ผมรู้จักคุณเวลล์ ผ่านทางคลิป VDO ขายสินค้าผ่านทางหน้าเฟส ซึ่งได้รับการแชร์กันมากมายเลยทีเดียวครับ ด้วยความที่คลิปมันโดนผมจึงได้มีโอกาสนัดนั่งคุยกันกับคุณเวลล์

แต่แล้วความฮา ที่ผมเห็นในคลิปกลับกลายเป็นเสียงฮา ที่ขำไม่ออก มันมีเพียงน้ำตาที่มันไหลออกมาจากหัวใจผู้ชายคนหนึ่ง ยอมรับเลยครับ หากวันนั้น นั่งคุยกันที่เงียบ ๆ น้ำตาผมไหลอย่างแน่นอน

คนบ้าอะไรหวะ !!! ชีวิตมึงหนักขนาดนี้ มึงยังลุกขึ้นมาสร้างความสำเร็จได้ขนาดนี้ แถมยังเป็นกำลังใจให้กับคนได้อีกมากมาย

ผมอดใจไม่ไหวที่จะนำเรื่องราวของน้องชายคนนี้ มาแบ่งปัน ให้กับพวกเราได้รับรู้กัน

ใครใจไม่แข็ง กรุณาหากระดาษทิษชู มาเตรียมไว้ได้เลยครับ

มารู้จักผู้ชายคนนี้กัน

Well-Living-Up-2

ผมชื่อ เวลล์ วีลีฟวิ่งอัพ ปัจจุบันทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าไอเดีย โฟกัสในของใช้ที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น สินค้าส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น แต่ไม่มี Sex Toy นะเฟ้ย

กว่าจะมาถึงวันนี้ชีวิต จริง ยิ่งกว่าละคร

ผมชื่อ เกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง มีพี่น้อง 6 คน มีพ่อแม่เดียวนะ ผมเป็นคนที่ 2  คนโตเป็นพี่สาว ผมจึงรับตำแหน่งพี่ชายคนโตโดยอัตโนมัติ มีน้องสาว 2 คน และน้องชายอีก 2 คน พูดง่ายๆ ชาย 3 หญิง 3 คน พ่อกุแพลนโคตรดีเลย ควบคุมการผลิตดีลงตัว ไม่ขาดไม่เกิน

พ่อเป็นคนจีน 100% อากง อาม่า มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ แบบเสื่อผืนหมอนใบ เหมือนในหนังเลย…  เริ่มจากค้าขายส่งเหล้า โซดา เบียร์ จนพ่อผมเรียนจบ ปวส. ที่ช่างกลปทุมวัน

ด้วยชอบงานทางช่าง จึงเห็นโอกาส และได้เริ่มทำธุรกิจร้านมอเตอร์ไซด์ แถวโรงงานยาสูบ แถวเส้นถนนเจริญกรุง เปิดมาขายดีมาก เพราะไม่มีใครทำแถวนั้น ตอนนั้นแม่ผมพึ่งแต่งงาน และได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านอากง อาม่า ช่วยพ่อผมทำร้านมอเตอร์ไซด์  แม่ผมเป็นคนไทยแท้ เคยอยู่สลัมแถวพระโขนง คือนึกภาพ มีน้ำเน่าท่วมขัง มีเสาเรียงๆกัน มีบ้านอยู่บนเสา มีไม้แผ่นวางเป็นทางเดิน ผนังและหลังคาทำด้วยสังกะสี ส้วมอยู่ข้างนอก ยายหามขนมจีนน้ำยา เดินขายงกๆ พี่น้องแม่มี 3 คน คือ แม่ซึ่งเป็นพี่สาวคนโต และน้าชายอีก 2 คน ทุกๆวันทั้ง 3 คนต้องช่วยไปตลาด โขกน้ำยา ขนมจีนแต่เช้าก่อนไปโรงเรียน ส่วนตาก็ ขับรถบริษัทส่งนายฝรั่ง รายได้โอเค แต่ไม่โอเคตรงเอาเงินไปลงบ่อน เมื่อแม่แต่งงาน จึงดึงครอบครัวออกจากสลัมมา ตั้งใจสร้างตัวกับพ่อผม ทำงานอย่างหนักทุกๆวัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

ระบบกงสี

สำหรับคนที่ไม่ใช่คนจีน คงไม่รู้จักว่ามันคืออะไร ระบบกงสี คือทุกคนในครอบครัวต่างทำงาน ได้เงินมาเท่าไหร่ก็นำมากองไว้ที่ตรงกลาง ใครจะใช้อะไรก็มาหยิบเอา นึกภาพตามก็คือ แบบบุฟเฟ่นี่เอง ทั้งพี่น้องพ่อ สะใภ้พี่น้องพ่อก็สามารถมาหยิบออกไปได้หมด ทำมาก ทำน้อย เท่ากัน ไม่ทำก็เท่ากัน คือขอที่อาม่า อากงได้ ซึ่งระบบนี้ทำให้แม่ผมไม่ชอบใจมากนัก แต่พูดอะไรมากไม่ได้

ชีวิตลูกชายคนโต

เนื่องจากคนจีนมักให้ความสำคัญและน้ำหนักไปกับลูกชายคนโต แต่ทว่าพ่อผมเป็นลูกชายคนรอง พอร้านมอเตอร์ไซด์ไปได้ดี ใครก็อยากมาทำ ตั่วแปะคนโตจึงได้ไปคุยกับอากงว่าอยากได้ อากงจึงไปคุยและร้องขอให้ตั่วแปะ ซึ่งเป็นคนโตทำ พ่อผมซึ่งเป็นผู้ริเริ่ม ก็เสียใจและน้อยใจในสิ่งที่อากงทำ แต่ด้วยธุรกิจนี้เริ่มต้น ด้วยเงินกงสี จึงขัดไม่ได้ จึงยอมยกให้ไปโดยไม่เต็มใจสักเท่าไหร่

พ่อแม่ผมจึงตัดสินใจ แยกตัวออกจากบ้านอากงและอาม่า มาเริ่มทำร้านเองใหม่ ทั้งคู่ต่างพยายามอย่างหนัก จนมีร้านมอเตอร์ไซด์ถึง 5 สาขา จากร้านห้องแถวเก่าๆ 2 ชั้น ตอนนั้นผมอยู่ชั้นประถมปลาย  ที่บ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระดับหนึ่ง แบบว่าแม่พาลูกๆ 6 คนไปหาหมอฟันได้ทุก 6 เดือนเป๊ะ ส่งเรียนพิเศษกันทุกคน ทั้งเรียนวิชาการ ดนตรี กีฬา

วันฟ้าเปลี่ยน

ปกติผมเป็นคนง่ายๆ กิน เที่ยว วิ่งเล่น เล่นวีดีโอเกมส์ เหมือนเด็กทั่วๆไป แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นหน้าที่ต้องทำด้วยความที่เป็นลูกชายคนโต จึงต้องเริ่มมามีบทบาท ที่ร้านมอเตอร์ไซด์ ช่วยพ่อแม่ เปิด-ปิดร้าน อยู่เผ้าร้าน การกวาดถูร้าน ขัดเช็ดรถมอเตอร์ไซด์ เรียงน้ำมันเครื่อง หมวกกันน็อค ตั้งแต่ประมาณ ป.5-6

วิกฤตต้มยำกุ้ง ครอบครัวล้มละลาย

Well-Living-Up-4

ตอนปี 2540 จำได้ว่าปีนั้นเป็นปีที่ชีวิตพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนั้นผมอยู่ชั้นประมาณ ม.3 เข้าปวช. (เทียบเท่าประมาณม.4) เห็นแม่และพ่อวิ่งวุ่น ต้องปิดร้านสาขาที่ไม่จำเป็นออก ทยอยเอาลูกน้องออก ตัดออกทีละส่วน จนสุดท้ายเหลือร้านมอเตอร์ไซด์เพียงร้านเดียว ร้านใหญ่ที่เป็นตึก 3 ห้อง ก็ถูกนำมาดัดแปลงเป็นห้องให้เช่า ด้านล่างชั้น 1 ถูกดัดแปลงใช้เป็นที่อยู่ ลูกน้องก็จ้างแค่เสมียนและช่างซ่อมอย่างละคน สุดท้ายเหลือช่างซ่อมเพียงคนเดียว แม่ทำงานแทนเสมียนเพื่อลดค่าใช้จ่าย สำหรับผมก็ยังงงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าเศรษฐกิจแย่ ฟองสบู่แตก เห็นรายได้เข้าร้านน้อยมาก พ่อแม่ผมเริ่มเครียด

หลังจากปิดร้านเสร็จ ผมมักจะเห็นแม่นั่งร้องไห้เกือบทุกวัน เพราะเครียดว่าจะเอาเงินจากไหน ให้ลูกกินดี บวกกับพ่อผมที่เริ่มเครียด หนักขึ้นจนนอนหลับ กลายเป็นโรคประสาทในที่สุด เริ่มมีทะเลาะ ถกเถียงตบตี แม่ผมหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นผมกลัวมากนะพูดตรงๆ จากตอนแรกที่แค่ทำได้เพียงแค่ยืนมองตัวสั่นทำไรไม่ถูก จนแม่ผมต้องไปนอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือหลายต่อหลายครั้ง ด้วยที่ผมกลัวจะเสียแม่ผมไปก็เลยคิดว่า จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง

ไม่งั้นน้องจะกินอะไร เพราะพ่อผมไม่รับรู้ ไม่ทำอะไรเลย

ได้แต่เก็บตัว และบางครั้งก็ขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปข้างนอก แล้วก็กลับมานอน เหมือนไม่รู้ว่าจะหาสาเหตุว่าทำไม มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็ตื่นมาโทษว่าเป็นเพราะแม่ผม แล้วก็ทะเลาะกันอีก บางคืนก็ ตี 2 ตี 3 ตื่นมาทะเลาะ บ้านแตก ไม่เป็นอันต้องหลับต้องนอน

ผมทนเห็นสภาพนี้ไม่ไหว จึงรวบรวมความกล้า เข้าไปขวางเวลาที่ทะเลาะกัน แรกๆก็แค่ดัน ผลักออกไป หลังๆเริ่มโดนลูกหลง จนต้องซัดกันกับพ่อในที่สุด และกลายเป็นศัตรูกัน แม่ผมก็บอกเสมอว่า การทำร้ายพ่อแม่เป็นบาป แต่ผมเองก็บอกแม่ว่า “เข้าใจแม่ แต่ถ้าไม่ทำอย่างงี้ เดี๋ยวก็ต้องไปนอนโรงพยาบาลอีก น้องๆจะทำไงกัน” แม่ผมได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าพูดไรไม่ออก

หมายศาล หลักฐานได้เรียนต่อ

Well-Living-Up-5

ช่วงเวลานั้นผมเรียนชั้น ม.4 ก่อนจะซิ่ว ไปเรียนต่อ  ปวช. แต่ด้วยสภาวะทางบ้านที่ตรึงเครียด ทำให้ผมจากเด็กขี้อาย ขี้เล่น ไม่ยุ่งกะใคร กลายเป็น คนใจร้อน กล้าได้ กล้าเสีย มีเรื่องบ่อย เกลียดแมร่งไปหมด แบบว่า “ทำไมมึงสบายกันจังวะ ทำไมกูต้องมาเจออะไรยังงี้” การเรียนแย่ลงมาก จากปรกติ เกรดเฉลี่ย 3 ต้นๆ เหลือเกรด 1 กว่าๆ

แม่ผมพูดเสมอว่า

“ความลำบากคือภูมิคุ้มกันของคนเรา เมื่อเราได้พบเจอมัน จงผ่านมันไปให้ได้แล้วก็จะแข็งแกร่งขึ้น”

และยังบอกว่า “ทำดี ย่อมได้ดีเสมอ” แต่ด้วยความตรึงเครียดและสภาพตอนนั้น ผมมักเถียงคำสอนของแม่ว่า “เป็นคนดีไม่เห็นจะได้อะไร ดูคนเลวดิ มีตังเยอะ ชีวิตก็สุขสบาย” แม่ผมก็ย้ำนักย้ำหนา ถึงการเป็นคนดี แต่ผมก็ขี้เกียจเถียง เลยไม่คุยต่อ

มีวันหนึ่งมีกระดาษมาแปะอยู่ตรงปะตูหน้าร้าน ตอนที่ผมจะเปิดร้าน เป็นกระดาษที่มีสัญลักษณ์ตราครุฑ ผมจึงดึงออกไปให้แม่ดู จึงได้รู้ว่ามันคือ “หมายศาล” เพื่อแจ้งยึดทรัพย์ ซึ่งก็คือร้านนี้ และต้องไปติดต่อกับทางธนาคาร เพื่อคุยเรื่องการผิดชำระหนี้  ผมเพิ่งรู้ว่าแม่ไม่ได้จ่ายค่างวดตึกมาสักพักแล้ว แต่จากที่เห็นสภาพ แค่เงินไปกินโรงเรียน ค่ากินค่าอยู่ ก็รัดเข็มขัด เขียมกันเต็มที่อยู่แล้ว “ใครจะมารู้ไหมว่า ร้านมอเตอร์ไซด์อย่างเรานี้ ข้างนอกใครก็คิดว่ามีตัง แต่ความจริงข้างในไส้เป็นน้ำเหลือง” แม่นั่งหน้าเครียด พูดกับผมไป ก็น้ำตาไหลไป

ช่วงนั้นผมเบนเข็มตั้งใจสอบเข้าเรียนต่อปวช.ที่พระจอมเกล้าฯพระนครเหนือ ตั้งใจทำเพื่อแม่ ลดความเกเรลง แม่บอกว่าถ้าสอบไม่ติดก็มาเป็นช่าง ซึ่งยิ่งทำให้ผมถูกกดดัน มุ่งมั่นตั้งใจเข้าไปอีก จนในที่สุดสอบติดเข้าได้ เรียนได้สักพักต้องมาเจอปัญหาเรื่องการเงินหนักๆ เมื่อปวชงปี 1 เทอม 2 แต่แม่ผมไม่อยากให้หยุดเรียนกลางคัน ตอนนั้นเพิ่งรู้ว่ามีทุน กยศ. (กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา) จึงได้ไปติดต่อเพื่อกู้ยืม ตอนนั้นทุนกยศ. ปล่อยยากมาก  เพราะงบน้อย และมีจำกัด ผมก็ตัดสินใจเอาหมายศาลไปให้เค้าดูเพื่อให้เชื่อว่าเราลำบากเรื่องการเงินจริงๆ ทางเจ้าหน้าที่ได้โทรไปสอบถามและพูดคุยกับแม่ผม จึงได้รู้สถานการณ์ที่บ้านจริงๆ จนสุดท้ายก็ได้ทุนไปจ่ายค่าเทอมเรียนต่อ

ความเด็ดเดี่ยวของคนเป็นแม่

แม่ผมนับว่าเป็นหญิงเหล็กคนหนึ่ง ที่สู้ทุกอย่างเพื่อลูก ทำได้แม้กระทั่งสามารถเฉือนเนื้อขายเพื่อลูกได้ ด้วยสภาวะปัญหาครอบครัวและการเงิน แม่ผมตัดสินใจออกจากบ้านไปหางานทำเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเข้ามา และทั้งยังหาวิธียืดระยะเวลาการยึดทรัพย์ที่เป็นร้านออกไป ซึ่งตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าแม่ออกไป แม่จะไปพักอยู่ไหน อย่างไง รู้แต่ว่าแต่ละอาทิตย์ แม่จะนัดเจอผมเพื่อฝากเงินกินและเงินไปโรงเรียนให้น้องๆ ทุกอาทิตย์ ตอนนั้นร้านมอเตอร์ไซด์ปิดชั่วคราว เนื่องจากหมายศาล ผมมีหน้าที่เอาเงินกินที่แม่ให้มาทำให้หมดช้าที่สุด ด้วยการทำกับข้าวกินเองกับน้องๆ

แม่ผมได้ไปติดต่อสภาทนายเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับหนี้ที่เกิดขึ้น ว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ซึ่งสภาทนายก็เป็นทนายอาสาสมัครที่มาทำหน้าที่ให้ความรู้ และช่วยแนะนำทางออกให้กับคนที่เป็นหนี้ จากสภาวะเศรษฐกิจปี 2540 ตอนนั้นบางคนจากเคยเป็นคนรวย ก็ร่วงกลายเป็นคนจน และล้มละลายเป็นจำนวนมาก

แต่สิ่งหนึ่งที่ควรรู้ไว้ และควรทำจาก คำแนะนำของสภาทนายคือ เมื่อคุณเริ่มเห็นว่าชำระหนี้ไม่ไหว ให้คุณไปคุยกับเจ้าหนี้โดยตรง เพื่อหาวิธีและข้อตกลงในการชำระหนี้ใหม่ร่วมกัน เราเรียกวิธีนี้ว่า “การประนอมหนี้” อย่างเจ้าหนี้ที่เป็นธนาคาร ส่วนใหญ่อยากได้เป็นเงิน มากกว่าการยึดทรัพย์ เพราะต้องมารับความเสี่ยง และภาระในการขายทรัพย์ทอดตลาดเอง

คนส่วนใหญ่ กลัวและอายที่ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ จึงหลบเก็บตัว ไม่พูดไม่คุย เค้าคอนเซ็ป ไม่มี… ไม่หนี… ไม่มีจ่าย… อย่ายุ่งกู แต่ลืมไปว่า ระบบคำนวณดอกเบี้ยทบต้น ทบดอก ไหนจะดอกเบี้ยการผิดชำระจนพอกหางหมูเป็นก้อนใหญ่ จนสุดท้ายต้องถูกดำเนินคดีในที่สุด

พ่อแม่ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น พ่อผมไม่รับรู้อะไร แม่ผมก็ต้องทำด้วยความรู้สึกหลังชนฝา ยังไงก็ต้องทำ เพื่อลูก 6 คนที่รออยู่ตาดำๆ จากคำแนะนำของทนาย แม่ผมเดินทางไปพบผู้จัดการสาขา ธนาคารที่ติดหนี้อยู่ ซึ่งทางนั้นก็บอกว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว ต้องดำเนินตามขั้นตอน แต่แม่ของผมก็ขอร้อง ว่าให้เห็นแก่ลูกที่อยู่ในวัยกำลังกิน กำลังเรียน ทางผู้จัดการสาขาไม่มีอำนาจตัดสินใจ จึงแนะนำให้ไปติดต่อกับทางผู้บริหารสำนักงานใหญ่ แม่ผมจึงเดินทางไปสำนักงานใหญ่อย่างไม่ลังเล หมายมั่นว่าจะต้องคุยหาทางออกให้ได้ นับเป็นความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญอย่างมากในสิ่งที่ไม่ผมทำ เมื่อไปถึงก็ติดต่อประชาสัมพันธ์ บอกว่านัดไว้แล้ว เพื่อยังไงก็ต้องเข้าพบให้ได้ จนได้เข้าไปพบเลขาของคุณหญิงชฎา เพื่อขอเข้าพบ เลขาก็ปฏิเสธบอกว่าไม่มีในตารางนัดให้เข้าพบไม่ได้ แม่ผมจึงบอกว่ามีเรื่องเดือดร้อนจริงๆอยากจะพบท่านให้ได้ ฉันไม่มีที่ให้ถอยเพราะลูกๆ  6 ชีวิต ยังรอฉันอยู่ แต่ด้วยตารางเต็มเอี๊ยดให้พบไม่ได้จริงๆ เลขาเห็นใจ จึงให้กระดาษ A4 เปล่า เขียนเรื่องเป็นจดหมาย ฝากถึงท่านให้แทน แล้วก็พลางเปิดห้องรับรองให้แม่นั่งเขียน แม่ผมเล่าว่า “ตอนแรกไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรลงในกระดาษดี จึงเขียนระบายเรื่องที่บ้านทั้งหมดที่มีอยู่ในใจ ลงไปในหน้ากระดาษ” เขียนไปพลางน้ำตาก็หยดลงบนกระดาษไปพลาง รู้ตัวอีกทีก็เขียนหมดไป 2-3  หน้ากระดาษ จากนั้นก็นำกระดาษจดหมายให้ที่เลขาฯของท่าน เลขาฯเหลือบมองเห็นรอยคราบหยดน้ำตาหลายหยดบนกระดาษ ก็เข้าใจว่าเจอมาหนักจริงๆ พร้อมกับบอกอย่างหนักแน่นว่า “จดหมายนี้ คุณหญิงท่านจะได้อ่านอย่างแน่นอน” ทางแม่ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณ และขอตัวกลับก่อน

1 สัปดาห์ต่อมา ทางผู้จัดการสาขาก็โทรหาแม่ผม ว่าเคสของแม่ผมได้มีการส่งเรื่องชะลอการดำเนินการยึดทรัพย์ไว้ และคำนวณยอดหนี้ใหม่อีกครั้ง ทางผู้จัดการสาขาถามว่าอยากได้เงินเหลือเท่าไหร่ แม่ผมก็คิดคำนวณและบอกไปว่า “ขอ 1 ล้านบาท” ทางผู้จัดการก็คำนวณนู่นนั่นนี่ เสร็จก็ตกลงและให้ชำระเงินบางส่วนเพื่อรักษาสภาพไว้รอขาย ที่บ้านเป็นหนี้ทั้งหมดประมาณ 14 ล้านบาท สุดท้ายขายตึกที่ทำร้านมอเตอร์ไซด์ได้ จึงเหลือเงินมาเริ่มต้นใหม่ (ซึ่งเงินก้อนนี้ถูกแบ่งครึ่งภายหลัง หลังจากพ่อกับแม่ฟ้องหย่ากัน) ขอบคุณความตั้งใจของแม่ที่ทำเพื่อลูกๆ ส่งผ่านไปยังคุณหญิงชฎา รวมขอบคุณท่านด้วยที่เข้าใจหัวอกคนเป็นเป็นแม่เช่นกัน

ออกบินเดี่ยว

หลังจากที่ขายตึกได้แล้ว ของที่อยู่ที่ร้าน ทั้งรถมอเตอร์ไซด์ และอะไหล่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้แปรสภาพเป็นเงิน แม่จึงตัดสินใจเช่าทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น ทำร้านมอเตอร์ไซด์ต่ออีกสัก 1 ปี เพื่อดันมอเตอร์ไซด์มือ 2 และอะไหล่ที่ยังเหลืออยู่ออก ลองดูกันสักตั้ง แม่ผมบอกกับผมว่าแม่ออกตัวมากไม่ได้ เพราะไม่อยากให้พ่อรู้และวุ่นวายกันไปอีก แม่รู้ว่าธุรกิจมอเตอร์ไซด์ไปต่อลำบาก เพราะต้องอาศัยช่างซ่อม ทำเองไม่ได้ แถมร้านเกิดใหม่ก็เยอะขึ้น จึงเริ่มมองหาธุรกิจอื่นมาเสริม ตัวผมเองเลยตัดสินใจออกมาจากบ้านเดิม มาอยู่ตึกทาวน์เฮ้าส์ ที่เช่าเพื่อทำร้านขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน จนในที่สุดก็พร้อมอยู่ จึงเริ่มดึงน้องๆมาอยู่ด้วย ส่วนพี่สาวก็ย้ายไปอยู่กับน้าก่อนหน้านี้แล้ว ยกเว้นน้องสาวคนสุดท้อง ที่ยืนยันว่าจะอยู่กับพ่อ เพราะพ่อรักและตามใจน้องสาวคนเล็กมาก

ยิ่งกว่าเหว คือนรก ชีวิตยังแย่ได้อีก

ช่วงที่ผมย้ายมาอยู่ที่ทาวน์เฮ้าส์ที่เช่า ผมเรียนอยู่ชั้นป.ตรี ปี 1 ขึ้นปี 2  หลังจากน้องๆย้ายเข้ามาอยู่ แม่ก็เริ่มกลับมานอนที่บ้านกับน้องๆ ทำให้รู้สึกเป็นบ้านขึ้นมาอีกครั้ง จนกระทั่งพ่อผมรู้จากญาติว่าแม่ย้ายมาอยู่ตรงนี้ ทีนี้คลื่นระลอกสองก็เริ่มก่อตัวขึ้น พ่อเริ่มก่อกวนด้วยการมาตะโกนหน้าบ้าน กดกริ่งรัวๆหน้าบ้านตอนดึกๆ บ้างก็แจ้งตำรวจมาที่บ้านว่ามีคนบุกรุก ตอนตี 1 ตี 2 ซึ่งผมก็ต้องมาเปิดประตู แล้วก็เริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็มาตอนกลางวัน มาโวยวายบ้าง เอารถมอเตอร์ไซด์เข็นออกจากร้านขึ้นรถกลับไปบ้านบ้าง ที่ผมจำได้ดีที่สุดคือ ตอนผมไปเรียน พึ่งวางหนังสือลงบนโต๊ะเรียน ผมให้น้องสาวดูร้านแทนเพราะยังปิดเทอมอยู่ น้องสาวโทรเข้า PCT ผม พร้อมร้องไห้และบอกว่า พ่อมาที่ร้าน และถูกทำร้าย โดนตบเข้าที่กกหู ผมได้ยินดังนั้น ความโกรธก็พึ่งปรี๊ด ทนไม่ได้ จึงรีบนั่งแท็กซี่กลับบ้านเดี๋ยวนั้น แต่ก็ไม่เจอกับพ่อ เจอแต่น้องสาวที่นั่งร้องไห้ด้วยความกลัวจนตัวสั่น ผมจึงต้องอยู่แทน แทบไม่เป็นอันเรียน จนผมได้เจอกับพ่อตอนกลางวัน คุยกันแค่สองสามคำ ไม่ทันไรพ่อก็วิ่งมาซัดผม ผมก็ตอบโต้กลับไปด้วยการตวัดขาเต็มแรงไปที่กกหูพ่อ แต่โชคดีที่ช่างของพ่อ และช่างที่ร้าน จับผมและพ่อแยกกันเสียก่อน ด้วยที่เสียงดังและ เหตุการณ์ที่พ่อผมทำ ทำให้ร้านผมกลายเป็นที่โจษจันของคนละแวกแถวนั้น

การก่อกวนของพ่อ ทำให้ผมแทบเป็นโรคประสาทตามไปด้วย บ่อยครั้งที่ผมระแวงและวิตกมาก จนเกิดคำถามแว๊บขึ้นมาว่า

“ต้องเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน เมื่อไหร่แมร่งจะจบวะ กูทนไม่ไหวแล้ว”

ไปโรงพักด้วยกันหลายรอบ ตำรวจก็ทำได้แค่ไกล่เกลี่ยให้ยอมความกัน เพราะเป็นเรื่องในครอบครัว มันก็เลยไม่จบสักที ผมมีความคิดแว๊บขึ้นมาถึงขนาดว่า จะเอามีดแทงพ่อ เสียสละเพื่อแม่และน้องๆ จะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง โชคดีที่แม่ผมคอยพูดให้กำลังใจและเตือนสติผมตลอด บอกกับผมเสมอว่า

“คนเรา หากดินยังไม่กลบหน้า อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”

ในตอนนั้น คำพูดมันก็เข้าหูผมบ้าง ไม่เข้าหูผมบ้างตามภาษาวัยรุ่นอารมณ์ร้อน

มืดแปดด้านเป็นไง ไม่เจอกะตัวไม่รู้

พูดได้เลยเต็มปากว่า ผมมีวันนี้ได้นอกจากแม่ผมแล้ว ซึ่งปกติแม่จะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน คนที่คอยให้กำลังใจแล้วดึงผมไม่ให้จมไปในความมืดมิด คือแฟนผม ชื่อ “เบส” ผมมักใช้ชีวิตไปวันๆ โดยมักพูดว่า “คนเราไม่รู้ว่าจะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ ตายวันไหนก็ไม่มีใครรู้ ฉะนั้นจงใช้วันนี้ให้มีความสุขให้เต็มที่ซะ” ช่วงนั้นสิ่งที่จะเรียกว่า ทำให้ผมลืมทุกข์ คือ กิจกรรมกับเพื่อนๆ กินเหล้าสูบบุหรี่ เที่ยวผับ หมดไปวันๆ ผมรู้สึกแย่ ถึงขนาดเคยไล่แฟนผมไปจากชีวิต เพราะทนทุเรศตัวเองไม่ไหว แต่เค้ายังไงก็ไม่ไป เค้าบอกผมว่า “ให้ตัวเองดีขึ้นก่อนแล้วค่อยไป” คำพูดนี้ทำผมสะเทือนใจร้องไห้ไปหลายต่อหลายครั้ง สำหรับผมตอนนั้นมองไม่เห็นทางเลยว่าชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร ปัญหาผมถ้าพูดให้เห็นภาพ ก็เหมือนโดนรุมกระทืบ แม้จะล้มนอนติดพื้นก็ยังไม่หยุด ทั้งปัญหาพ่อ ปัญหาการเงิน ปัญหาการเรียน ที่ดูยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้น

เวลาผมเครียด ผมมักจะไปนั่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียว เพื่อปลดปล่อยอารมณ์บนระเบียงบ้านชั้น 3 สูบไปก็นั่งคิดถามในใจไปว่า ชีวิตกูจะลงไปถึงไหน เมื่อไหร่จะจบ ก็เลยนั่งห้อยขาอยู่ที่ขอบระเบียง มองลงไปพร้อมกับความคิดที่แวบขึ้นมาว่า ถ้ากูโดดลงไป มันจะสบายขนาดไหน กูจะได้พ้นสภาพที่น่าอึดอัดนี้เสียที ไม่ไหวแล้ว จังหวะนั้นโชคดีที่ภาพน้องๆและแม่ก็แวบเข้ามาในหัว “เออหว่ะ ถ้ากูตาย น้องๆจะมองกูยังไง เป็นไอ้ขี้แพ้งั้นเหรอ แล้วคงพูดว่า ดูดิ ขนาดพี่ยังทนไม่ได้ แล้วหนูจะทำได้เหรอ ” ผมกลับมาได้สติอีกครั้ง สูดหายใจเข้าลึกๆ บอกกับตัวเองว่า กูตัดสินใจจะทำเพื่อแม่และน้องๆ นั่นแหละ ทำให้ความแข็งแกร่งทางจิตใจผมก่อตัวขึ้นอีกครั้ง…ลุยต่อเว้ยยย

มืดแปดด้าน แค่เห็นแสงเท่าปลายเข็มก็ดีใจแล้ว

WellBlack

หลังจากที่ขึ้นโรงพักกันมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจบ จึงหาทางว่าจะทำอย่างไรต่อ ก็มีคนแนะนำให้ลองไปปรึกษาที่ศาลครอบครัวและเยาวชน แถวๆศาลหลักเมือง ผมจึงเดินทางไปกับแม่ เมื่อเข้าไปถึงที่สำนักงาน แม่ผมก็เดินสอบถามว่าจะคุยปรึกษากับใครได้ ก็ได้เข้าไปคุยกับคุณป้าคนนึง แต่งตัวมาดคุณหญิง ผมข้างหน้าเป็นทรงกระบังลม พร้อมทั้งใส่เครื่องประดับ สร้อย แหวน เฟอร์จัดเต็ม แม่ผมก็ได้คุย และเล่าปัญหาให้ฟัง แล้วถามว่าทำอย่างไรได้บ้าง ผมนั่งรอและฟังอยู่ห่างๆที่เก้าอี้ด้านหลัง ก็ได้ยินเสียงคุณหญิงป้าบอกว่า ไม่ได้อย่างนู้น นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ผมก็คิดว่า “แมร่ง อะไรนักหนา คนเดือดร้อนมาจริงๆ มรึงแมร่งไม่เข้าใจกันบ้างเหรอ ” ด้วยความเลือดร้อนและความโกรธ จึงพูดออกไปว่า “ต้องใช้เงินใช่ไหมคับ ถึงจะได้” พอได้ยินดังนั้น คุณหญิงป้าก็ปรี๊ดแตก พูดเสียงดังตอบกลับมาว่า “เธอมาพูดอย่างนี้ได้ไง ฉันจะฟ้องเธอ ข้อหาหมิ่นประมาท” ผมก็ตะโกนกลับไปว่า “ฟ้องดิ ไอ้ห่า คนเค้าเดือดร้อน หวังจะหาที่พึ่ง” แม่ผมจึงตวาดดุผม และไล่ผมให้ออกไปสงบสติอารมณ์รอข้างนอก ผมไม่สบอารมณ์จึงเดินออกไป และแล้วแม่ผมก็หาทาง จากเครือข่ายสภาทนายจนได้ขึ้นศาลในที่สุด นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาที่ศาล บอกได้เลย แมร่งคือโลกที่ผมไม่รู้จัก เคยเห็นก็แต่ในหนัง หลังจากที่สาบานต่อหน้าศาล ให้รายละเอียดกับศาลตอนไตร่สวน สรุปก็คือ พ่อกับแม่ผมก็หย่ากันอย่างเป็นทางการ ถ้าพ่อผมมาก่อกวนอีก ตำรวจสามารถดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย จะไม่ใช่เรื่องในครอบครัวอีกต่อไป ผมและน้องๆ 3 คน รวมทั้งพี่สาว แม่เป็นคนเลี้ยงดู ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เต็มใจเลือกที่จะไปอยู่กับพ่อ เป็นอันจบความ หลังจากนั้นความสงบสุขก็เกิดขึ้นในบ้านอีกครั้ง…

จากรุ่นสู่รุ่น

น้องสาวคนเล็ก พ่อผมรักและตามใจมากจริงๆ น้องสาวผมเป็นคนรักพี่รักน้อง และเอื้อเฟื้อ แต่ด้วยปัญหาครอบครัว เค้าจึงเลือกที่จะไปกับเพื่อน ติดเพื่อนมาก มีเพื่อนเป็นแก๊งมอเตอร์ไซด์ มีเรื่องอะไรก็ออกตัวตลอด ติดบุหรี่ ติดเที่ยว บางทีก็ไม่ค่อยกลับบ้าน พ่อผมก็ยอมไม่ได้ว่าอะไร เพราะกลัวไม่มีลูกอยู่กับเค้า ถึงขนาดซื้อมือถือ โนเกียรุ่น 8250 สมัยนั้นราคาประมาณ 2 หมื่นกว่าบาทให้น้องได้ แต่ก็ตามใจเสียจนเอาน้องผมไม่อยู่ เพราะน้องผมเริ่มไปวัยรุ่น อารมณ์รุนแรงมาก พ่อผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงเอาน้องสาวไปเข้าบำบัดที่ร.พ.สมเด็จเจ้าพระยา ที่ๆพ่อเคยถูกบำบัดตอนป่วย ผมก็อดเป็นห่วงน้องไม่ได้ จึงขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปคอยดูน้องตั้งแต่อยู่บ้านพ่อ จนเข้ารพ. แต่ก็ต้องคอยหลบเพราะไม่อยากเจอกับพ่อ เดี๋ยวได้ปะฉะดะกันอีก น้องสาวผมถูกบำบัดด้วยการให้กินยา ทำให้อารมณ์ที่รุนแรง เบาลง สงบลง

สั่งลาครั้งสุดท้าย

มีวันนึงที่ผมไปเยี่ยมหาน้องสาวที่โรงพยาบาล ก็บังเอิญเจอพ่อผมโดยบังเอิญ แต่สิ่งที่ผมเห็นพ่อเปลี่ยนแปลกไป คือพ่อผอมลง ใช่ชุดซาฟารีสีกรมท่า ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อผมจะอ้วน ตาแข็งเพราะไม่ค่อยได้นอน เจอพ่อครั้งนี้มันทำให้ผมหวนนึกเห็นภาพในสมัยเด็ก ตอนที่พ่อเริ่มทำร้านมอเตอร์ไซด์ใหม่ๆ พ่อมักใส่ชุดซาฟารีทำงาน คุมดูแลงานช่างบ้าง ลงไปซ่อมเองบ้าง ทำให้เวลาวิ่งเข้าไปกอดพ่อจะได้กลิ่นน้ำมันและกลิ่นเหงื่อผสมกัน เป็นกลิ่นประจำตัวพ่อเสมอ

เราได้นั่งกินข้าวคุยกันแบบพ่อลูกจริงๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้มานานหลายปี พ่อก็คุยถามว่าเป็นอย่างไร เรียนเป็นไงบ้าง ซึ่งตอนนั้น ผมอยู่ชั้นปี 2 ขึ้นปี 3 มีหลักสูตรวิศวสายปฏิบัติการ หรือสหกิจศึกษา เรียน 5 ปีจบ ซึ่งหลักสูตรปกติเรียน 4 ปีจบ ผมเล่าให้พ่อฟังและบอกว่าได้เลือกเรียนหลักสูตรวิศวสายปฏิบัติการนี้ พ่อผมก็ว่าดีจะได้มีประสบการณ์ เหมือนเราได้เริ่มเห็นโลกการทำงานก่อนคนอื่นที่เรียนอยู่ เพราะหลักสูตรจะให้เราไปอยู่โรงงานเทอมเว้นเทอม โดยเทอมแรกคือ ปี 3 เทอม 1  และเทอม 2 กลับมาเรียนสลับกันไปมาอย่างนี้จนฝึกงานครบ 1 ปี

ส่วนตัวที่ผมเลือกเพราะอย่างแรกเลย คือการฝึกงาน ได้เบี้ยเลี้ยงจะได้ไม่ต้องไปขอเงินแม่ ผมรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ขอเงินแม่ เพราะทุกครั้งที่ขอเงินแม่ หมายความว่าเงินจะหมดเร็วขึ้น และอาจทำให้แม่ไม่มีเงินพอสำหรับให้น้องๆในอนาคต

อย่างที่สอง ผมจะได้ตอบคำถามตัวเองว่าไอ้วิชาวิศวะที่ยากๆเรียนไปทำไม แล้วจะนำไปใช้จริงได้อย่างไร นั่นแหละคือเหตุผล ที่ตัดสินใจเลือกอย่างไม่ลังเล และผมก็เป็นรุ่นแรกของหลักสูตรนี้ในภาควิชาวิศวกรรมการผลิต เพราะส่วนใหญ่ทุกคนอยากเรียนจบเร็วๆ

กลับมาต่อที่ผมนั่งคุยกับพ่อในหลายๆเรื่อง เหมือนไม่ได้คุยกันมาแสนนานตามประสาพ่อลูก และผมก็ไม่รู้ว่า นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เจอพ่อ แต่ก็ถ้าผมไม่ได้เจอและพูดคุยกับพ่อครั้งนี้ กำแพงความโกรธเกลียดพ่อที่มีอยู่ในใจผม มันก็ยังคงอยู่ และผมคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับพ่อ เหมือนกับคนที่ไม่รู้จักกันเสียด้วยซ้ำ

วันฟ้าผ่า

ผมก็ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนวันทั่วไป ในช่วงปลายเทอมปี 2 เทอม 2  ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันหยุด ผมนัดเจอแฟน ไปเที่ยว และกินข้าวกัน ก็มีสายเข้าจากแม่ผม ผมก็รับสายคุยปกติ แม่ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก บอกว่า “พ่อตายแล้วนะ” วินาทีนั้น ผมยืนนิ่ง ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม แล้วผมก็ถามแม่ไปว่า แม่รู้มาจากใคร แม่บอกว่า “ตำรวจโทรมาบอกญาติพ่อน้องพ่อ แล้วทางนั้นก็โทรติดต่อแม่มา ว่าพ่อถูกรถมินิบัสชน และถูกลากไปกลางสะพานกรุงเทพเก่า ส่วนรถมินิบัสที่ชน ถูกจอดทิ้งไว้ที่ตีนสะพาน เอาน่า กลับมาบ้านก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน” ยอมรับว่าตอนนั้น ผมช็อคจริงๆ ทำอะไรไม่ถูก ยืนตัวชา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ยังแค้นพ่อ เกลียดพ่อ อยากให้พ่อตายเร็วๆ แต่หลังจากที่ได้คุยกับพ่อคราวนั้น ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป สงสารพ่อ คิดถึงพ่อ น้ำตาไหลออกมาเพราะภาพเก่าในสมัยเด็กมันวิ่ง หวนกลับมา จึงบอกแฟนว่าขอตัวกลับบ้านก่อน เดี๋ยวไปจัดการธุระด่วนที่บ้าน หลังจากที่กลับถึงบ้าน ได้คุยกันกับแม่แล้ว จึงโทรติดต่อกับตำรวจที่รับเรื่อง เพื่อขอไปรับศพที่โรงพยาบาลตำรวจ มาทำพิธีทางศาสนาในวันรุ่งขึ้น ซึ่งศพอยู่ในระหว่างกันชันสูตร ต้องรอให้เสร็จกระบวนการก่อน

วันรุ่งขึ้นผมได้คุยกับญาติพี่น้องของพ่อ และอากง อาม่า เค้าก็แนะนำให้ทำพิธีเชิญดวงวิญญาณ เพราะเชื่อกันว่าคนที่ประสบอุบัติเหตุตาย มักไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว จึงได้ทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณจากจุดเกิดเหตุ ไปที่โรงพยาบาลตำรวจ และสุดท้ายไปจบที่วัดสุทธิวราราม ซึ่งในพิธีลูกๆและญาติ ต้องป้อนน้ำตาลทรายแดง เต้าหู้ ผมไม่แน่ใจในรายละเอียดของพิธีแบบจีน แต่ที่แน่ๆผมเห็นหน้าศพพ่อ แก้มและปากบู้บี้จากการถูกล้อเหยียบ เป็นรอยช้าแผลช้ำ และกะโหลกหนังศีรษะด้านหลัง ถูกเย็บปิดไว้อย่างแน่นหนา ผมเห็นแล้วสงสารพ่อจับใจ พร้อมป้อนอาหารใส่ในปาก พลางพูดกับพ่อว่า

“พ่อหลับให้สบายนะ พ่อไม่มีอะไรต้องห่วง จะดูแม่กับน้องๆเอง…”

จากนั้นศพก็ถูกย้ายมาทำพิธีที่วัดอย่างเรียบง่าย สวด 3 คืนจบ…

สังคมยังไม่สิ้นคนดี

ระหว่างที่ทำพิธีทางศาสนา ทางผมและแม่ก็ไปคุยกับทางตำรวจเจ้าของคดี เพื่อพูดคุยในการดำเนินคดี ซึ่งคู่กรณีเป็นคนขับรถมินิบัสและเจ้าของอู่ ซึ่งทางเจ้าของอู่และคนขับบอกว่าพ่อผม ขี่รถด้วยความเรินเร่อ จึงไม่ทันเห็นรถมินิบัสและก่อให้เกิดอุบัติเหตุในที่สุด ช่วยเหลือเต็มที่ก็แค่ 2 แสนบาท (ประกัน+พรบ.= 1.8 แสนบาท) ทางแม่ผมก็ได้พูดคุยกับทนาย ซึ่งเป็นเพื่อนพ่อผม เค้าก็แนะนำให้ผมคำนวณค่าใช้จ่ายในการเรียนจากปัจจุบัน จนทุกคนจบปริญญาไปแล้วเป็นเงินเท่าไหร่ ผมคำนวณได้ประมาณ 7 แสนบาท แต่ทางนั้นยืนยันว่าเต็มที่ได้แค่นี้ ไม่เอาก็อย่าเอา สรุปยอมความกันไม่ได้ก็เลยต้องยื่นฟ้องร้องกัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า หลักฐานเราไม่ชัดเจน ต้องหาพยานมาเพิ่มเพื่อสอบปากคำ จะได้รู้ว่าใครผิดจริง หลังจากที่กลับจากสน. ก็มาที่วัด ทางผมกับแม่ก็เครียด ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็นั่งคุยกันในครอบครัว เลยได้ไอเดียว่า ให้ลองโทรหา จส.100 เพื่อหาพยานคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นมาสัก 3 คน มาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ จึงตัดสินใจโทรไปเดี๋ยวนั้น ขอความช่วยเหลือ และความเห็นจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ผ่านไปวันสองวัน ก็มีคนติดต่อเข้ามา ทางผมก็ได้คุย และได้ถามความจริงของเหตุการณ์จึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วพ่อผมขี่รถมอเตอร์ไซด์ เกี่ยวกับมอแตอร์ที่วิ่งสวนมาล้ม และขณะที่พ่อผมพยายามลุกและพยุงมอเตอร์ไซด์ขึ้นมา รถมินิบัสขับมาด้วยความเร็ว ชนเข้าอย่างจังพอดี และก็ลากร่างพ่อผมไปที่กลางสะพาน ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก…

ผมรู้สึกขอบคุณสังคม ขอบคุณ จส.100 และคนที่ไปเป็นพยานที่เค้าเสียสละเวลาตัวเองมาเป็นพยาน ให้ปากคำ เพื่อความเป็นธรรมให้กับครอบครัวของผม นอกจากนั้นผมเองก็ได้บวชหน้าไปให้พ่อ เป็นการขอขมาต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพราะผมทำไม่ดีกับพ่อมาตลอด นี่คือสิ่งที่ผมจะทำให้ได้ในตอนนั้น

ในวันเผาเพื่อนๆของพี่สาว น้องชาย น้องสาว รวมทั้งเพื่อนๆของผม ต่างก็มาช่วยงานอย่างเนืองแน่น เพื่อนน้องชายในวงดุริยางค์ก็มาเล่นให้งาน ครูอาจารย์ของพี่สาวก็มาเป็นโฆษก ดำเนินพิธีการให้อย่างดี ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนที่มา และตื้นตันใจมาก ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ นี่เป็นอีกครั้งที่ทำให้คนที่ผมเคยเกลียดใครต่างๆ กลับมามองเห็นความมีน้ำใจจากผู้คน ความช่วยเหลือจากสังคม ทำให้ผมเริ่มเปิดใจกับผู้คนมากขึ้น…

สัญญาณคลื่นระลอกสามที่ถาโถม

พอผมบวชหน้าไฟเสร็จ ก็ต้องเตรียมตัวเริ่มไปฝึกงาน ในอีกวันสองที่จะถึง ผมจำได้วันแรกที่ไปฝึก ผมเอาจดหมายของทนายไปด้วย ผมซึ่งเป็นลูกชายคนโตจึงต้องถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกเพื่อดำเนินธุรกรรมทุกอย่างแทนพ่อของผม ผมจำเป็นต้องขอลาฝึกงานในวันรุ่งขึ้น เพื่อไปให้ศาลทำการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกโดยชอบธรรมทางกฎหมาย ผมนำจดหมายที่พกมาให้ฝ่ายบุคคลและวิศวะกรพี่เลี้ยงดูเพื่อขออนุญาต เพราะปกติการฝึกงานจะซีเรียสเรื่องขาด ลา มาสายมาก พอผมบอกว่าต้องลาไปขึ้นศาล ทั้ง 2 คนก็ตกใจ ผมก็เล่าเรื่องทางบ้านให้ฟัง พร้อมกับนำจดหมายให้ดู ซึ่งทั้งคู่ก็เห็นใจและให้ไปดำเนินการ

วันรุ่งขึ้น ผมเดินทางไปศาลแพ่งกรุงเทพใต้ พร้อมนัดเจอทนายที่เป็นเพื่อนพ่อ เป็นอีกครั้งที่ได้เข้ามาศาล ซึ่งคราวนี้เป็นศาลแพ่ง บรรยากาศจะเป็นคนละแบบกับศาลครอบครัว คำถามในหัวมาอีก “กูอยู่โลกไหนวะ 555”

หลังจากแต่งตั้งเรียบร้อย ผมกับแม่ก็เริ่มไปคุยกับตำรวจเรื่องคดีของพ่อเพื่อสืบพยานใหม่ เพราะสำนวนเดิมที่ให้มา ลองนำไปให้อัยการที่แม่รู้จักและเค้าเห็นใจเราแม่ลูก ช่วยดูและแนะนำให้ เค้าบอกว่า “สำนวนเขียนอ่อนมาก” จึงต้องลงรายละเอียดและสืบพยาน เพื่อให้รูปคดีชัดมากขึ้น ทางผมเองก็โชคดีทีมีคนเห็นใจมาเป็นพยานให้ จนมีน้ำหนักมากพอที่จะนำส่งขึ้นฟ้องเป็นคดีอาญา และแล้วผมก็ได้มาที่ศาลอาญา เป็นตัวแทนพ่อในการดำเนินคดี เพื่อดูแลสิทธิ์แทนน้องๆและครอบครัวของผม ต้องยอมรับว่าการดำเนินคดีความจนตัดสินในคดีอาญาได้ค่อนข้างนาน จากผมตอนอยู่ปี3 จนกระทั่งผมอยู่ปี5 เทอม1 รวมเวลาเกือบๆ 2 ปี

ความลำบากสร้างคน

แม่และแฟนผมเป็นคนที่คอยให้กำลังใจผม และทำให้ผมมีวันนี้ ช่วงที่ออกมาทำร้านมอเตอร์ไซด์ต่ออีก 1 ปี ผมได้คุยกับแม่น้อยมาก เพราะแม่ไม่ค่อยอยู่ แต่คำพูดของแม่ที่ผมจะไม่ลืม แม่ผมเห็นผมเครียดที่ต้องแบกรับอะไรหลายๆอย่าง แม่จึงบอกกับผมว่า “ถ้าลูกไม่ไหว ลูกตัวช่องน้อยแต่พอตัวได้นะ เอาตัวให้รอดก่อน ไว้สร้างปีกที่แข็งแกร่งได้เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาช่วยน้องๆ” ผมได้ฟังอย่างนั้น น้ำตาก็เอ่อไหลออกมาด้วยความสะเทือนใจ แต่ก็ยอมรับว่าตอนนั้น ปีกของผมยังแข็งแกร่งไม่พอจริงๆ ทำได้เพียงแค่เพียงเลี้ยงปากกท้องตัวเอง ขอเงินแม่ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลังจากที่ทำร้านมาครบ 1 ปี แม่ก็ตัดสินใจเลิกทำร้านมอเตอร์ไซด์ต่อ เราได้ขายอะไหล่กับรถมือ 2 ที่เหลือให้กับญาติของพ่อที่ทำมอเตอร์ไซด์เช่นกันไป และย้ายไปอยู่ห้องหอแถวโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ซึ่งใกล้กับโรงเรียนน้องสาว เรานอนอัดกัน 5 คนพี่น้อง ซึ่งตั้งแต่พ่อผมตาย ผมก็ได้ไปรับน้องสาวออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ด้วยกัน และผลักดันน้องสาวให้ไปเรียนต่อ เพราะสิ่งที่แม่ผมย้ำกับลูกๆทุกคนเสมอว่า

”แม่ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรให้ นอกจากความรู้ ”

สิ่งที่แม่ผมตั้งเป้าสำหรับการเรียนของลูกๆทุกคนคือ อย่างน้อยทุกคนต้องเรียนจบปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย

ช่วงที่ผมกลับมาเรียนที่มหาลัยหลังจากเทอมที่ฝึกงาน ผมก็หางานพิเศษทำ ทั้งสอนพิเศษ หาของมาขายในตลาดนัดที่มหาลัยบ้าง รับจ้างเขียนแบบบ้าง แจกใบปลิวบ้าง แต่สิ่งทำได้นานคือ ร้อยลูกปัดขายกับแฟนผม ช่วงนั้นฮิตมาก บวกกับได้หนังสือร้อยลูกปัดของญี่ปุ่นที่ป้าแฟนให้มา จึงมาทำร่วมกัน ขายทั้งตลาดนัดแถวบ้านแฟน ทางเดินลอยฟ้าอนุสาวรีย์ชัยฯ ปูแบกะดินแถวท่าช้าง ซึ่งแฟนผมก็ไปกับผมด้วยเสมอ ผมรักเค้ามากเพราะจริงๆแล้ว เค้าไม่จำเป็นต้องมาลำบากดัวยกันกับผม แต่ก็เลือกเคียงข้างผมก็เป็นเหตุผลที่ผมยังคงคบและรักเค้าไม่เคยเสื่อมคลาย

ช่วงที่อยู่มหาลัย ผมอาศัยอยู่หอกับเพื่อน ที่เป็นบ้านเช่า และแต่ละห้องในบ้านก็แยกกันอยู่หารกันตามจำนวนห้องห้องเพื่อนผมอยู่คนเดียว ผมจึงของไปอยู่ด้วยโดยหารค่าห้องกัน เพราะจากบ้านไปมหาลัย ค่ารถไปกลับทุกวัน เปลืองกว่า อยู่หอ ผมเคยเข้าตาจนเหลือเงินตอนกลางเดือนแค่ 500 บาททั้งตัว เห็นเพื่อนผมรับเก็บโพยบอลส่งโต๊ะกินค่าน้ำ ผมจึงเอาเงินที่เหลือวัดดวงเลย เพื่อนผมรู้จักผมดีว่า ผมเองนอกจากเรื่องเหล้ากับบุหรี่ เรื่องการพนันเป็นเรื่องที่ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ไปแตะต้องเลยเด็ดขาดเพราะเห็นชีวิตครอบครัวแม่ผมพังกับตามาแล้ว เพื่อนผมบอกว่า”กูไม่ให้มึงแทง” ผมพูดว่า “ทำงี้ได้ไงวะ เหี้ยนี่เงินกู นะเว้ย” เพื่อนก็ตอบว่า “ก็กูไม่รับมึงจะทำไม” ผมก็บอกว่า “กูเครียดที่เงินไม่น่าพอใช้จนถึงสิ้นเดือนแน่ๆ” วันรุ่งขึ้นเพื่อนผมก็ชวนผมไปซื้อขนมปังสำหรับไอติมตัก 2 ถุงใหญ่ และแลตตาซอยอีก 2 ลัง คำนวณแล้วว่าพอกินตอนเย็นจนถึงสิ้นเดือน เพื่อนบอกว่า “ขาดเหลือไงกูซัพพอร์ตให้” ผมซึ้งใจกับเพื่อนผมมาก ถึงเพื่อนผมจะไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่คำพูดและการกระทำเพื่อนผม จริงใจมาก พูดไม่ดี ไม่เพราะ ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี สำหรับผม คนดีไม่ดี ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เราพูด แต่อยู่ในสิ่งที่เราทำมันต่างล่ะ นั่นล่ะที่มันชัดเจนที่สุด…

สมการ คนลำบาก=เรียนดี=คนดี เสมอ?

ด้วยช่วงที่อยู่มหาลัย การทำงานพิเศษ ใช่ว่าจะทำให้มีเงินพอใช้ทุกครั้ง ทุนกยศ.ก็ให้เพียงค่ากินรายเดือนๆละ 4,000 บาท เรียนวิศวะต้องมีซื้อหนังสือ Text ต่างประเทศ อุปกรณ์การเรียน ผมจึงตัดสินใจไปลองขอทุนดู กับทางหน่วยงานที่ดูแลเรื่องทุยของมหาลัย พอผมไปคุย ด้วยลุ๊คผมที่ดู แบ๊ดบอย ไม่เรียบร้อย ใส่แว่น Oakley เลนส์สีแดง, ใส่ต่างหู ผมออกสีน้ำตาลแดง ผมออกทรงสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งดูไม่เรียบร้อย ไม่เข้าตาผู้ใหญ่เท่าไร่นัก หน่วยงานที่ให้ทุนส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่มีอายุ เค้าก็ตัดสินว่าผมดูเป็นเกเรไม่ตั้งใจเรียน ก็ให้ไปเปลี่ยนลุ๊คย้อมผมสีดำ ตัดผมให้ดูสุภาพ ไม่ใส่ต่างหู แล้วค่อยมาคุยกับเค้าใหม่ ซึ่งสำหรับผมตอนนั้นก็ไม่มีทางเลือกมากมายเท่าไหร่นัก ก็จำเป็นต้องทำถึงแม้จะรู้สึกขัดกับคนที่ตัวเองเป็นก็ตาม จากนั้นผมก็ไปหาเค้าใหม่ในอาทิตย์ต่อมา ซึ่งเค้าก็ดูใบเกรดประกอบ แล้วก็บอกว่า ผมคุณสมบัติการขอทุนไม่ได้ ทั้งเรื่องเกรดไม่ถึง 3.00 ตอนนั้นผมเกรด 2.5 แล้วผมกู้กยศ.แล้ว “ไม่ผ่านค่ะ” ผมเดินหงอยออกมา แล้วก็ถามตัวเองว่า เวลาคนเราลำบากเรื่องปัญหาปากท้อง แมร่งจะเอาสมาธิไหนไปเรียนวะ แค่แมร่งได้เกรดกลางๆ ไม่โดนรีไทร์ แมร่งก็รับผิดชอบตัวเองสุดยอดแล้ว คนเราเค้าก็มองแค่นี้ แล้วตรงไหนล่ะที่จะวัดความมุ่งมั่นของคน ผมเห็นบางคนเรียนดี ฐานะก็ไม่ลำบากมากไปขอทุนมาซื้อมือถือใหม่ “เอาวะ กูพึ่งลำแข้งตัวเองก็ได้วะ” ผมตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ทีนี้รับทำแม่งหมดขอให้ได้ตัง กูทำได้  ทำหมด กลับไปสู่ความเป็นตัวเองอีกครั้ง หลังจากนั้นมาผมก็เลิกคิดที่จะขอทุน ขอความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น กูหาเองชัวร์สุด!!!

สิ่งดีๆที่เข้ามาโดยไม่คาดคิด

ตอนที่ฝึกงาน ผมรู้สึกขอบคุณวิศวกรพี่เลี้ยงที่คอยถามไถ่เรื่องที่บ้าน ชีวิตครอบครัวผมมาตลอด พี่เค้าชื่อนายชรินทร์ ทองจันทนาม เจอหน้าไม่เคยสอนงาน (ถ้ามึงไม่ถาม) จะถามแต่เรื่องที่บ้านว่าเป็นอย่างไร ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ แต่ผมต้องมาฝึกงานครั้งที่สองตามหลักสูตร มีวันนึงทางพี่วิศวกรพี่เลี้ยงบอกว่า ทางภาควิชาของมหาลัยโทรมาว่า จะมาออดิท ติดตามผลนักศึกษาที่มาฝึกงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อประเมินผลหลักสูตรและนำไปปรับปรุงต่อไป ผมก็รับแต่ก๊เฉยๆ พอคณะอาจารย์มาถึงโรงงานช่วงบ่าย ได้คุยกับทางฝ่ายบุคคล และวิศวกรพี่เลี้ยงของผม ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทางโรงงานก็บอกว่าโอเค ติดแค่คะแนนขาดลามาสายไม่เต็ม เพราะน้องเค้าต้องลากิจไปขึ้นศาล อาจารย์ก็มีท่าทีตกใจมากว่าทำไม ต้องไปขึ้นศาล ทำอะไรผิดร้ายแรงหรือเปล่า ทางวิศวกรพี่เลี้ยงผมก็เล่าเรื่องผมให้อาจารย์ฟังทั้งหมด สักพักก็มีคนเดินมาเรียกผม ให้ไปที่ห้องประชุมเพื่อพูดคุยกับอาจารย์ พอได้เจออาจารย์ ท่านก็ได้พูดคุย สอบถามรายละเอียดเรื่องที่บ้านเพิ่มเติม ผมก็ตอบไปตามความเป็นจริง อาจารย์ถามว่า “แล้วอยู่กันได้อย่างไร แม่คนเดียวทำงานเลี้ยงลูก 6  คน” ผมกูบอกไปว่า ผมแทบไม่ได้ขอเงินแม่ อาศัยเบี้ยเลี้ยงจากการฝึกงาน เงินรายเดือนจากทุนกยศ. แล้วก็ทำงานพิเศษ หาของขายเอา อาจารย์ได้ฟังก็นิ่งไปสักพัก แล้วก็โทรไปหาเพื่อนอาจารย์ ซึ่งผมรู้ทีหลังว่าเป็นแก๊งอาจารย์ที่เพิ่งจบด๊อกเตอร์จากต่างประเทศด้วยกัน กลับมาทำงานใช้ทุน และรับหน้าที่มาดูแลส่วนโครงการตรงนี้ที่เพิ่งเริ่ม อาจารย์โทรคุย พูดกับเพื่อนอาจารย์ว่า “มีนักศึกษาคนนึง มีคุณสมบัติควรได้รับทุน อาจารย์ช่วยดำเนินการให้หน่อย เดี๋ยวเรื่องเอกสารทางนี้จัดการให้เอง” พูดเสร็จอาจารย์ก็วางสายและบอกให้ผมเตรียมเอกสารมาให้อาจารย์ด่วน ผมก็นั่งงงๆ แบบว่าทำตัวไม่ถูก บอกตรงๆเรื่องทุนนี่ผมเลิกหวังไปนานแล้ว เพราะผมไม่มีคุณสมบัติแถมดูเป็นเด็กเกเรอีกต่างหาก มาวันนี้มีคนเห็นคุณค่าผม มองข้ามเปลือกภายนอกของผม และมองเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำชีวิตให้ดีขึ้น ผมรู้สึกมีกำลังใจมากในการมุ่งทำในสิ่งที่ผมตั้งใจ อาจเป็นเพราะอาจารย์อยู่ต่างปะเทศมาจึงมีมุมมองกว้างกว่าในการดูคน  อย่างไรก็ตามผมก็ขอบคุณอาจารย์สุรังสี เดชเจริญ และอาจารย์วิลาสินืที่เกื้อหนุน สนับสนุนให้ผมมีวันนี้ เชื่อไหมว่าหลังจากที่ผมกลับมาเรียน หลังจากฝึกงานครั้งนี้ เกรดผมไม่เคยต่ำกว่า 3.2 เลย เป็น 3.2,3.4 และ 3.6 ตามลำดับ และนับเป็นรุ่นแรกของภาคที่อาจารย์ภูมิใจในผลลัพธ์ของโครงการ นอกจากนั้น ผมยังทำโครงการวิจัยโดยนำปัญหาในโรงงานมาทำเป็นโครงการวิจัย และโปรเจคจบการศึกษา เป็นตัวอย่างให้รุ่นน้องโครงการสืบต่อไป

ขับเคลื่อนจากจุดต่ำสุด

เล่าต่อถึงเรื่องคดีรถชน หลังจากจบความจากศาลอาญา ได้ตัดสินว่า ทางคนขับรถขับด้วยความประมาทเป็นเหตุให้จำเลยถึงแก่เสียชีวิต ก็รับโทษจำคุกไป ทีนี้ก็มาว่าความแพ่งเรื่องค่าเสียหาย หลังจากที่คนขับและเจ้าของอู่มินิบัสไม่ตกลงยอมความหลังจากที่เรียกค่าเสียหายไปครั้งล่าสุด ก็ไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันอีกเลย รวมทั้งไม่ได้มางานศพพ่อผมด้วย ทางทนายก็บอกให้เรียกค่าเสียหายเพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็นค่าดำเนินการในชั้นศาลที่ผ่านมา และครั้งนี้ทางทนายและแม่ผม ตกลงที่จะเรียกค่าเสียหายไปเป็นเงิน 1 ล้านบาท

แต่ทว่าการฟ้องค่าเสียหายที่ 1 ล้านบาท ทางเราต้องมีเงินวางที่ศาลแพ่งถึงจะดำเนินการต่อไปได้ จำนวนเงิน 6 หมื่นบาท แต่ตอนนั้นอย่าว่าแต่เงิน 6 หมื่นบาทเลย เงินกินเข้าไป เงินไปโรงเรียนยังกระเบียดกระเสียรเลย ทางทนายเลยแนะนำให้ดำเนินการขอฟ้องร้องแบบอนาถา ความหมายคำว่า “อนาถา” ตอนแรกก็ยังไม่อิน ฟังดูเฉยๆ เห็นว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดตอนนั้นในการยื่นฟ้องก็เลยให้ดำเนินการฟ้องแบบอนาถาไป

จนมาถึงวันฟ้อง แม่ และพี่น้องผมมากันครบ ตอนนั้นผมเรียนอยู่ปีสุดท้าย จำได้ว่าใส่ชุดนักศึกษามา เมื่อทีมคณะลูกขุนมากันพร้อม ก็เริ่มกระบวนการ ทุกคนต้องไปยืนสาบานต่อหน้าศาล ขณะที่ผมกล่าวคำสัตย์ต่อศาลว่า

“ข้าพเจ้านายกฤษดา ธีรศุภลักษณ์ เป็นผู้อนาถาจริง”

วินาทีนั้นผมถูกหยุดชะงักด้วยคำว่า “อนาถา” มันเสียดแทงแปล๊บลงไปลึกถึงกันบึงหัวใจ พร้อมด้วยมีน้ำตาไหลออกมา ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเศษฝุ่นบนโลกใบนี้ ไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยและกระจอกขนาดนี้มาก่อนในชีวิตกล่าวคำสัตย์ไปพลาง เสียง…ฮึก…แล้วน้ำตาก็ไหลไปพลาง หันไปมองทางแม่และน้องก็ยืนซึม น้ำตาไหล ไม่ต่างกัน หลังจากการกล่างคำปฏิญาณ ผมเช็ดน้ำตา และปฏิญาณในใจกับตัวเองว่า “ได้ วันนี้ตัวกูต่ำต้อยติดดิน ไม่มีคุณค่าอะไร กูสัญญาด้วยชีวิตว่า กูจะไปถึงจุดสูงสุดของมนุษย์เท่าที่คนๆนึงจะทำให้ได้ คอยดู กูต้องประสบความสำเร็จในชีวิต” นั่นล่ะ มันเป็นจุดกำเนินของพลังที่ขับเคลื่อนตัวผมมาตลอด ตั้งแต่บัดนั้น ทำให้ผมกระหาย ขวนขวาย ทางที่จะทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จในทุกๆอย่าง ลองในทุกๆทาง ที่คิดว่าพาตัวผมไปได้ ทำตลอดไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนในที่สุดผมก็จบการศึกษา

ชีวิตน้อง แมร่งโครตหนักเลยเวล แล้วมาทำธุรกิจได้อย่างไร

Well-Living-Up-3

ช่วงแรกผมก็เอาเงินเก็บจากค่าแรงตอนอยู่ญี่ปุ่น รวมกับ รายได้จากการนำของเล่นมาขายเล็กๆน้อยๆ มาซื้อสินค้าเข้ามาขายในไทย เริ่มจากจำนวนน้อยๆ เอามาฝากขายที่ร้านเครื่องเขียนบนรถไฟฟ้า ตอนขายช่วงแรกมี สินค้าคือ ปากกาลบได้ หลายคนบอกว่า “ใครจะมาซื้อมึง ปากกาด้ามละร้อย  กูไปซื้อปากกา 5 บาท และ ลิขวิด ไม่ดีกว่าหรอ ไอ้สาส”  แต่ผมก็ไม่หยุดเพราะผมคิดว่า ราคาส่วนต่างที่ลูกค้าจ่ายเพิ่มเนี่ยะ เค้าซื้อคุณภาพชีวิตของเค้า

คนไทยส่วนมากชอบของถูก ทำให้ช่วงแรกสินค้าของผมขายนับแท่งได้ และด้วยความเป็นสินค้าไอเดียที่มันเป็นอะไรที่ใหม่ ลูกค้าจึงไม่รู้ว่าจะจ่ายแพงไปทำไม ผมจึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ จากเอาสินค้าไปตั้งขายเฉยๆ กลายเป็น เพิ่มการสื่อสาร และ ให้ความรู้กับลูกค้ามากขึ้น จึงทำให้ยอดขายสูงขึ้นอย่างมาก

ปัญหาทางด้านธุรกิจ

ช่วงนั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ยอดขายตกลงอย่างมาก ทำให้สินค้าในคลังตกค้างเยอะ เงินจม ประกอบกับลูกค้าก็จ่ายเงินล่าช้า ทำให้การเงินของผมยิ่งแย่ไปใหญ่ นอกจากนั้นยังมีปัญหากับหุ้นส่วน เรื่องเงื่อนไขในการทำธุรกิจที่ไม่เข้าใจกัน ทำให้เกิด หนี้ และดอกเบี้ยจากการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากที่ต้องจ่ายทุกเดือน  ทำให้ผมต้องไปกู้เงินนอกระบบมาเพื่อทำให้ธุรกิจไปได้ต่อ  ผมเครียดและมืดแปดด้าน หลายครั้งผมอยากเลิกและหนี โยนทุกอย่างทิ้งไว้  แต่ผมก็คิดว่าถ้าหนีไป ผมจะสู้หน้า ลูกค้า และ หุ้นส่วนอย่างไง ต้องหลบหน้าพวกเค้าเหมือนไอ้ขี้แพ้ไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรอ  ผมรวบรวมความกล้าเผชิญหน้า และ จัดการกับปัญหา เจรจาต่อรอง เพื่อหาทางออกกับเจ้าหนี้ ขายสินค้าโล๊ะสต๊อก เพื่อนำเงินเข้าระบบให้ได้มากที่สุด อีกทั้งยังขายบ้านเพื่อนำเงินเข้ามาอีกทาง จนธุรกิจมันเริ่มไปต่อได้

สินค้าเลือกลูกค้าเอง

Well-Living-Up-12

ผมไม่ใช่นักวิเคราะห์ ไม่ได้มานั่งเลือกลูกค้าหรอกนะ แต่ผมรู้ว่าผมชอบสินค้าของผม และ รู้เลยว่ามันสามารถแก้ปัญหาของผู้คนได้ และสินค้ามันจะเลือกลูกค้าด้วยตัวมันเอง

ช่องทางจำหน่าย

ปัจจุบันก็มีสินค้าจำพวกเครื่องเขียน และ ของใช้ในบ้านไอเดียเจ๋งๆ ตัวเครื่องเขียนจะอยู่  Modern Trade เช่น B2S  ,  B-Trend  ,  Loft , สมใจ  ส่วนของใช้ในบ้านจะขายออนไลน์ และ ตามห้างในอนาคตอันใกล้

Key success ในการทำธุรกิจ

เลือกที่จะแต่งต่าง และ สร้างสรรค์การทำงานร่วมกับทีมงานให้สำเร็จ

สนุก จริงใจ ตรงไปตรงมา

แนวทางการทำธุรกิจแบบ “รากหญ้า Marketing”

สื่อสารเรียบง่าย แบบเพื่อน ไม่ปรุงแต่ง และ เป็นของจริง

 แผนการตลาดในอนาคต

สร้างกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดีย มาร่วมสร้างสินค้าเจ๋งๆ เพื่อเพิ่ม ความหลากหลายของสินค้าให้มากขึ้น

ข้อคิดฝากถึงเพื่อน ๆ เถ้าแก่ใหม่

Well-Living-Up-6

การทำธุรกิจไม่ใช่ว่า แค่ทำเพื่อเลี้ยงชีพ แต่มันคือ การส่งมอบคุณค่าของคุณออกมาในรูปของสินค้าและ บริการ เพิ่อเติมเต็มผู้คน

โปรโมทชั่น Taokaemai

สมาชิกของเว็บ Taokaemai  แถมฟรีสินค้าไอเดียสุดพิเศษ เมื่อสั่งซื้อของ ผ่านทางเว็บไซต์ของเรา  และ มีสิทธิ์ในการซื้อสินค้าไอเดียมาใหม่เป็นกลุ่มแรก

ช่องทางติดต่อธุรกิจ

 

Well-Living-Up-11

www.welivingup.com

Facebook fan page : www.facebook.com/welivingup

Line : welivingup

เถ้าแก่ใหม่วิเคราะห์ธุรกิจ

ในเชิงของธุรกิจ แนวทางการเลือกสินค้า การทำการตลาด ผมนี่ยกนิ้วให้เลยครับ สุดยอดมั๊ก ๆ แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มคือสินค้าที่อาจจะเกิดการลอกเลียนแบบที่เข้ามาจากประเทศจีน นะครับ

ในมุมของหัวใจ ผมไม่มีคำพูดใด ๆ ครับ พูดไม่ออกมันจุก แน่น ตื้นตัน

ต้องขอบคุณน้องเวลล์มาก ๆ ครับที่นำเรื่องราวมาบอกเล่า ยิ่งอ่าน ยิ่งตระหนัก…เออมึงหนักกว่ากูอีก

มาสู้ไปด้วยกันครับ

เพื่อน ๆ เถ้าแก่ใหม่ ก็ต้องลุกขึ้นมาสู้แมร่งไปด้วยกันครับ