น้องแฮนด์ เป็นแฟนคลับตัวยง ของเพจเถ้าแก่ใหม่ และเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญในการรวมกลุ่ม เถ้าแก่ใหม่ จนพัฒนากลายมาเป็น “ชมรมธุรกิจสร้างสรรค์” ในปัจจุบัน

แรก ๆ น้องแฮนทำธุรกิจ แพคขนมขายนำมาเล่าในกลุ่ม line ให้พวกเราได้อ่านทุกคนตื่นเต้น คอยลุ้นและเป็นกำลังใจให้น้อง

เรื่องนั้นว่าตื่นเต้น และได้ความรู้แล้ว แต่ บทความที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ผมบอกได้เลยครับ ผมอ่านไปไม่กี่ย่อหน้าต้องรีบโทรหาน้องเลยครับ “แฮนด์ พี่อ่านแล้ว…น้ำตาตรูจะไหลหวะ !!”

หนุ่มที่มีแต่รอยยิ้ม เป็นคนที่ยิ้มจริงใจมาก ผมแทบไม่เชื่อว่า ชีวิตน้องต้อง “เอาชนะใจ” ตัวเองได้มาขนาดนี้ครับ

ได้เวลาที่ “เถ้าแก่ใหม่” หัวใจเกินร้อยอย่าง น้องแฮนด์ มาบอกเล่าเส้นทางชีวิต เส้นทางธุรกิจเขาแล้วครับ

น้องแฮนด์แนะนำตัวเพื่อนๆ ครับ

สวัสดีครับ ผมอิฏฐวัชร ณัฐประสิทธิกุล ชื่อเล่นแฮนด์ครับ  ผมเรียนจบ ปริญญาตรี สาขา การตลาด มหาวิทยาลัย บูรพา วิทยาเขต จันทบุรี

ทราบว่าทำอะไรอยู่หลายอย่างเลยทีเดียว

เล็กน้อยครับพี่เกียรติ อาศัยว่าจัดสรรเวลา ทำตามสิ่งที่ฝัน และ บางอย่างก็ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่

1.ผู้ให้บริการนำเข้า-ส่งออก ระหว่างประเทศ และขนส่งสินค้าภายในประเทศครับ

asas2

  1. จำหน่าย เมล็ดเจีย (เมล็ดเชีย),ข้าวก่ำล้านนา,ข้าวแดงดอย, ข้าวลืมผัว, ข้าวหอมมะลิ105 แบรนด์ Slim Healthy
  2. จำหน่าย ทุเรียนอัดเม็ด แบรนด์ Siam Du-Rian
  3. เทรดดิ้ง สินค้า กลุ่มขนมคบเคี้ยวที่ดีสุขภาพและ ปลาร้าแปรรูป เช่น ปลาร้าครีม ปลาร้าอัดก้อน ครับ

ขยันมาก ก่อนหน้านี้มีทำไรมาบ้าง

พนักงานยกลังหนังสือในโกดังทำงานพิเศษหาเงินสมัยมัธยมMarketing Executive ให้บริการนำเข้า ส่งออกระหว่างประเทศ (Freight Forwarder)

Account Executive นิตยสารเพื่อผู้ประกอบการ SME SECRET

ขนมแผง ถั่วต่างๆและ ผลไม้แปรรูป แบรนด์ แพะคึกคัก

ผลไม้แปรรูปบรรจุถุงซิปล็อค แบรนด์ Paradise of fruit

เล่าเรื่องราวชีวิตกว่าจะมาเป็น “เถ้าแก่ใหม่” ทุกวันนี้ให้ฟังหน่อย

เรื่องมันยาวครับ พี่ งั้น ขอท้าวความถึงสาเหตุว่าทำไมถึงอยากทำธุรกิจส่วนตัวก่อนนะครับ

พ่อแม่ของผม หย่ากันตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้ ผมจึงอยู่กับป้าและ ยาย ที่สุพรรณบุรี ส่วนแม่ผมทำงานที่กรุงเทพฯ ทางบ้านทุกคนรับราชการ มีแต่แม่ผมคนเดียวทำงานบริษัทเอกชน ไม่มีใครทำธุรกิจส่วนตัวเลยครับ

ตอนอายุประมาณ 14-15 ปี ผมถามยายว่า ยายๆพ่อทำงานอะไรหรอ ยายตอบ

“พ่อเอ็งเป็นเจ้าของเต้นรถมือ 2 และขายมือสองหลายอย่าง พ่อเอ็งอะรวย”

วันนั้นทำให้ผมมีเป้าหมายเลยว่า ต้องเป็นเจ้าของธุรกิจให้ได้ วันนั้นทำให้ผมมีความเชื่อว่า ธุรกิจส่วนตัว จะทำให้เรามีกินแบบไม่ลำบาก

หลังจากนั้นไม่กี่วันครับ ป้าจ้างช่างก่อสร้างมาก่ออิฐเพื่อกันน้ำเข้าบ้านช่วงนั้นน้ำท่วมครับ

แม่ผม และทุกคนที่บ้านอยู่กันพร้อมหน้า ช่างก่อสร้างถามผมเสียงดังว่า นู๋ โตไปอยากเป็นอะไร

ผมตอบทันที “ผมจะเป็นเจ้าของธุรกิจครับ”

ทันใดนั้นทุกคนที่บ้านหัวเราะกันทุกคน แล้วป้าก็ถามว่า แล้วเอ็งจะทำธุรกิจอะไร ? ผมตอบกลับอย่างไวว่า “อะไรก็ได้ (เสียงสูง!) ค่อยไปหาเอาตอนโต”  แล้วป้าบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ต้องเป็นราชการหรือไม่ก็ไปเป็นเซลล์อย่างแม่มึงที่กรุงเทพ

ผมรีบเดินก้มหน้า น้ำตาซึม เข้าบ้านทันที

เมื่อโตขึ้น แม่ก็ส่งเงินมาให้ผมใช้จ่ายค่ากินเดือนละ 3,000 บาท ตั้งแต่ ม.5 จนถึงจบ มหาวิทยาลัย ปี4 เดือนละ 3,000บาท ตลอดมา ในสมัย ม.5-ม.6 ก็พอผ่านมาได้ แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัย มันไม่เยอะเลยสำหรับชีวิตมหาวิทยาลัย แต่ผมไม่เคยเอ่ยปากขอเพิ่มเลยเพราะรู้ว่ามันคือทั้งหมดของแม่แล้ว แม่ผมทำงานเป็นพนักงานประจำบริษัทเอกชนครับ ส่งเงินให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัย 2 คน ด้วยตัวคนเดียว

ผมยิ่งตอกย้ำว่า พนักงานประจำไม่ใช่เป้าหมายในชีวิต ต้องธุรกิจส่วนตัวเท่านั้น ที่จะทำให้ชีวิตของครอบครัวเราดีขึ้น

ตอนมหาวิทยาลัย ปี1 ยายโทรมา แล้วพูดว่า มึงใช้ประหยัดๆหน่อยนะแม่มึงไม่ค่อยมีตังค์ ด้วยความเป็นเด็กจึงตอบกลับแบบขึ้นเสียงว่า “โห่ แค่นี้ก็ไม่รู้จะหยัดยังไงแล้ว ประหยัดสุดๆแล้วยาย” ยาย กระซิบว่า มึงรู้ไหม มึงอย่าไปบอกแม่มึงนะ แม่มึงโทรมาร้องไห้กับยายเมื่อกี้ แล้วบอกว่า “เนี้ยนู๋ ซื้อกล้วยมาหวีหนึ่ง กินทั้งอาทิตย์ เงินเดือนที่ออกมา ส่งให้ลูก แฮนด์ แฮม (พี่สาวผม) เรียนมหาลัยหมดแล้ว”

ผมน้ำตาไหลแล้วบอกกับตัวเองวันนั้นเลยว่า

“ไม่วันนี้หรือ วันไหน เราจะลำบากยังไง แม่ลำบากกว่าเราหลายเท่า”

เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมสอบสัมภาษณ์งานที่แรก ก็ขอทำเลย ผมไม่เกี่ยงเรื่องงานประจำว่าต้องบริษัทใหญ่ หรือมีชื่อเสียง ผมต้องการเงินเดือน แม่จะได้ไม่ต้องมาส่งเงินให้ผมอีก ผมเริ่มงานในตำแหน่ง ฝ่ายขาย แน่นอนเงินเดือนน้อยครับ ผม Start เงินเดือนที่ 10,000 บาทเท่านั้น (ค่าคอม ไม่มีครับ ยอดขายไม่ถึง) เวลาผ่านไป 1 ปี งานประจำเริ่มลงตัว ผมบอกตัวว่า วันนี้ล่ะ ถึงเวลาแล้ว ที่จะทำธุรกิจส่วนตัว!!

ก้าวแรก เริ่มต้นธุรกิจ !!!

เริ่มด้วยการ พิมพ์ใน Google ว่า “เงินน้อยทำธุรกิจอะไรดี” แล้วก็กดอ่านทุกเว็บที่มีเลยครับ

แล้วหยุดอ่านอย่างตั้งใจที่กระทู้พันทิป ที่มีคนตั้งกระทู้ถาม คำถามคล้ายผม ในกระทู้มีคอมเม้นหนึ่งบอกว่า ให้ทำขนมแผงแล้วไปส่งตามร้านโชว์ห่วย ผมก็อ่านอย่างตั้งใจ เค้าอธิบายขั้นตอนไว้ดีมากๆ ว่าอันนี้ซื้อที่ไหนอะไรยังไง ผมด้วยความไม่ได้มีทางเลือกหรือช่องทางที่ติดตัวอะไรมากนัก จึงเริ่มลงมือทำขนมแผง จังหวะนั้นผมรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ดูทันที มีแบงค์ 20 อยู่ 3-4 ใบ แล้วก็เหรียญ รวมแล้วประมาณ 100 บาท แล้วผมก็ปิดกระเป๋าสตางค์ แล้วลุกขึ้นแต่งตัวออกไปซื้อกระดาษแข็งที่สำเพ็ง 5 กิโล กิโลละ20 บาท ตามคำแนะนำในกระทู้พันทิป ระหว่างเดินทางไปสำเพ็งผมได้ พิมพ์บันทึกการเริ่มต้น ที่เฝ้ารอวันนี้ มาเกือบ 10 ปี นี้ไว้ในโทรศัพท์ด้วย

asas3

หลังจากนั้นผมก็เอาเงินเดือนมาหมุนทำธุรกิจ ประมาณเดือนละ 3,000 –6,000 บาท เป็นค่าซื้อ ถั่ว – ผลไม้แปรรูป ชื่อแบรนด์ แพะคึกคัก สโลแกน แพะคึกคัก สนับสนุน คนดึกคัก แบ่งใส่แผง ซองละ 5 บาท – 10 บาท ขนมแผง 1 แถวมี 10 ซอง ทำราคาส่ง 4 บาท – 8 บาท ก็ทำเองขายเอง ส่งเอง ทำควบคู่ไปกับงานประจำ

พักเทียงขับมอไซค์กลับห้องเอาขนมแผงไปส่งแล้วกลับไปเข้างานประจำต่อ – เลิกงานกลับห้องก็เอาขนมแผงขับมอไซค์ไปส่งต่อ – ส่งเสร็จก็กลับมานั่งแพ็คขนมแผงต่อ เป็นแบบนี้ประจำทุกวัน

ช่วงที่หาร้านโชว์ห่วยส่งสินค้าร้านแรกๆ ผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง รู้แต่ต้อง เตรียมตัวให้ดีที่สุด

หลังเลิกงานประจำ ผมอาบน้ำ แต่งตัว ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว ตัวที่เนี้ยบสุด ตั้งใจรีดอย่างดี ติดกระดุมทุกเม็ด กางเกงสแลค รองเท้าคัดชู ฉีดน้ำหอมเตรียมตัวเสร็จเกือบ 1 ทุ่ม ซึ่งมืดแล้ว

ผมเดินไปหยิบขนมแผงมาห้อยที่มอไซค์ โซนิกตัวเก๋า แล้วขับออกไปหน้าปากซอย เริ่มตั้งแต่ซอยแรก ขับเข้าทุกซอย เจอร้านโชว์ห่วยร้านแรก ผมขับผ่านก่อน ไม่กล้าจอดหน้าร้าน ยังเขิลอยู่ จึงไปจอดไกลๆ แล้วยืนเช็คความเนี้ยบการแต่งกายเดินหลังตรง หิ้วขนมแผงมา 4 – 5 แผงเดินไปที่ร้านนั้น พอถึงหน้าร้าน!!

มองเข้าไปในร้าน… เดินผ่านไปหน้าตาเฉย โดยไม่หยุดซักก้าว…. แล้วก็เดินร้องไห้ วนกลับมานั้งที่รถ เพราะไม่กล้าเข้าไป รู้สึกอาย และจิตตกมากๆ ตอนนั้นสั่งกับตัวเองเลยว่า

“ถ้าวันนี้มึงไม่เข้าไป มึงก็ไม่ต้องกลับห้อง”

แล้วสักพักก็เดินไปใหม่ แล้วก้าวเข้าไป เจอคุณยาย และคุณตาอยู่ในร้าน ผมตั้งใจไหว้งามๆ แล้วพูดว่า ผมมีถั่ว และผลไม้แปรรูปมาฝากขายครับ พร้อมรีบหยิบสินค้าพรีเซนต์ให้ดู คุณยายบอก ไม่เอาๆ มีแล้วๆ ผมก็ยังฮึดอยู่บอกต่อว่า ผมยังไม่เก็บเงินเลยนะครับ มีสินค้าผมมีหลายตัวเลย ตัวนี้คุณยายยังไม่มีขายนะครับ ขายไม่หมดภายใน 30วัน มาเปลี่ยนตัวใหม่ให้เลยครับ คุณยายบอก ไม่เอาๆๆ มีคนส่งแล้ว ตอนนั้นคือน้ำตาซึม…ผมจึงต้องเอ่ยว่า “ขอบคุณครับ” แล้วเก็บของเดินออกจากร้านไปที่รถมอไซต์

แบบ“เดินยิ้มทั้งน้ำตา” เสียใจจากการถูกปฏิเสธ แต่ภูมิใจกับตัวเองมากๆ ที่ได้ทำตามคำพูดของตัวเอง จึงให้รางวัลตัวเองด้วยการ บอกตัวเองว่า วันนี้เก่งมาก วันนี้พอแค่นี้ กลับห้องได้

รุ่งขึ้นผมก็มานั้งคิด ว่าที่เค้าปฏิเสธเพราะอะไร ได้คำตอบว่า

  1. เราไปหาเค้าตอนมืดไป
  2. เราเข้าไปเสนอขายเลยทันทีตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก โอกาสที่ลูกค้าจะปฏิเสธเราทันทีก็เลยมีสูงเช่นกัน

จึงแก้ด้วยการ ไปหาช่วง พักเทียง ของงานประจำ และเข้าไปครั้งแรก พูดแค่ว่า สวัสดีครับ ผมมีขนมแผงถั่วและ ผลไม้แปรรูป มาฝากขายครับ ฝากรายละเอียดให้พี่อ่านก่อน พรุ่งนี้ผมมาหาพี่ใหม่นะครับ

แล้วยื่น A4 ให้เค้า 1 ใบ แล้วขึ้นมอไซค์ขับไปหาร้านอื่นต่อไป

ในใบนั้น มีหัวกระดาษ ตราสินค้า สโลแกน ชื่อสินค้า ราคาส่ง รูปสินค้า ช่องทางติดต่อ ประทับตรายางครบ

หลังจากทำวิธีนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จ ในการเข้าไปติดต่อฝากขายสินค้าครับ

ผ่านไป เกือบ 1 ปีก็มีร้านโชว์ห่วย ในมือไว้ส่งสินค้าอยู่ 18 ร้าน หลังจากนั้นร้านโชว์ห่วยต่างๆที่ส่งอยู่ เริ่มเปลี่ยนไป มีหลายร้านค้างค่าสินค้าหลายเดือนเพราะไม่มีเงินจ่าย บางร้านปิดร้านหายไปดื้อๆ บางร้านขอให้หยุดส่งเพราะลูกค้าเข้าร้านน้อยลง

บวกกับความคิดว่าขนมแผงมีขีดจำกัดด้านเพดานราคา จะทำสินค้าดีขึ้นแล้ว ขายราคาสูงขึ้น ลูกค้าในตลาดนี้ก็กำลังซื้อไม่สูง ผมจึงอยากเปลี่ยนตลาด และพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้นเพื่อไปได้ไกลขึ้น กว้างขึ้น จึงหยุดขนมแผงหันมาทำ ผลไม้แปรรูป ใส่ซองซิปล็อค ติดสติกเกอร์

คิดใหญ่ครับ อยากเอาเข้าห้าง พอคิดแบบนี้ก็ตัดสินใจว่าต้องมี อย. เลยเข้า Googleศึกษาเรื่อง อย. ต่อ

โดยใช้ห้องเช่าที่อยู่ปัจจุบันเลยครับ เอาเงินเดือนจากงานประจำแต่ละเดือน มาใช้เป็นค่าประตู โต๊ะ เครื่องจักรต่างๆ ทำอย่างใจเย็น ซื้อเดือนละ 1 ชิ้น 2 ชิ้น ซื้อแค่นี้เงินแต่ละเดือนก็หมดแล้ว อาศัยบอกตัวเอง

“ถ้าตั้งใจทำธุรกิจ มันไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่เติบโต”

ผมเชื่อมั่นและมีความอดทนในสิ่งที่ทำ ใช้เวลาในการทยอยซื้ออุปกรณ์ต่างในการปรับปรุงห้องประมาณเกือบ 1 ปี

หลังจากปรับปรุงก็เอาโครงสร้างไปให้ทาง อย. เค้าตรวจสอบดู 3 ครั้งแรก เค้าบอกไม่ได้ ไม่ผ่าน เป็นไปไม่ได้ ห้องเล็กๆของน้องมันทำไม่ได้ ผมก็ถามว่า

“ครับ ถ้าทำแบบผ่านต้องเป็นแบบไหนครับ”

ผมก็ปรับปรุง แก้ไขเรื่อยๆ จนครั้งที่ 4 เค้าเริ่มเงียบแล้ว เอ่ยว่า ได้นะ แต่ต้องแก้ไขอีก ผมก็แก้ไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างถูกต้อง

รวมๆแล้วเสนอแก้ไป ประมาณ 12 ครั้ง ระหว่างทางการปรับปรุง ผมพูดให้กำลังใจตัวเองบ่อยๆว่า

asas4

“เราไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าตรงนี้ไม่ได้ จะเช่าที่ ที่ผ่านง่ายกว่านี้ ก็จ่ายไม่ไหว ที่ดินของตัวเองก็ไม่มี ตอนนี้มีแค่ห้องเช่าที่อยู่ตรงนี้เท่านั้น ถ้าตรงนี้ไม่ได้ ก็จบกัน”

จึงไม่มีทางถอย สู้จนมันทำได้ บอกตัวเองเสมอว่า “ช้าหน่อย แต่ถึงแน่นอน”

ผมจึงเริ่มทำธุรกิจผลไม้แปรรูป แบรนด์ Paradise of Fruit ออกแบบสติกเกอร์เอง ติดเองแบ่งบรรจุเอง เสร็จแล้ว ก็กำลังหาตลาด ระหว่างที่หาตลาดนั้น สินค้าผลไม้แปรรูป  ผลไม้เริ่มสีเปลี่ยน ตามอากาศที่ร้อนของเมืองไทย ทำให้ไม่น่าทาน อย่าง กีวีจากสีเขียวสดใสๆ กลายเป็น สีเขียวเข้มเหี่ยวๆ สินค้าตัวอื่นก็เหมือนกัน ทำให้ผมกุมขมับอีกครั้ง เพราะสินค้าที่ขายทุกตัว แม้จะมี Shelf life อย่างน้อย 1 ปีทั้งหมด แต่ลืมคิดทางด้านขีดจำกัดการเสื่อมสภาพของสินค้าเมือเวลาผ่านไป จึงพักการทำธุรกิจไว้ก่อน คุยกับตัวเองเขียนลงกระดาษอย่างตั้งใจว่าสินค้าต่อไป ที่เราต้องการเป็นอย่างไร คำตอบที่ตอบตัวเองคือ

1.เป็นอาหาร

2.ดีต่อสุขภาพบริโภคแล้วไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย

3.มี Shelf life อย่างน้อย 1 ปี

4.มีอัตราการเสื่อมสภาพทางรูปลักษณ์สินค้าต่ำ

ระหว่างที่หยุดทำธุรกิจชั่วคราวแล้วสรุปการเรียนรู้ของตัวเองที่ผ่านมา ผมก็ได้

“เข้า Google แล้วพิมพ์ว่า “สัมมนาธุรกิจอาหาร” แล้วลงชื่อเข้าสมัครการสัมมนาธุรกิจอาหาร หลายๆสัมมนา ที่จัดโดยรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ หวังเข้าหาคน ไปสร้างคอนเนคชั่นทางด้านธุรกิจอาหาร เพราะผมไม่เคยมีที่ปรึกษา คิดเองทำเองคนเดียวมาตลอด

แล้วก็ได้ผล นอกจากผมได้จะตอนเนคชั่น ยังได้รับความไว้วางใจเป็นตัวแทนจำหน่ายของสินค้าอาหารให้บางท่านด้วย ผมจึงทำเป็นเทรดดิ้ง ซื้อมาขายไปบ้างเล็กน้อยครับ

หลังจากนั้นผมก็หาโอกาสจาก Googleไปเรื่อยๆ อ่านตามข่าวต่างๆ ว่าตลาดตอนนี้สินค้าอะไรดัง ขายอะไรดี อะไรน่าสนใจสำหรับอนาคตระยะยาว จดไว้ทุกอย่าง บนไวท์บอร์ด ว่าอะไรเราพอทำได้บ้าง จดไว้ประมาณ 30 กว่ารายการ จากนั้น คัดทิ้งไปเรื่อยๆ ศึกษาลงลึก ทีละตัว ทีละตัว จนเหลือไม่กี่รายการ หนึ่งในนั้นคือ เมล็ดเจีย สุดยอดอาหาร เพื่อสุขภาพ ทานได้ทุกวัย ทานง่ายมีประโยชน์ Shelf life 2 – 3 ปี สรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเยอะมาก  และที่สำคัญอยู่ในกลุ่มอาหารสุขภาพ

จึงสั่งซื้อมาลองทานพร้อมศึกษาเกี่ยวกับตัวสินค้าหลายเดือนถึงด้านต่างๆของสินค้า เมื่อมั่นใจว่าสินค้าตัวนี้ดี มีประโยชน์กับผู้บริโภคจริง จึงติดต่อต่างประเทศเพิ่มนำเข้ามาจำหน่ายจากประเทศออสเตรีย

“ซึ่งตอนนั้นเงินก็เหมือนเดิมครับ…ยังไม่ค่อยมีเหมือนเดิม”

จึงขอหนังสือรับรองจากบริษัทที่ทำงาน แล้วไปสมัครบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด แล้วเริ่มเลยครับ

กดเงินจากบัตรกดเงินสด มาจ่ายค่าเปิดบริษัท จ่ายค่าสินค้า จ่ายค่าต่างๆ  ช่วงนั้นระวังตัวเองสุดๆ ทำงานอย่างเดียว งดเที่ยว กินประหยัดที่สุดเพราะ เงินที่ใช้เป็นเงินร้อน ต้องใช้อย่างระวังมากที่สุด จะได้ไม่เป็นเบี้ยหัวแตก และการชักหน้าไม่ถึงหลังในอนาคตครับ

คิดแล้วลงมือทำสุดยอดมากครับ อดทน รอคอย และ หมั่นให้กำลังใจตัวเอง

อุปสรรคจากการทำธุรกิจแบบต้นทุนแทบติดดิน อาศัยใช้ความอดทน บอกตัวเองยังโชคดี มีเงินเดือนจากงานประจำ ซื้อทีเดียวไม่ได้ ไม่เป็นไร ลงมือ เขียนแผน ในกระดาษ ยาวๆเลยว่า ต้องซื้ออะไรบ้าง เดือนนี้ ซื้อชิ้นไหน ซื้อเดือนละชิ้น ชิ้นใหญ่หน่อยก็ 2 เดือนซื้อที ช่วงที่ทำแบบนี้ คนรอบข้าง หลายๆคน คิดว่าผมเลิกทำธุรกิจแล้ว จริงจังกับการเป็นพนักงานประจำ

แต่เปล่าครับ ต้นทุนแต่ละคนเกิดมาไม่เท่ากัน เราต้นทุนไม่เยอะ ต้องเล่นเกมยาว เอาความอึดเข้าสู้ ตามคอนเซปต์ “ช้าหน่อย แต่ถึงแน่นอน” ของผม

มาถึงตอนนี้มีสินค้าอะไรบ้าง

asas5

แบรนด์ Slim Healthy จำหน่าย เมล็ดเจีย (เมล็ดเชีย) เกรดพรีเมียม นำเข้าจากออสเตรีย

ข้าวคัดพิเศษ ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีใดๆทั้งสิ้น เช่น ข้าวก่ำล้านนา, ข้าวแดงดอย, ข้าวลืมผัว, ข้าวหอมมะลิ105 เป็นต้นครับ

แบรนด์Siam Du-Rianจำหน่ายทุเรียนหมอนทองอัดเม็ด และผลิตภัณฑ์ทุเรียนแปรรูปอื่นๆ

อะไรทำให้ แฮนด์ ก้าวข้ามอุปสรรค ต่าง ๆ มาถึงวันนี้

“ทำทันทีครับ”

อยากเก่งเรื่องอะไร อยากทำธุรกิจอะไร ลองศึกษาเรื่องนั้นระดับหนึ่งแล้วทำเรื่อยๆครับ จะทำให้เราชิน และชำนาญในเรื่องนั้น “อยากทำอะไร ทำเลย”

 “เรียนรู้จากความผิดพลาดให้มากพอ”

หากผิดพลาดแล้วต้อง เรียนรู้ จากการผิดพลาดนั้นให้มาก ไม่อย่างนั้นเราจะเจอแต่ปัญหาเดิมๆ หรือไม่ก็ปัญหาใหม่ ที่มีความล้ายคลึงกับเหตุการณ์เดิมครับ

 ทำคนเดียว อย่างนี้มีวิธี แบ่งเวลา จัดสรรงานอย่างไร

กิจการเล็กๆของผม ใช้ Outsource เป็นหลัก งานยังไม่เยอะว่าจ้างเป็นครั้งๆ ขอบเขตค่าใช้จ่ายเห็นชัดเจน บางส่วนทำเองได้ก็จะทำเองคนเดียวก่อนครับ

และในส่วนของพนักงานฝ่ายผลิตที่จ้างพาร์ทไทม์ หากพบว่าทำผิด ผมถามตัวเองก่อนว่า ที่เค้าทำผิดนั้น เพราะเค้าไม่รู้สิ่งที่ถูกต้อง หรือ ทำเพราะรู้อยู่แล้วว่าผิด ถ้าเค้าไม่รู้ เราต้องบอกเค้าในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วให้อภัย แต่หากทำผิดเพราะรู้อยู่แล้ว ต้องพิจารณาการทำในสิ่งที่สมควรตามระดับความผิดครับ

อะไรคือ รากหญ้า ของการทำธุรกิจแบบของแฮนด์

asas6

ใช้ทุกอย่างที่มี ให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ

ปัญหาใหญ่ของหลายคน บอกว่า อยากทำนะ แต่ไม่มีเงินทุน เงินทุนไม่พอ

เป็นไปได้ไหมว่าความฝันของเราอันนั้น ยังไม่เหมาะกับตัวเราในปัจจุบัน ?

อยากประสบความสำเร็จอย่าหลอกตัวเอง ถามตัวเองว่าตอนนี้เรามีความพร้อมระดับไหนแล้วเริ่มต้น ใช้ทุกอย่างที่มีในปัจจุบัน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็น สิ่งรอบตัว โน๊ตบุ๊ค ปากกา กระดาษ ห้องเช่า รถทุกอย่างถ้าคิดแล้วนำมาใช้ให้เหมาะ ล้วนนำมาใช้สร้าง จุดแข็งได้

ตอนผมเริ่มธุรกิจ ขนมแผงครั้งแรก แม่มองผมด้วยสายตาแปลกๆแล้วถามว่า คิดยังไงทำขนมแผง ผมตอบว่า ก็ไม่มีทางเลือกอะไรมาก ทำๆไปก่อน แฮนด์เชื่อว่า มันจะพาแฮนด์ไปเจอธุรกิจอื่น

เพราะ ขนมแผง นี่ผมไม่เคยคิดจะทำเลยครับ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว กำไรนิดๆหน่อยๆ วันๆหนึ่ง นั้งแม็กซ์ ขนมติดแผงกระดาษแข็ง เกือบ 500 ซอง คนเดียวต่อวัน แล้วตอนพักเที่ยงของงานประจำ ก็ขับมอไซกลับห้องเช่าเพื่อมาเอาขนมแผงแขวนคันบิดด้านซ้ายของโซนิกคันเก่าๆ ตะเวนส่ง แดดร้อนๆ แล้วรีบขับห้องมาเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วกินข้าว 10 นาทีแล้วรีบบิดมอไซกลับไปทำงานต่อ

เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ก็อยากทำอะไรที่ดูใหญ่กว่านี้ ดูเท่ห์กว่านี้

แต่โกหกตัวเองไม่ลง ยอมรับและเข้าใจสถานะปัจจุบัน แล้วตัดสินใจกล้าทำ ในสิ่งที่ตัวเองทำได้ในตอนนั้น เพราะหากไม่ทำ แล้วจะรอให้พร้อมก่อนเหลอ สถานการณ์แบบนี้ไม่มีตัวชี้วัดเลยว่าจะพร้อมเมื่อไร และตอนนั้นก็ผมเชื่อมั่นว่าเริ่มต้นธุรกิจครั้งแรกโดยขนมแผง ประสบการณ์จะสอนผมและพาผมไปสู่อีกขั้นหนึ่ง และขั้นต่อๆไปของการทำธุรกิจ

ฉะนั้น การเลือกทำธุรกิจที่เหมาะสมกับตัวเองในปัจจุบันก่อน โดยมองหาและ ใช้ทุกสิ่งที่เรามีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลงมือทำมันได้ทันที อาจเป็นความสำเร็จที่เล็ก แต่จะเป็นบันได และกำลังใจให้เราระหว่างทางที่สำคัญในขั้นต่อๆไปครับ

วางแผนอนาคตไว้อย่างไร

เพิ่ม Product Lineให้เป็น One Stop Service ทางด้าน อาหารเพื่อสุขภาพ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Slim Healthy มิตรแท้สุขภาพคุณ

ปรับแพ็คเกจจิ้งทุเรียนอัดเม็ด ให้พรีเมียม ตอกย้ำเอกลักษณ์ของไทยให้ชัดเจน

หาคู่ค้าคนไทย คนต่างชาติที่มีตลาดต่างประเทศ/จุดกระจายสินค้าอยู่ในมือ

ส่งท้ายฝากอะไรให้เพื่อน ๆ ได้คิดแล้วนำไปใช้ครับ

สำหรับท่านที่อยากเริ่มแต่ยังไม่ได้เริ่มนะครับ

เดินไปล็อกประตูห้องครับ ถอดปั๊กTV และอุปรกรณ์ต่างๆ ปิดโทรศัพท์ ปิดทุกอย่างยกเว้นหลอดไฟห้อง แล้วหยิบกระดาษ A4 โล่งๆ มาเขียนวิเคราะห์ SWOT ตัวเองก่อนเพื่อให้รู้จักตัวเองครับ มันจะส่งผลต่อการเลือกสินค้าต่างๆในอนาคตของการทำธุรกิจที่เหมาะสมกับเรา

จากนั้นเริ่มจากศึกษาหาความรู้ ลงทุนที่ความรู้ อยากรู้อะไร ง่ายๆก็เริ่มจาก Googleก่อนได้เลย แม้ Google จะบอกเราไม่ทั้งหมด แต่ก็ให้ข้อมูลเพื่อให้เรา ไปสู่อีกคำถามที่ไกลกว่าอีกขั้นหนึ่งได้ อย่าเก็บคำถามเอาไว้ครับ

ส่วนตัวช่วงเริ่มต้นไม่มีไอเดียทำธุรกิจไม่มีความรู้ทางธุรกิจและ คนรู้จักที่ทำธุรกิจส่วนตัวเลยซักคน ผมเริ่มหาความรู้จาก พิมพ์ใน Google ว่า “ความสำเร็จ” แล้วกดที่ คลิป เนื่องจากส่วนตัวตอนนั้นชอบ ฟังมากกว่าอ่าน จึงกดฟังแทบทุกๆคลิปที่ใน Youtube แล้วไปหยุดฟังจริงจังแบบตามติด ที่ คลิป “ความสำเร็จ โดย อาจารย์ชัชชัย ตั้งธรรม” ครับ

หากใครเป็นเหมือนผม ลองเข้าไปฟัง เพื่อสร้างจิตใต้สำนึกแห่งความสำเร็จก่อนเริ่มทำธุรกิจก่อนได้ครับ

ท่านใดที่คิดจะเริ่มธุรกิจที่มีในใจอยู่แล้ว

ใช้เวลาศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่ทำ ให้เวลากับมัน ลดเวลากับสิ่งที่ไม่ได้สร้างความสำเร็จให้กับเรา ประเมินโอกาสทางธุรกิจ แล้วเริ่มเลยครับ ลองเลย ไม่ต้องรอพร้อมทุกอย่าง หากมีอะไรไม่พร้อมหรือมีปัญหาอะไร ค่อยแก้ ค่อยปรับระหว่างทางครับ

ท่านใดท้อ เพราะกิจการที่ทำอยู่ไปไม่รุ่ง

หายใจเข้าลึกๆ แล้วดีดตัวลุกขึ้นครับ คนเราไม่ได้จะเกิดมาเป็นสไนเปอร์ ที่เล็งยิง แล้วโดนเลยทุกคน บางคน ก็เกิดมาเพื่ออยู่หน่วยปืนกล ที่ต้องยิงๆรัวๆๆ ถึงจะโดน ซักนัดหนึ่ง

ฉะนั้น สู้ครับ ลุกขึ้นมา หาปืนที่ตัวเองถนัด ยิงนัดเดียวไม่โดน ก็ยิงกราดเลยครับ 5555

 

14.ช่องทางติดต่อธุรกิจ

asas7

อิฏฐวัชร ณัฐประสิทธิกุล (แฮนด์)

เบอร์ 088 916 2768

ID Line: handsome_meto

E-Mail: [email protected]

Facebook: www.facebook.com/ittawat.hola

เถ้าแก่ใหม่วิเคราะห์ธุรกิจ

asas8

“ช้าหน่อย แต่ถึงแน่นอน” ผมชอบคำนี้ที่ออกมาจากปากน้องแฮนด์ สมัยนี้อะไรก็ต้องเร่งรีบ เร่งรวย เร่ง ๆๆๆ จนสุดท้ายไม่เหลืออะไร แม้แต่ “ความเป็นตัวตน”

เด็กคนหนึ่งมีความฝัน แล้วเขาค่อย ๆ สานต่อความฝัน รู้กาล รู้เวลา รู้สถานะ รู้สถานที่ อย่างนี้มีหรือที่จะไปได้ไม่ไกล

วันนี้ธุรกิจน้องแฮนด์ แม้จะเริ่มต้น แต่เป็นการเริ่มต้นที่ “หนักแน่น” ทางความคิด และ เริ่มจาก “รากฐาน” ความรู้ที่มากพอในสิ่งที่เขาสนใจ

เงินทุกบาท เวลาทุกนาที เขาเลือกที่จะ “โฟกัส” ในสิ่งที่เขาทำ และตัดสินใจแล้วว่า อย่างไรเสีย เขาก็จะสำเร็จในธุรกิจ

รู้จักการ บริการงาน บริหารเงิน บริหารเวลา และที่สำคัญคือ “บริหารชีวิต” ตัวเขาเอง “ความสุข” เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ น้องแฮนด์บอกว่า “ไม่เป็นไร รอได้” เพราะตอนนี้ที่ทำก็ “มีความสุข”

ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจไหนที่น้องกำลังทำอยู่ เชื่อได้เลยว่า มันจะเติบโตขึ้นอย่างเป็นระบบ และวันหนึ่งเมื่อถึงจุดที่เรียกว่า “เติบโต” ถึงตอนนั้น เขาก็พร้อมที่จะ “รวยและสุข” อย่างแน่นอน