดงความพร้อมในการเสียภาษีด้วยการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ถ้าเป็นกรุงเทพให้ไปจดที่สำนักงานเขตใกล้บ้าน ถ้าเป็นต่างจังหวัดก็ไปที่เทศบาล หรือ อบต.และไม่ว่าจะขายผ่านเว็บไซต์ตัวเอง หรือ เฟสบุ๊ค ก็ต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งนั้น ขั้นแรกเพิ่งเริ่มธุรกิจออนไลน์ แนะนำให้จดแบบบุคคลธรรมดาไปก่อน การมีเครื่องหมาย DBD Registered เป็นการแสดงให้รู้ว่าเราพร้อมจะทำธุรกิจให้ถูกกฎหมายรวมถึงการเสียภาษีด้วยค่ะ อย่ากังวลกับการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มันไม่ได้ทำให้สรรพากรทราบถึงรายได้ของเรา ผู้ดูแลก็เป็นคนละหน่วยงานกันค่ะ
ถ้าเรามีรายได้หลายประเภท เวลายื่นก็ต้องคำนวณภาษีรวมกันทั้งหมด
เช่น ตอนนี้ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนด้วย ขายของออนไลน์ควบคู่ไปด้วย ก็จะต้องยื่นรายได้จากเงินเดือน คือรายได้ 40(1) ส่วนรายได้จากการขายของออนไลน์ คือรายได้ 40(8) ตามกฎหมายระบุไว้ว่ารายได้ประเภทนี้จะต้องเสียภาษีปีละ 2 ครั้ง นั่นคือภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด. 94) และ ภาษีทั้งปี (ภ.ง.ด. 90) ซึ่งหากรายได้รวมยังไม่เกิน 150,000 บาท ก็จะยังไม่เสียภาษี แค่ต้องยื่นแบบเปล่าไว้
9.ทำธุรกิจออนไลน์ถ้ารายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ก็เตรียมการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเสียภาษี
เนื่องจากรายได้เงินเดือนได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่รายได้จากการขายของออนไลน์ ถ้าเกิน 1.8 ล้านบาท เราจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้องภายใน 30 วัน ที่นี่ก็ถึงเวลาต้องตัดสินใจต่อแล้วค่ะว่าจะเปลี่ยนจากการเสียภาษีแบบบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล หรือ ยังคงเป็นบุคคลธรรมดาแต่จดเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ถึงขั้นนี้อาจได้เวลา (รวย) ที่เราต้องลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจออนไลน์เต็มตัวแล้ว ก็คงต้องหาสำนักบัญชีมืออาชีพเข้ามาทำบัญชีและให้คำแนะนำในการวางแผนภาษีเต็มรูปแบบแล้วค่ะ
เชื่อว่าถ้าทำตาม Checklists 9 ข้อนี้ เมื่อสรรพากรมาเรียก เราจะสามารถชี้แจงได้ทุกข้อคำถามพร้อมหลักฐานที่ใช้ได้ผลทางกฎหมาย ไม่ต้องกลัว… ไม่ต้องกังวล… เราไม่ได้ขายของผิดกฎหมาย เท่าแต่โลกการค้าเปลี่ยนไปเร็วมาก กฎหมายธุรกิจออนไลน์ก็ออกใหม่ๆ มาทุกปี เราแค่ต้องเตรียมตัว จะได้ไม่ต้องอยู่กันมัวๆ แบบสายเทาอีกต่อไปค่ะ!
ผลงาน ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรเขียนบทความสร้างรายได้รุ่นสู้โควิด 2020
คุณ Jinalyst
บริการอบรม ให้คำปรึกษาการทำธุรกิจออนไลน์ ฝึกอบรมภายในบริษัท แบบตัวต่อตัว การทำ Content Marketing,การโฆษณา Facebook,การโฆษณา Tiktok,การตลาด Line OA และการทำสินค้าให้คนหาเจอบน Google
บริการอบรม ให้คำปรึกษาการทำธุรกิจออนไลน์ ฝึกอบรมภายในบริษัท แบบตัวต่อตัว การทำ Content Marketing,การโฆษณา Facebook,การโฆษณา Tiktok,การตลาด Line OA และการทำสินค้าให้คนหาเจอบน Google
บริการดูแลระบบการตลาดออนไลน์ให้ทั้งระบบ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสารความรู้การทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ Add Line id :@taokaemai
รับชมคลิป VDO ความรู้ด้านการตลาด กรณีศึกษาธุรกิจ แหล่งเงินทุนน่าสนใจ ติดตามได้ที่ช่อง Youtube : Taokaemai เพื่อนคู่คิดธุรกิจ SME