อาหารเสริมเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากอีกหนึ่งธุรกิจ โดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ธุรกิจที่มีส่วนแบ่งการตลาดมูลค่าสูง ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผู้ประกอบการที่สนใจต่างเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดมูลค่ามหาศาลนี้ แต่แม้จะมีส่วนแบ่งมูลค่ามหึมารออยู่ก็ใช่ว่าผู้ที่เข้ามาสู่วงการนี้จะประสบความสำเร็จทุกราย หากคุณไม่เข้าใจโมเดลของธุรกิจว่าต้องเตรียมเงินลงทุนเท่าไหร่ดี เพื่อไม่ให้คุณต้องล้มเหลวจากธุรกิจอาหารเสริม ในบทความนี้เรามีคำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับเงินลงทุนที่ควรมีหากคิดจะทำแบรนด์ธุรกิจอาหารเสริมมาแนะนำ

ทำแบรนด์อาหารเสริมลงทุนเท่าไร ? 7 องค์ประกอบต้นทุนและราคาโดยประมาณที่คุณควรรู้เมื่อคิดจะลงทุนทำอาหารเสริม

1. ตัวสารหรือลักษณะของอาหารเสริม

ตัวสารหรือลักษณะอาหารเสริมก็คือตัวของผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่สายตาของผู้บริโภค โดยตัวสารที่ว่านี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบดังนี้

เม็ดหรือแคปซูล

โดยมากโรงงานที่รับผลิตมักจะกำหนดขั้นต่ำในการสั่งผลิต และแต่ละล็อตการผลิตมีตั้งแต่ 30,000 เม็ด 60,000 เม็ด 120,000 และ 240,000 เม็ดตามลำดับ สำหรับราคาจะอยู่ในช่วงราคา 1-15 บาทต่อเม็ด โดยราคาจะขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่อยู่ในอาหารเสริมนั้นและจำนวนการผลิตในแต่ละล็อต ซึ่งหากคุณต้องการให้ตอกโลโก้หรือทำตัวอักษรลงไปบนเม็ดก็จะต้องเพิ่มในส่วนของค่าโมลด์ประมาณ 4,500-20,000 บาทหรือหากคุณต้องการเพิ่มการเคลือบเม็ดกันชื้นหรือเคลือบเม็ดสีบางโรงงานอาจเคลือบเม็ดกันชื้นให้ฟรีแต่บางโรงงานอาจต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000-20,000 บาท เช่นเดียวกับอาหารเสริมในรูปแบบแคปซูลที่หากต้องการโลโก้หรือตัวอักษรก็มักจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม โดยมีขั้นต่ำที่ประมาณ 100,000แคปซูลในราคา 10,000 – 30,000 บาท

ชนิดผง

การผลิตอาหารเสริมชนิดผงก็จะมีล็อตการผลิตเช่นกันโดยแบ่งเป็น 10,000 ซอง 30,000 ซอง 60,000 และ 120,000 ซองตามลำดับขึ้นกับทางโรงงานและเจ้าของแบรนด์ โดยมีราคาประมาณ 6-25 บาทต่อซองขึ้นกับส่วนผสมที่อยู่ในอาหารเสริมนั้น

ชนิดน้ำ

เป็นอาหารเสริมที่ไม่ค่อยมีคนนิยมผลิตออกมาจำหน่ายเพราะมีข้อจำกัดในเรื่องของน้ำหนักและความไม่สะดวกในการขนส่ง แต่ก็มีบ้างที่รับผลิตให้แบรนด์โดยล็อตหารผลิตจะอยู่ที่ครั้งละ 5,000 ขวด 10,000 และ 20,000 ขวดตามลำดับโดยมีราคาต่อขวดอยู่ที่ 4-20 บาท

2. บรรจุภัณฑ์ภายใน

บรรจุภัณฑ์ภายในก็คือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้บรรจุผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะแพคลงกล่อง โดยจะมี 2 รูปแบบคือ

  • แผงใส่สารแบบเม็ดหรือแคปซูล: จะมีราคาอยู่ที่ 3-10 บาทต่อแผง โดยหากเจ้าของแบรนด์ต้องการสกรีนฟอยด์หลังแผงจะต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายเป็นค่าบล็อกพิมพ์ประมาณ 3,000-5,000 บาท
  • ซองใส่สาร: หากเจ้าของแบรนด์เลือกแบบที่ไม่มีสกรีนก็อาจไม่ต้องเสียค่าซองแต่ก็จะไม่สามารถเลือกสีได้ แต่หากเลือกรูปแบบซองสกรีนจะต้องสั่งที่ประมาณ 30-100 ม้วนในราคาม้วนละ 1,200-1,800 บาท และยังมีค่าบล็อกรวมถึงค่าออกแบบประมาณ 4,000-30,000 บาทขึ้นกันรูปแบบที่เจ้าของแบรนด์ต้องการ

3. บรรจุภัณฑ์ภายนอก

บรรจุภัณฑ์ภายนอกจะมี 2 รูปแบบคือ

กล่อง

จะมีค่าออกแบบที่ประมาณ 3,000-6,000 บาท ค่าบล็อก 4,000-20,000 บาทแต่ค่าบล็อกและค่าออกแบบนี้จะเสียเพียงครั้งเดียว โดยจำนวนที่รับพิมพ์จะอยู่ที่ 1,000 กล่อง 3,000 หรือ 6,000 กล่องขึ้นกับตัวของโรงงานโดยมีราคาประมาณ 8-25 บาทต่อกล่องโดยขึ้นกับรูปแบบการพิมพ์กล่อง

ขวดหรือกระปุก

จะถูกกำหนดให้ต้องสั่งครั้งละ 3,000-10,000ขวดหรือกระปุกในราคาประมาณ 5-20 บาทต่อขวด ซึ่งบรรจุภัณฑ์ชนิดกล่องหรือขวดนั้นคุณจะต้องเสียค่าสติ๊กเกอร์รอบขวดอยู่ที่ 5,000-20,000 บาท ค่าออกแบบสติ๊กเกอร์ 1,000-3,000 บาท รวมถึงค่าของอื่น ๆ เช่นฟองน้ำกันกระแทก แผ่นติดฝาขวด เป็นต้น

4. แพคกิ้ง

ตัวของแพคกิ้งก็คือค่าบรรจุสินค้าโดยโรงงานมักจะคิดค่าแพคกิ้งในราคาต่อชิ้นที่ 4-10 บาทต่อชิ้น

5. ค่าจดเลขทะเบียน อย.

ค่าจดเลขทะเบียน อย. จะมีค่าใช้จ่ายที่ 10,000-20,000 บาทแล้วแต่ว่าโรงงานจะเรียกเก็บเท่าไรเพราะตัวของโรงงานจะเป็นผู้ยื่นเรื่องขอเลข อย.ให้กับแบรนด์สินค้าของคุณ

6. ค่าตราสัญลักษณ์ฮาลาล

หากคุณต้องการขายสินค้าให้กับชาวมุสลิมก็จำเป็นต้องมีค่าตราฮาลาลเป็นสัญลักษณ์แสดงอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 5,000-10,000 บาทและการมีการต่ออายุตามช่วงเวลาที่กำหนด

7. ค่าขนส่ง

ค่าใช้จ่ายในเรื่องของการขนส่งจะขึ้นอยู่กับบริการขนส่งสินค้าที่รับบริการจัดส่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เจ้าของแบรนด์จะต้องคำนึงถึงเช่นกัน

ควรจะตั้งราคาอย่างไรดี

สำหรับการตั้งราคานั้น แบรนด์สินค้าอาหารเสริมมักจะทำการคำนวณต้นทุนทั้งหมดออกมาว่ามีต้นทุนการผลิตแต่ละล็อตอย่างไร เมื่อได้ราคาต้นทุนที่แน่นอนแล้วก็มักจะกำหนดราคาขายเป็นจำนวน “เท่า” ของราคาทุนเช่น 5 เท่า 7 เท่าหรือ 10 เท่า โดยสมมติว่าคุณมีต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ 900,000 บาทคุณอาจกำหนดราคาขายโดยแบ่งเป็น

  • เจ้าของแบรนด์ต้องการกำไร 2 เท่า
  • ค่าการตลาด 1 เท่า
  • ให้กำไรสำหรับการขายส่ง 1 เท่า
  • ให้กำไรสำหรับการขายปลีก 1 เท่า

รวมเป็น 4,500,000 บาทและสมมติว่าคุณผลิตสินค้าทั้งสิ้น 7,00 กล่อง ราคาจะตกอยู่ที่ 642.85 บาทต่อกล่องโดยคุณอาจตั้งราคาขายข้างกล่องไว้ที่ 650 บาทแต่ขายส่งในราคา 600 บาทก็ได้ การกำหนดราคาขายนี้มักจะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัทนั่นเอง

จะได้กำไรหรือขายไม่ได้เลยส่วนหนึ่งอยู่ที่ว่าคุณรู้จักการทำการตลาดมากน้อยแค่ไหน

อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่าใช่ว่าทุกคนที่คิดสร้างแบรนด์อาหารเสริมจะประสบความสำเร็จทุกคน เพราะหากคุณไม่รู้จักการทำการตลาด ไม่รู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายและไม่รู้ว่าคุณจะขายสินค้าให้ใคร คุณจะไม่มีวันขายสินค้าได้อย่างแน่นอน ดังนั้นก่อนที่จะคิดทำอาหารเสริมคุณอาจจำเป็นต้องตอบคำถามให้ได้ว่าคุณรู้จักการทำการตลาดอาหารเสริมไหม คุณทราบไหมว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของสินค้าของคุณ เพราะการจะขายสินค้าได้ไม่ได้ขึ้นกับดวงแต่ขึ้นอยู่กับฝีมือและความรู้ทั้งหมดที่คุณมีต่างหาก

ทำแบรนด์อาหารเสริมลงทุนเท่าไรทำแล้วจะได้กำไรเท่าไหร่ คุ้มไหม  สำหรับผู้ที่มีความรู้และเข้าใจวิธีการทำการตลาดและช่องทางการขายอาหารเสริม หรือทราบว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของคุณ คำแนะนำข้างต้นเปรียบดั่งอาวุธที่จะช่วยให้คุณเดินหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างที่ต้องการ แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจวิธีการทำการตลาดหรือยังไม่รู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของสินค้าคุณก็อาจจำเป็นต้องกลับไปศึกษาในเรื่องนี้ให้ละเอียดอีกสักนิด ก็เชื่อได้ว่าหากคุณมีความรู้ทั้งในเรื่องของการตลาด การมองหากลุ่มเป้าหมายและความรู้ในเรื่องของการบริหารเงินลงทุนและการกำหนดราคาขาย คุณจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในวงการอาหารเสริมอย่างแน่นอน