ช่วงนี้ทุกๆคนคงได้ยินคำว่า Personal Branding หรือการมี “Fan Club” กันหนาหูขึ้นใช่มั้ยคะ? หลายๆคนอาจมีคำถามเกิดขึ้นในหัวมากมาย ว่า “ทำไม? ทำไม? ทำไม? เราจะต้องทำ Personal Branding ด้วยล่ะในเมื่อเราทำ Product Branding อยู่แล้ว?????”

วันนี้มลก็เลยอยากจะสรุปออกมาเป็นข้อๆให้ทุกคนได้เข้าใจกันนะคะ  แต่มลต้องขอบอกก่อนนะคะว่า ทุกข้อนี้มลสรุปออกมาจากประสบการณ์จริงของมลเอง ไม่ได้เอามาจากทฤษฏีใดๆทั้งสิ้น เริ่มกันเลยค่ะ

7 เหตุผลทำไมต้องมีแฟนคลับ

1.ช่วยประหยัดต้นทุน

เริ่มต้น…ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆนะคะ 555+  ในวันแรกที่เราเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินอันน้อยนิด อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัดจริงมั้ยคะ???  ในวันนั้นมลก็เลยใช้ตัวเองเป็นนางแบบเอง ใช้สินค้าเอง แล้วก็รีวิวสินค้าตัวเอง

ด้วยความอยากจะประหยัดต้นทุนค่ะ เพราะสมัยนี้ถ้าจะจ้างนางแบบหรือเน็ตไอดอล ต่ำๆก็หลักหมื่น ถ้าดังๆหน่อยก็หลักแสนจนถึงหลักล้านเลยค่ะ  <โห้!!!ไม่ไหวนะคะ>เพียงแค่หัดใช้ตัวเองให้เป็น หน้าด้านนิดนึงประหยัดเงินทุนได้เป็นแสนเลยค่ะ ^^

2.เพิ่มความน่าเชื่อถือ

ต้องบอกก่อนเลยค่ะ ว่าร้านค้าออนไลน์ตอนนี้เยอะมว๊ากกกกกกกกกกกกกกก  เวลาจะช็อปปิ้งครั้งนึงต้องเลือกร้านดีๆเลยค่ะ ถ้าเลือกผิดอาจจะโดนหลอกเอาเงินไปฟรีๆได้เลย ทีเดียว 555+ มลโดนมาแล้วคร่า

เรื่องความน่าเชื่อถือจึงสำคัญมากๆๆ มลเจอลูกค้าถามบ่อยมากว่า “ส่งของจริงใช่มั้ยคะ? จะได้รับสินค้าจริงๆใช่มั้ยคะ?” แต่พอมลยืนยันว่ามีตัวตนจริงๆ ประกาศออกไปให้แฟนเพจรับรู้ว่ามลเป็นใคร ก็จะทำให้ร้านเรามีความหน้าเชื่อถือมากขึ้น ลูกค้าก็กล้าสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากเราค่ะ

3. เป็นการขยายฐานลูกค้า

เพราะการทำ Personal branding จะทำให้มีคนรู้จักเรามากขึ้นค่ะ แล้วก็จะค่อยๆมีคนมาติดตามเรามากขึ้น ที่ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า “ติ่ง หรือ FC” อ่ะค่ะ กลุ่มคนเหล่านี้จะรักและปลื้มเรามากมาย มองว่าเราเป็นไอดอลของเค้า เค้าก็พร้อมที่จะสนับสนุนเราตลอด และบางทีเค้าก็ยินดีที่จะซื้อสินค้าหรือบริการของเรา เพียงเพราะเค้าปลื้มเราค่ะ

บวกกับสินค้าเราที่มีคุณภาพดีก็จะทำให้เราขยายฐานลูกค้าเพิ่มอีกกลุ่มนึงค่ะดาราปัจจุบันถึงชอบทำสินค้าออกมาขายกันเยอะมาก เพราะเค้ามีติ่งเยอะไงค่ะ ทำอะไรออกมาก็ขายได้ค่ะ

4. ลูกค้าจะให้เกียรติเรามากขึ้น

เรื่องนี้ก็สำคัญมากๆอีกข้อนึง  ปกติแล้วการค้าขายย่อมต้องเกิดปัญหาอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องนั้นใครจะผิดก็ตาม ถ้าเราทำ Personal Branding มาดีพอ ลูกค้าจะให้เกียรติรา ใช้คำพูดที่สุภาพและเคลียร์กันได้ง่ายขึ้น เช่น มลเคยไปส่งของให้ลูกค่าไม่ทัน เพราะมลมีเรียนเช้า แล้ววันนั้นเป็นวันเสาร์ไปรษณีย์ปิดครึ่งวัน กรณีนี้มลผิดเต็มๆค่ะลูกค้ามีสิทธิที่จะเหวี่ยงได้เต็มที่ แต่…ลูกค้าบอกมลว่า “สำหรับคุณมลแล้วไม่เป็นไรเลยค่ะ เข้าใจคุณมลค่ะ” โอ้ว!!!โล่งอกมากค่ะ

5.ลูกค้าจะรักเรา

การทำให้ลูกค้ารักไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ แต่ก็ไม่ยากค่ะ และบอกเลยว่าคุ้มค้ามากๆๆๆๆ เพราะเมื่อเค้ารักเราแล้ว เค้าพร้อมจะช่วยสนับสนุนและอุดหนุนเราตลอดไปการทำ Personal Branding เหมือนเป็นการเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับชีวิตของเราและเรื่องราวการทำธุรกิจทำให้ลูกค้าได้รับรู้  ถ้าโดนใจลูกค้า เค้าก็จะรักและเอ็นดูเราค่ะ ทีนี้เราจะขายอะไรหรือต้องการความช่วยเหลืออะไร เค้ายินดียื่นมือเข้ามาช่วยเราค่ะ หรือเวลาเกิดปัญหาดราม่าขึ้นมา เค้าก็จะออกมาปกป้องเราโดยที่เราไม่ต้องร้องขอเลยค่ะ

6. ดึงดูดโอกาสดีๆเข้ามา

พูดเลยค่ะว่า ยิ่งดัง งานยิ่งเยอะ เงินก็เช่นกัน พอเราเริ่มมี FC เยอะขึ้นโอกาสดีๆก็จะเข้ามาหาเราเยอะเช่นกันค่ะ สื่อต่างๆจะเริ่มให้ความสนใจในตัวเรา มลใช้เวลา 1 เดือนในการสร้างแบรนด์ สร้างธุรกิจ และสร้างยอดขายหกหลัก ผ่านเรื่องราวของตัวเอง ทำให้มลมีโอกาสได้มีบทสัมภาษณ์ลงเว็บไซต์ถ้าแก่ใหม่ ลงนิตยสาร SMEs PLUS มีคนติดต่อขอให้เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในงานสัมมนา และอื่นๆอีกมากมายค่ะ

7. ดิวงานกับ Supplier ได้ง่ายขึ้น

ประเด็นนี้โหดมากค่ะ!!! ในวันแรกๆที่มลเริ่มต้นธุรกิจ ไม่ได้มีแบรนด์อะไรเลย เป็นแค่เด็กน้อยที่ไปติดต่อกับโรงงานขนาดใหญ่ พูดเลยค่ะ “ว่าดิวงานยากมว๊ากกกกกก” มีเงื่อนไขเยอะต่างๆนานา เยอะมาก และถูกปฎิเสธเยอะมากเช่นกัน นอกจากนี้สรรพนามและน้ำเสียงที่ใช้เรียกชื่อเราก็จะ…อ่ะค่ะ แต่วันนี้ วันที่เราเริ่มมีตัวตน สรรพนามนั้นก็จะเปลี่ยนไป ทุกวันนี้ Suppliers เรียกมลว่า “คุณมลค่ะ คุณมลขา” เวลาจะสั่งสินค้าจากที่เคยต้องมัดจำ 40%-70% ก็ไม่ต้องแล้วค่ะ รอจ่ายที่เดียวตอนสินค้าเสร็จแล้ว เราสามารถโทรไปสั่งสินค้าได้โดยที่ไม่ต้องเข้าไปโรงงานเอง ไม่ว่าจะดิวงานอะไรก็ง่ายขึ้นเยอะค่ะ

อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว ทุกคนคงอยากรู้แล้วใช่มั้ยค่ะ

ว่า Personal Branding คืออะไร แล้วต้องทำอย่างไร

ไว้ติดตามต่ออาทิตย์หน้านะคะ^^

Monsy