หากเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไรหากต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เมื่อคุณเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ ตามความคิดของคุณที่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในช่วงเวลานั้นมันยังไม่เป็นที่ยอมรับ สิ่งที่แม้กระทั่งกฎหมายเองก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณทำจนถึงกับมีหน่วยงานราชการหลายหน่วยเรียกตัวคุณเพื่อให้ไปชี้แจงในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ คุณผู้ซึ่งต้องคอยต่อสู้ทางความคิดกับคนในสังคม

ต้องคอยอธิบายว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้นมันคืออะไร ต้องคอยอธิบายแม้กระทั่งกับคนในครอบครัวเพื่อพิสูจน์ความเชื่อที่คนรอบข้างคิดว่าผิดว่าจริง ๆแล้วสิ่งที่คุณทำนั้นมันถูกต้องนะ ทุกปัญหาที่ถาโถมดั่งพายุเช่นนี้หากเป็นคุณ คุณยังจะไปต่อหรือไม่ สิ่งนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายคนหนึ่งและในวันนี้เขาได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องกับการเป็น Startup พันล้านที่โตขึ้นกว่า 1,000 % ในทุกปี บทความนี้ สรุปเนื้อหาจากช่อง Paul Pattarapon พอล ภัทรพล ตอน ธุรกิจพิชิตโลกอนาคต Startup พันล้าน โตขึ้น 1,000%

ประวัติคุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา จุดเริ่มต้นในการทำสิ่งใหม่ ๆ ที่คนทั่วไปในยุคนั้นยังไม่เข้าใจกับการพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขาย Bitcoin

คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือท็อป คือเจ้าของ startup 1,000 ล้านที่เราได้เกริ่นมาในตอนต้น หลังจากที่จบการศึกษาในระดับปริญญาโทที่ Oxford ธุรกิจแรกที่เขาเริ่มทำก็คือเว็บไซต์ซื้อขายบิทคอยน์ที่ชื่อว่า Coins.co.th เพื่อให้บริการซื้อขายบิทคอยน์กับผู้ที่สนใจซึ่งในระยะแรกของธุรกิจยังเป็นเพียงแค่เว็บไซต์และยังไม่ได้เป็นแพลตฟอร์ม Exchange จริง ๆ ที่เมื่อรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าแล้ว

คุณท็อปต้องรีบไปดำเนินการจัดการซื้อบิทคอยน์จากแพลตฟอร์มอื่นเพื่อเอามาให้ลูกค้า เช่นเดียวกับที่ลูกค้าต้องการขายก็ต้องรีบไปขายเพื่อนำเงินมาคืนลูกค้า ในช่วงนั้นคุณท็อปต้องทำทุกอย่างเองเพียงคนเดียวเพราะว่าทั้งธุรกิจมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น และมีในบางครั้งที่หมุนเงินไม่ทันถึงกับต้องไปเคาะประตูห้องคุณพ่อคุณแม่เพื่อยืมเงินไปคืนให้ลูกค้าในเวลาตี 3 เวลานั้นคุณท็อปต้องทำงานอย่างหนักมากเพราะตลาดบิทคอยน์แทบจะเป็นตลาดที่เปิด 24 ชั่วโมง

เขาทำงานอย่างเดียวและแทบไม่ออกสังคมเลยเป็นเวลากว่า 10 เดือนจนสร้างความไม่สบายใจให้กับครอบครัวว่ากำลังทำอะไรอยู่เพราะทุกคนไม่มีใครเข้าใจถึงธุรกิจที่คุณท็อปกำลังทำอยู่เลย

แม้ในภายหลังเมื่อคุณท็อปเก็บเงินได้ก่อนหนึ่งและต้องการจ้างพนักงานเพื่อให้มาช่วยทำงานแต่ปรากฎว่าก็ไม่มีใครมาทำงานด้วยเลยเพราะทุกคนไม่เข้าจว่าสิ่งที่คุณท็อปกำลังทำอยู่มันคืออะไร จนกระทั่งพนักงาน 2 คนแรกก็คือญาติของคุณท็อปที่ว่างงานพอดีคุณท็อปจึงดึงมาช่วยทำงาน

เมื่อธุรกิจเริ่มโตขึ้น คุณท็อปจึงย้ายออกจากออฟฟิศแรกคือชั้นลอยของที่บ้านไปหาเช่าพื้นที่ Co-working space ทำเป็นออฟฟิศแห่งแรกของบริษัทอย่างเป็นทางการ และค่อย ๆ ขยายออฟฟิศขึ้นตามอัตราการเติบโตของธุรกิจ

เพราะเป็นสิ่งใหม่จึงเริ่มมีคำเตือนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

ในช่วงแรกที่ทำธุรกิจนี้คุณท็อปได้รับหนังสือเตือนจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่ในสมัยนั้นยังไม่เข่าใจเรื่องของบิทคอยน์ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่ จดหมายเตือนนี้ทำให้คุณท็อปต้องถกเถียงอนาคตกับครอบครัวและพยายามอธิบายในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ ตราบจนกระทั่งหน่วยงาน ปปง. ส่งจดหมายเตือนมาถึงคุณท็อปโดยตรงเพื่อเรียกตัวไปสอบสวนในสิ่งที่คุณท็อปกำลังทำอยู่ และก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่คุณท็อปต้องถกเถียงในเรื่องของบิทคอยน์กับครอบครัวด้วยความที่ทุกคนก็ยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณท็อปทำอยู่นั่นเอง เพื่อการเตรียมตัวเข้าไปชี้แจงกับ ปปง.

คุณท็อปต้องขอความช่วยเหลือไปยังเพื่อนที่มีความรู้ด้านกฎหมายแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว สุดท้ายคุณท็อปก็ต้องหาความรู้ด้วยตนเองทั้งหมดโดยแบ่งเวลาในช่วงหลักเลิกงานศึกษากฎหมายเกี่ยวกับการเงินด้วยตนเองเพื่อเตรียมเข้าชี้แจงกับ ปปง. และททำให้คุณท็อปต้องเป็นผู้ set up ระบบ reporting ให้กับประเทศไทยเพราะต้องนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังไม่มีระบบนี้ หลังจากกลับมาจากการชี้แจงปรากฏว่าพนักงานในบริษัทถึงกับลาออกไปกว่าครึ่งบริษัทเพราะความกลัว

แม้ว่าจะสามารถผ่านการชี้แจงจาก ปปง.มาได้ แต่ภายหลังธนาคารแห่งประเทสไทยก็มีหนังสือเรียกตัวมาหาคุณท็อปอีกครั้งและก็เช่นเดิมที่คุณท็อปก็ต้องถกเถียงในเรื่องนี้กับครอบครัวอีกครั้งด้วยความที่สิ่งที่ทำเป็นสิ่งใหม่และไม่มีใครเข้าใจนั่นเอง คุณท็อปก็ต้องเข้าไปชี้แจงเรื่องบิทคอยน์กับธนาคารแห่งประเทศไทยตามหมายเรียกตัว ผลก็คือทำให้พนักงานขอลาออกอีกครึ่งบริษัท หลังจากที่คิดว่าทุกอย่างน่าจะจบ หน่วยงานอย่างกรมสรรพากรก้เข้ามาทำการตรวจสอบการเงินของบริษัท โดยทั้งคุณท็อปต้องเข้าไปชี้แจงกับสรรพากรและสรรพากรเองได้ส่งเจ้าหน้าที่มาทำการตรวจสอบถึงบริษัท ซึ่งทั้งบริษัทต้องมาช่วยกันจัดการเรื่องบัญชีติดต่อกัน 2-3 เดือนจนพนักงานถึงกับต้องขอลาออก

ประวัติคุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา จุดเปลี่ยนที่ทำให้คนเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ทำ

สมัคร bitkub ยังไง

วันที่ 1 เมษายน 2017 เมื่อประเทศญี่ปุ่นออกมาประกาศว่าบิทคอยน์คือสิ่งที่ถูกกฎหมาย และวันนั้นเองคือวันที่ปัญหาทุกอย่างที่คุณท็อปเผชิญมาได้คลี่คลายลงและทำให้คนทั่วไปรู้จักและตื่นตัวกับบิทคอยน์มากขึ้น และเป็นวันที่คุณท็อปได้พิสูจน์ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เคยคิดว่าผิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องนั่นเอง และท้ายที่สุดคุณท็อปก็ได้ขายบริษัทแรกที่สร้างขึ้นให้กับ Gojek ที่เข้ามาซื้อกิจการไป

เดินหน้าสู่บริษัทที่ 2

เมื่อบิทคอยน์ได้รับการรับรองทำให้สื่อทุกสายพุ่งเป้าไปที่คุณท็อปจนได้รับเชิญไปพูดกว่า 300 ครั้งในปีเดียว แม้ว่าเมื่อขายบริษัทไปแล้วและมีความคิดอยากจะพักแต่เมื่อมีการประกวดแข่งขัน Fintech challenge ของ ก.ล.ต. คุณท็อปก็ได้เข้าแข่งขันด้วยและได้รับรางวัลชนะเลิศในที่สุด ซึ่งทำให้คุณท็อปมีแนวคิดที่อยากจะเปิดบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจ Fintech ในประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยมีการผลักดันให้เกิดการแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับบิทคอยน์มากขึ้น

คุณท็อปจึงเปิดการระดมทุนด้วยมีการยื่นข้อเสนอไปที่กองทุน SBI ซึ่งเป็นกองทุนใหญ่จากญี่ปุ่นที่แสดงความสนใจแต่มีเงื่อนไขมากมาย จึงลองเอาโปรเจกต์ไปเสนอกับนักลงทุนรายอื่นจนสามารถระดมทุนรอบแรกได้ถึง 67 ล้านบาทซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ซึ่งเป็นจุดกำเนิด Bitkub มาจนถึงปัจจุบัน และในภายหลังก็ได้รับการลงทุนเพิ่มจาก DTAC จนทำให้ Bitkub มีมูลค่าถึง 525 ล้านบาทในขณะนั้น และคุณท็อปเองก็ได้บริหาร Bitkub จนสามารถเติบโตได้ถึง 1,000 % ได้ถึง 3 ปีติดต่อกันซึ่งสาเหตุที่ทำให้ Bitkub ครองความเป็นที่หนึ่งได้เพราะเกิดจากความเชื่อใจเป็นสำคัญเพราะคุณท็อปอยู่ในวงการนี้มาอย่างยาวนาน

สิ่งที่ผลักดันให้คุณท็อปสามารถเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่พบและผ่านมาได้

ด้วยอุปนิสัยที่ไม่ยอมแพ้จึงทำให้คุณท็อปตั้งใจที่จะพิสูจน์ความเชื่อของคนอื่นในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าผิดให้ได้จึงเป็นแรงผลักดันให้คุณท็อปกล้าที่จะเผชิญหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ และด้วยความที่เป็นคนที่มีเป้าหมายเดียวในชีวิตในแต่ละช่วงชีวิตจึงทำให้คุณท็อปตั้งใจที่จะโฟกัสเป้าหมายแต่ละอย่างและทำให้ประสบความสำเร็จให้ได้

แนวคิดที่น่าสนใจของคุณท็อป

ประวัติคุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา

ต้องการที่จะสร้างบริษัทให้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่ต้องการจะเป็นอย่าง Bitkub และต้องการที่จะเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เพียงแค่สร้างบริษัทที่เป็น digital economy หรือธุรกิจโมเดลที่ 3 ที่สร้าง platform business เป็นด้วยและเป็นของคนไทย 100 % ที่เก็บภาษีและจ่ายภาษีให้กับประเทศของเราและต้องการที่จะเติบโตจนสามารถบุกออกไปเติบโตยังต่างประเทศเพื่อดึงเงินจากต่างประเทศกลับมายังประเทศไทย และต้องการที่จะให้ Bitkub เติบโตอย่างยั่งยืนเหมือนกับบริษัทแพลตฟอร์มชั้นนำของต่างประเทศทั้ง Facebook และ Google เพื่อให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนในประเทศ และต้องการจะเป็นบริษัท Fintech บริษัทแรกของประเทศไทยที่เข้าไปสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้คนไทยได้เป็นเจ้าของบริษัทร่วมกัน

ความรู้สึกเจ็บปวดหรือท้อแท้เป็นสัญญาณที่ดีเพราะความรู้สึกสบายนั่นคือคุณไม่ได้ทำในสิ่งที่ยากเกินความสามารถของคุณเลย และถ้าคุณยังทำอะไรอยู่ในกรอบเมื่อเวลาผ่านไปนานแค่ไหนคุณก็ยังเป็นคนเดิมที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าหากคุณอยากเป็นคนใหม่ที่เมื่อมองกลับไปด้านหลังแล้วรู้สึกว่ามาไกลจังคุณต้องเริ่มลงมือทำในสิ่งใหม่ ๆอย่างไม่ท้อถอย พยายามอดทนและสู่ต่อไป เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่แม้จะมีเงินก็ซื้อไม่ได้นั่นก็คือ “เวลา”นั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจากคลิป https://youtu.be/wEE4G9J-c5s