หลายคนผิดพลาดในการทำธุรกิจออนไลน์เพราะมีกิจกรรมบางอย่างที่ทำแล้วทำให้ “ยอดหาย” แย่ไปกว่านั้นอาจจะต้องปิดกิจการไปเลยก็มี ไม่ว่าจะเป็นผลทางสังคม หรือ เหตุผลทางระบบออนไลน์ ไม่ว่านโยบายของ Facbook หรือ google นะครับ

ผมนำ 15 สิ่งที่ควรเลี่ยงในการทำธุรกิจออนไลน์มาฝากเตือนเพื่อน ๆ หากจะทำธุรกิจนี้ให้ยั่งยืนเติบโต ก็ไม่ควรทำ 15 สิ่งนี้นะครับ

15 สิ่ง ที่ควรเลี่ยงในการทำธุรกิจออนไลน์

1. ก็อปปี้ผลงานคนอื่น

ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนหรือภาพถ่าย ถือเป็นเรื่องที่ผิดทั้งมารยาทและผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นอย่าเสี่ยงเลยนะคะ บอกเลยว่าได้ไม่คุ้มเสียหรอก ถ้าคุณอยากได้บทความดีๆ ก็แค่หาแหล่งข้อมูลแล้วเขียนเล่าใหม่ในภาษาของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องวิจิตรงดงามแบบนักเขียนรางวัลซีไรท์หรอกค่ะ

แค่ทำเหมือนเรารู้อะไรดีๆ มาก็มาเล่าให้เพื่อนฟัง เพียงแต่เขียนให้กระชับ อ่านแล้วเข้าใจง่ายก็เท่านั้น ส่วนรูปถ่าย ถ้าไม่สามารถถ่ายรูปด้วยตัวเองได้จริงๆ ก็มีเว็บแจกภาพฟรีให้ใช้บริการเยอะแยะ ลองค้นข้อมูลในกูเกิลดูก็ได้ ง่ายกว่าไปก็อปของคนอื่นตั้งเยอะ

2. อัดภาพจนดูรก

ด้วยความที่อยากจะนำเสนอให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราจึงเห็นแม่ค้าออนไลน์มักระดมโพสต์ภาพแบบอัดๆ ยัดๆ จนดูไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าขายอะไร ซึ่งแน่นอนว่านอกจากจะไม่สามารถสร้างความดึงดูดใจได้แล้ว มันยังกลายเป็นโพสต์ขยะที่ลายตาน่ารำคาญอีกด้วย ดังนั้นคุณต้องหัดเรียนรู้การนำเสนอภาพให้มีความสวยงามโดดเด่น แล้วไม่ต้องโพสต์ที่ละหลายๆ รูปหรอกค่ะ แค่เลือกรูปเจ๋งๆ รูปเดียวให้โดดเด่นสะดุดตา ก็มีโอกาสสร้างยอดขายได้แล้ว

3. ไม่แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว

หลายคนใช้สื่อโซเชียลในทางผิดๆ คือไลฟ์สไตล์ก็อยากโชว์ ของก็อยากขาย มีอะไรๆ ก็โพสต์มั่วซั่วรวมกันไปหมด จำไว้นะคะว่า ลูกค้าไม่อยากรับรู้เรื่องส่วนตัวของคุณมากเกินไปหรอกค่ะ เพราะลำพังแค่สารพัดเรื่องที่ผ่านหน้าฟีดเขาก็มากมายพออยู่แล้ว เขาไม่มีพื้นที่มาเก็บไลฟ์สไตล์คุณหรอกว่าไปเที่ยวไหน คบกับใคร มีลูกกี่คน เลี้ยงสัตว์พันธุ์ไหนบ้าง บางคนยิ่งแล้วใหญ่ โมโหโกรธาใครก็สาดใส่เต็มโลกโซเชียล ลูกค้าเข้ามาหวังจะดูอะไรดีๆ ในธุรกิจคุณเป็นได้สะดุ้งสะเทือนกับอารมณ์แม่ค้า หยุดเถอะนะคะ แพลตฟอร์มไหนมีไว้ทำการค้าก็ควรนำเสนอแต่สิ่งที่ลูกค้าอยากรู้ก็พอ

4. นำเสนอแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ

การสื่อสารบนโลกออนไลน์ จะมายึดถือ ตัวกู ของกู ไม่ได้นะคะ เพราะก่อนที่คุณจะใส่คอนเทนท์ต่างๆ ลงไปบนโลกโซเชียล คุณต้องคำนึงก่อนว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์ต่อลูกค้าหรือไม่ อ่านแล้วลูกค้าจะรู้สึกเป็นเรื่องของเขารึเปล่า ซึ่งถ้าคุณมองข้ามตรงนี้ไป แล้วนำเสนอแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ (บางคนเซลฟี่ลงเพจเช้า กลางวัน เย็น วันนึงหลายๆ ภาพ ถามลูกค้าสักคำไหม ว่าอยากเห็นหน้าคุณบ่อยขนาดนั้นรึเปล่า) ลูกค้าเป็นได้หนีห่างคุณไกลแน่ๆ แล้วอย่ามาบ่นนะว่าขายของออนไลน์ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นเขาบ้างเลย

5. แอดมินเป็นไบโพล่าร์

ประเด็นนี้มักเกิดในกรณีที่แฟนเพจมีแอดมินดูแลหลายคน แล้วแต่ละคนก็มีบุคลิกในการสร้างคอนเทนท์หรือตอบคำถามลูกค้าแตกต่างกัน มันคงจะไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ถ้าบุคลิกของแอดมินทุกคนน่าคบหา แต่เป็นเรื่องแน่ถ้าแอดมินคนหนึ่งดี คนหนึ่งร้าย วันก่อนลูกค้าถามมาตอบดีน่าประทับใจ วันนี้เป็นอะไร ใช้คำพูดเหวี่ยงๆ วีนๆ ราวกับเป็นคนหลายบุคลิก เรื่องนี้สำคัญและละเอียดอ่อนนะคะ หากคุณมีแอดมินหลายคนก็ควรทำความเข้าใจและสร้างคาแรคเตอร์ที่มีเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวไม่ว่าเบื้องหลังจะเป็นการทำงานของแอดมินคนใดก็ตาม

6. ไม่ศึกษาความเปลี่ยนแปลง

ทุกแพลตฟอร์มบนโลกออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และคงเป็นเรื่องที่พลาดมากหากคุณทำธุรกิจแต่ไม่ศึกษาหรือทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเลย อยู่บนโลกออนไลน์ ช้าได้ที่ไหน คุณก็รู้นี่คะ

7. ยัดเยียดจนน่าเกลียด

ทั้งแท็ก ทั้งดึงเข้ากลุ่ม และอีกสารพัดวิธีที่กระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาต บอกเลยว่าเป็นการกระทำที่น่าเกลียดมากๆ และไม่ก่อให้เกิดอารมณ์อยากซื้อขายใดๆ เลย บางคนหนักถึงขนาดไปคอมเมนท์ตัดราคาบนโพสต์ของคู่แข่ง หรือส่งข้อความไปหาลูกค้าของเขาแล้วนำเสนอราคาที่ถูกกว่ากันดื้อๆ วิธีการนี้อาจดูเหมือนง่ายสำหรับคุณ แต่สำหรับลูกค้าแล้ว เขาจะรู้สึกว่าถูกรบกวน และมองคุณว่าไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย

8. พูดแต่เรื่องเก่า เล่าแต่ข้อความซ้ำๆ

ประเภทที่โพสต์กี่ทีก็ก็อปปี้แต่ข้อความเดิมๆ โผล่มาทีลูกค้าแทบไม่ต้องอ่านก็รู้ว่าคุณโพสต์อะไร หยุดเถอะนะคะ มันแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นมืออาชีพ แถมยังน่าเบื่อสุดๆ อีกด้วย

9. พิมพ์ผิดๆ ถูกๆ

เป็นกันเยอะมากจริงๆ สำหรับการคิดว่าพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ เป็นเรื่องเล็กน้อย ขอบอกว่าสำหรับลูกค้าบางคนเขาไม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กนะคะ เพราะมันแสดงออกให้เห็นถึงความชุ่ย ไม่ละเอียดรอบคอบ พาลนึกไปอีกว่าภาษาแม่ค้าเป็นอย่างนี้แล้วธุรกิจจะน่าเชื่อถือได้อย่างไร ปรับเถอะนะคะ เพราะหากคุณทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ คุณจะยิ่งลดคุณค่าของแบรนด์ลงมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน

10. ขยันสร้างดราม่า

ไม่ว่าจะเป็นนินทาลูกค้า ประจานคนนั้นคนนี้ หรือพยายามหาแนวร่วมเวลาเกิดเหตุการณ์ขัดแย้งใดๆ ขึ้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องร้ายแรง และสิ้นคิดมากๆ หากคุณเอามาแสดงหน้าบ้าน เพราะเวลามีประเด็นใดก็ตามที่ก่อให้เกิดดราม่า สิ่งที่คุณต้องทำคือพาคู่กรณีไปเคลียร์หลังบ้าน และหาทางออกให้กับเรื่องขัดแย้งนั้นๆ ให้เร็วที่สุด ยิ่งถ้าคุณพยายามสร้างดราม่าให้เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์เท่าไหร่ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความง่อนแง่นของแบรนด์คุณเท่านั้น และนักธุรกิจออนไลน์หลายรายก็จบไม่สวยเสียด้วยนะคะ

11. สร้างประสบการณ์แย่ๆ ให้กับลูกค้า

การซื้อขายบนโลกออนไลน์ มีจุดอ่อนตรงที่ผู้คนไม่ได้เผชิญหน้ากัน จึงแสดงความรู้สึกที่ไม่ถนอมน้ำใจกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งต้องยอมรับว่าในโลกออนไลน์นั้นมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม ด่าทอ พูดจาเหวี่ยงวีน หรือทำในสิ่งที่ลูกค้ารู้สึกแย่ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างรอยด่างพร้อยให้เกิดในแบรนด์ของคุณ และหากรอยด่างนั้นขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ มันก็เป็นปัจจัยในการลดทอนรายได้ของธุรกิจคุณเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน

12. อ้างโน่น อ้างนี่ อ้างนั่น

การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ คุณต้องมีความรวดเร็วและชัดเจน สามารถตอบคำถามของลูกค้าได้อย่างไร้ข้อสงสัย ซึ่งหากคุณไม่สามารถทำได้ตามข้อตกลงที่เคยให้กับลูกค้าไว้ แล้วพาลโทษนั่น โทษนี่ (แต่ไม่โทษตัวเอง) ยิ่งอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง และกลายเป็นจุดจบอันน่าเศร้าของแบรนด์คุณไปได้ในที่สุด

13. ไม่พยายามอำนวยความสะดวก

ซื้อขายบนโลกออนไลน์จะได้เงินง่ายๆ ถ้าคุณสร้างความ “ง่าย” ให้เกิดขึ้นในธุรกิจของคุณ อย่าได้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ากว่าจะได้สินค้าของคุณมาแต่ละชิ้นช่างยุ่งยากลำบากใจ ช่องทางการชำระเงินก็น้อย ถามแล้วตอบช้า ตอบมาก็ตอบไม่เคลียร์ ไม่แจ้งแทรกกิ้งนัมเบอร์จนกระทั่งลูกค้าต้องทวงถาม จ่าหน้าซองผิดๆ จนเป็นภาระให้ลูกค้าต้องไปตามหาของ ขาดความรอบคอบจนส่งของผิดคน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถ้าได้เกิดกับธุรกิจของคุณ ก็คงเป็นการซื้อขายเพียงครั้งเดียวที่จะเกิดกับลูกค้าเคสนั้นๆ เช่นเดียวกัน

14. ให้ข้อมูลที่เกินจริง

หลายเคสเหลือเกินที่ไร้ความจริงใจในการทำธุรกิจ ชอบให้ข้อมูลที่บิดเบือนหรือเป็นเท็จ สร้างผลเสียให้เกิดตามมามากมาย เพียงเพราะหวังจะขายๆๆ เท่านั้น กรณีนี้หากคุณยังคงไม่แคร์ ธุรกิจของคุณก็คงเป็นได้แค่ไฟไหม้ฟางและรอวันล้มหายตายจากไปในที่สุด เพราะคนที่โกหกจนไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมานั้น ย่อมไม่สามารถสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจได้อย่างแน่นอน

15. ไม่หาหนทางสร้างลูกค้าประจำ

การทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ง่ายเหมือนสมัย 4-5 ปีก่อน เพราะปัจจุบันมีคนเข้ามาเล่นในวงจรนี้เยอะเหลือเกิน ดังนั้นต้นทุนในการทำธุรกิจจึงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วคุณจะเหนื่อยจนไปต่อไปไม่ไหว ถ้าไม่สร้างฐานลูกค้าประจำเอาไว้เสียเลย

ซึ่งหากคุณมัวแต่ค้นหาลูกค้าใหม่อยู่เรื่อยๆ คุณก็ยังต้องอัดงบประมาณในการทำการตลาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น คุณจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการมัดใจลูกค้าเก่าเอาไว้เสียบ้าง

อย่างน้อยนอกจากพวกเขาจะทำให้คุณประหยัดค่าการตลาดลงไปได้มากแล้ว ลูกค้าเก่านี่แหละคือกระบอกเสียงสำคัญในการสร้างลูกค้าหน้าใหม่ๆ โดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินจ้างเลยแม้แต่บาทเดียว