ผมประเมินว่า SMEs ส่วนใหญ่พอพูดถึงเรื่องการทำ Content Marketing หลายคนเคยได้ยิน ได้ฟังแต่..ไม่กล้าที่จะทำ หรือ ทำไม่ได้
เหตุผลที่เบสิคสุดคือ “ไม่รู้จะเขียนอะไร” หรือไม่ก็ “ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร” วันนี้ผมคงไม่ได้มาสอนวิธีการเขียนแต่สิ่งที่จะมาปรับจูนกันก็คือเรื่องของแนวคิดและวิธีการหลัก ๆ ที่เราต้องทำครับ หากเราเข้าใจจุดนี้แล้ว เรื่องของ บทความ Content เราจะเขียน สร้าง ขึ้นมาเองหรือจะใช้วิธีการจ้างเขียนบทความ ก็ไม่เสียตังก์เปล่าแน่นอน
เอาหละครับ ผมจะไม่พูดถึงในหลักทฤษฏีอะไรมากมาย แต่โจทย์ที่ผมอยากจะให้ทุกท่านช่วยคิดตามผมสักหน่อยนะครับ
- ทำไมเราถึงต้องการให้ Content ของเราได้รับการ Share หรือบอกต่อไปเรื่อยๆ ?
- การทำ Content ให้คนแชร์ออกไปนั้นมีผลทำให้ยอดขายเราเพิ่มขึ้นไหม ?
- จะทำอย่างไรให้ Content ที่ถูกแชร์ไปนั้นแปลงมาเป็นยอดขาย ?
- แล้วจะทำ Content ลงในสื่อช่องทางไหนได้บ้าง ?
ลองคิดและค่อย ๆ หาคำตอบของคุณเองก่อนนะครับ แล้วเรามาช่วยกันหาคำตอบของทั้ง 4 คำถามกัน
1.ทำไมเราถึงต้องการให้ Content ของเราได้รับการ Share หรือบอกต่อไปเรื่อยๆ ?
การที่เราต้องการให้ Content เราได้รับการแชร์บอกต่อไปเรื่อย ๆ นั้นเหตุผลหลัก ๆ ก็เพื่อให้คน “เห็น” อะไรที่มันเกี่ยวของกับธุรกิจเรามากที่สุด
ผมยกตัวอย่าง เวลาเรานั่งรถไฟฟ้า บนรถไฟฟ้าก็จะมีทั้งป้ายโฆษณา ,รายการใน TV หรือแม้กระทั่งนั่งรถเมล์ เราก็จะเห็นป้ายโฆษณารอรถ บนตัวรถ หรือ เห็นป้าย Billboard ทั้งแบบทั่วไปและแบบ Digital เหล่านี้มีวัตถุประสงค์เดียวกันครับเพื่อให้คนเห็นเยอะๆ คนจะได้จดจำ จำได้ พอจะตัดสินใจซื้ออะไรสักอย่างก็จะรู้สึกแดจาวู เหมือนแว็บ ๆ เคยเห็นโฆษณาของสินค้านี้ที่ไหนสักแห่งอะไรประมาณนั้น
ส่วนในโลกของออนไลน์ เราก็ทำเพื่อหวังผลเช่นเดียวกันครับ……..คือให้คนเห็นเยอะ ๆ ยิ่ง Like มากยิ่งดี ยิ่งแชร์มากยิ่งสุดยอด เราคิดว่าคนน่าจะรู้จักเรามากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าเราเคยกลับมาวิเคราะห์ดูจริงๆ หรือเปล่าครับ
เพราะฉะนั้นโจทย์ใหญ่ของคำถามนี้ก็คือ “ทำอย่างไรให้คนแชร์และบอกต่อ”
ทำ Content ให้แชร์ไม่ได้ยากมากนักถ้ามีเค้าโครงของเรื่องดังต่อไปนี้
- เรื่องดารา โดยเฉพาะเรื่องด้านลบๆ
- เรื่องสะเทือนใจ รับไม่ได้
- เรื่องดร่ามา ของชาวบ้านชาวช่อง
- เรื่องเหลือเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้ว
- เรื่องตลก ขำขี้แตกขึ้แตน
- คำโครตพ่อ โครตแม่งคม
- เรื่องศาตร์โหรา ตัวเลข ดวง
- เรื่องออกแนวเซ็กซี่ ชวนดูชวนแชร์ ชวนเมาส์
- เรื่องข้อคิด เตือนสติ เตือนใจ เตือนไปยันไส้ติ่งว่าจะแตก
- เรื่องที่เป็นกระแสภายใน 24 ชั่วโมงแล้วหายวับ
เคล้าโครงเรื่องเหล่านี้ไม่ว่าเรื่องไหนก็เรื่องนั้นครับ แชร์กระจาย กลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวด์เลยทีเดียวครับ แต่คำถามผมคือ
เรื่องเหล่านี้มันเป็นประโยชน์กับธุรกิจเราไหม ?
จะทำให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจเราได้อย่างไร ?
2.การทำ Content ให้คนแชร์ออกไปนั้นมีผลทำให้ยอดขายเราเพิ่มขึ้นไหม ?
จะลงแรงทำอะไรสักอย่างในทางธุรกิจมันต้องวัดกลับมาเป็นยอดขายให้ได้ครับ ไม่ว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะทำเพื่อการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ หรือ การตอกย้ำเรื่องแบรนด์
การสร้าง Content ขึ้นมาก็เช่นกันใช่ว่าสักแต่ทำ เห็นคนอื่นเขาทำเราก็ทำบ้าง เห็นคนอื่นเขาทำเรื่องนี้แล้วมีคนแชร์เยอะแล้วเราทำบ้าง การ Copy ผลลัพธ์ไม่น่าจะเป็นวิธีการที่ถูก แต่การ Copy วิธีคิดต่างหากเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้
ผมชี้ให้เห็นด้านบทแล้วครับว่า ทำให้คนแชร์นั้นไม่ได้ยากมากแต่…………..คนที่ได้รับข้อมูลที่เราสร้างขึ้นมานั้นเขาเป็นใคร เขาจะซื้อสินค้าเราไหม นี่เป็นสิ่งที่น่าคิดครับ
ผมยกตัวอย่างเรื่องของ บ่อเลี้ยงจรเข้า กับ กรงเลี้ยงลิง เพื่อให้พวกเราเห็นภาพของ “Content” ที่อยู่ในมือเรา
สมมุติว่าตอนนี้ทุกคนมี “เนื้ออกไก่อย่างดี” อยู่ในมือนะครับได้รับการส่งต่อกันมาเรื่อย ๆ แต่ที่บ้านเราเลี้ยงลิงไว้หลายตัวเลยทีเดียว เราเห็นว่า “เนื้อไก่” นี้น่าจะดีเป็นประโยชน์เลยนำ “เนื้อไก่” มอบให้ลิง คิดว่าลิงจะรับ แล้วนำไปกินไหม ?
เรื่องเดียวกันครับ ที่บ้านเราปลูกกล้วยหอมไว้หลายไร่เลยทีเดียว ส่วนเพื่อนบ้านเขาทำฟาร์มจรเข้ เราเห็นว่าที่บ้านเรามีกล้วยหอมดี ๆ เยอะมากเลยนำไปให้เพื่อนเพื่อนำไปเป็นอาหารเลี้ยงจระเข้ คิดว่าเพื่อเราจะนำกล้วยหอมไปให้จระขเข้ไหม
คำตอบคือ “มันผิดฝั่ง ผิดฝา” หากเปรียบ “เนื้อไก่” และ “กล้วยหอม” เป็น “Content” และเปรียบ “จระเข้” และ “ลิง” เป็น “กลุ่มเป้าหมาย” (ขออภัยที่ต้องเปรียบเทียบแบบนี้ไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่าพวกท่านเป็น ลิงหรือจระเข้ ) แม้ Content ดีแต่หากนำไปส่งให้กลุ่มเป้าหมายผิดมันก็ไม่เกิดประโยช์น์ ส่งกล้วยหอมให้จระเข้มันก็เสียเวลาเปล่า เจ้าจระเข้มันไม่กินกล้วย ดีไม่ดีตอนยื่นกล้วยให้มันมันจะงับเอามือเราไปกินแทนด้วยซ้ำ
ส่งเนื้อไก่ให้ลิงมันอาจจะทำหน้าสงสัย ลองหยิบขึ้นมาดูแล้วมันก็ปาใส่หน้าเราเอาซะอีก (มรึงเอาอะไรมาให้กรูกิน…นี่ลิงคิดนะ)
เพราะฉะนั้น “Content” ที่เราจะทำขึ้นมานั้นมันจะสามารถแปลงเป็นยอดขายได้ก็ต่อเมื่อมัน “ตรงกลุ่มเป้าหมาย” เสียก่อน
3.จะทำอย่างไรให้ Content ที่ถูกแชร์ไปนั้นแปลงมาเป็นยอดขาย ?
เมื่อ Content โดน และ ตรงกลุ่มเป้าหมาย โอกาสในการเพิ่มยอดขายมันก็ตามมาครับ
สิ่งที่เราจะทำให้ Content โดนจนใครเห็นก็ต้องแชร์ ก็ให้นำ “อารมณ์” หรือ “โครงเรื่อง” ที่ผมว่ามาด้านบนใส่เขาไปใน Content ด้วยครับ
สร้าง Content ที่ทำให้เกิด “อารมณ์ร่วม” (อย่าคิดลึกนะครับ) ระหว่างผู้รับและผู้ส่งข้อมูล ถ่ายทอด Content ออกไป
ใส่ความเป็นมืออาชีพหรือผู้มีความเชี่ยวชาญนั้นลงไปครับ ส่วนนี้ผมต้องบอกว่า “คุณรู้ดีว่าคุณเก่งอะไร” ถ้าเราทำธุรกิจเครื่องสำอาง ก็ต้องใส่ความรู้ความชำนาญในมิติด้านนี้ลงไป คงไม่ถูกแน่หากเราทำธุรกิจเครื่องสำอางแล้วเนื้อหาโดยส่วนใหญ่พูดถึงแต่เรื่องมอเตอร์ไซต์ว่าไหม
คนจะซื้อสินค้าเราเมื่อไหร่ ผมย่อยมุมมองการสร้าง Content เพราะพุ่งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมายและยอดขายที่เราต้องการ
1.เห็น :เขาต้องมีโอกาสเห้น Content ของเราก่อนหรือต้องได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ได้ดู Content ที่บ่งบอกถึงสินค้า บริการของเราเสียก่อน เขาต้องได้สัมผัส รับรู้จากโสตประสาทส่วนหนึ่งหนึ่งก่อน สินค้า บริการเราจึงจะมีโอกาสขายได้
2.สนใจ : เห็นยังไม่พอ เราต้องทำให้เขา “สนใจ” ในสินค้าและบริการของเราได้ ทำอย่างไรให้เขาสนใจ ก็จะกลับมาที่กลุ่มเป้าหมายว่าเรารู้จักกลุ่มเป้าหมายเราดีมากน้อยแค่ไหน หากยังไม่รู้จักดีพอสิ่งที่ต้องทำคือการ “เดาใจ” ทำ Content เดาใจดูว่าอย่างนี้โดนไหม ใช่หรือเปล่า แต่ใช่ว่าจะเดาแบบสุ่ม ๆ นะครับต้องมีการศึกษามาก่อนด้วยครับว่าเขาชอบ ไม่ชอบอะไร คิดเสียว่าเรากำลังจีบสาวอยู่สักคน หรือ จีบหนุ่ม อะไรก็ว่าไปนะครับ
3.มั่นใจ : เมื่อเขาสนใจแล้วประเด็นสุดท้ายที่เขาจะซื้อนั่นก็คือเขาต้อง “มั่นใจ” ในสินค้าในบริการหรือแม้กระทั่งในตัวเจ้าของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นเสียก่อน ส่วนนี้เป็นเรื่องของ “ความหลากหลายของข้อมูล” และ “ช่องทาง” ของ Content ของเราว่ามีอยู่ที่ไหนบ้าง มากเพียงพอให้เขาตัดสินใจได้หรือไม่ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยเรื่องของ “Branding” ไม่ว่าจะเป็น Product Branding หรือ Personal Branding ที่จะช่วยให้ลูกค้ามั่นใจในการซื้อใช้บริการของเรา
4.เชื่อใจ :แค่ 3 ผ่านยังไม่พอครับ เขามั่นใจมันทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อใช้ในครั้งแรก แต่เขาจะบอกต่อเพื่อนเขาหรือ Share สิ่งดี ๆ ต่อหรือไม่นั้นมันย่อมเกิดจากความ “เชื่อใจ” ที่เราใส่ลงไปในสินค้าและบริการของเรานะครับ บางคนทำ Content ทำโฆษณาดิบดีแต่พอลูกค้ามั่นใจซื้อไปใช้กลับใช้ไม่ดีดังที่กล่าว ผิดหวังกับสิ่งที่ซื้อมา คราวนี้ก็บอกต่อเหมือนกันครับ แต่เป็นการบอกต่อในด้านลบ ทำธุรกิจอย่าเป็นประเภท “ปากหวาน ก้นเปรี้ยว” นะครับไม่อย่างนั้นมันจะอยู่ได้ไม่นาน โฆษณาดี แล้ว สินค้า บริการ ต้องดียิ่งกว่า
5.รักใคร่ : หากสินค้าดี บริการดี ลูกค้าบอกต่อนั่นเพราะความ “เชื่อใจ” แต่จะอยู่กับเราไปนาน ๆ ได้นั้นย่อมเกิดจากความ “รักใคร่” แล้วจะสร้างส่วนนี้ได้อย่างไรคำตอบคือ “การดูแลเอาใจใส่” หรือ พูดในภาษาธุรกิจว่า “บริการหลังการขาย” โฆษณาดี สินค้าดี บริการดีทุกอย่างต้องดีแบบ “เสมอต้นเสมอปลาย” อย่างนี้อยู่กับใคร ใครก็รัก และเขาพร้อมที่จะยืนเคียงข้างเราแม้ว่าวันหนึ่งเราจะโดนมรสุมอะไรบ้างก็ตาม ลูกค้ากลุ่มนี้แหละเขาจะลุกขึ้นมาปกป้องเรา
Content ที่เราสร้างมันเป็น “กระบวนการ” ในพัฒนากลุ่มเป้าหมาย ให้เป็นลูกค้า พัฒนาลูกค้าให้เป็นเซลล์ และพัฒนาเซลล์ให้เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตัดสินใจด้วย Content เพียงแค่ 1 บทความ
4.แล้วจะทำ Content ลงในสื่อช่องทางไหนได้บ้าง ?
ผมประเมินว่าทุกท่านคงพอเข้าใจคำตอบของคำถาม 3 ข้อที่ผมถามทุกท่านไว้นะครับ (ถ้าไม่เข้าใจให้อ่านซ้ำ ถ้ายังไม่เข้าใจอีก ลองทักมากคุยกันดูครับ line : @taokaemai)
ส่วนของคำตอบของคำถามนี้ผมจะบอกแค่ช่องทาง จะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด วิธีการของแต่ละช่องทางนะครับ ไว้เป็นบทความในตอนต่อ ๆ ไปจะขุดเรื่องของ ช่องทางการนำ Content ไปวางอย่างเจาะลึกเลยทีเดียว
คำถามจะนำ Content ลงในสื่อช่องทางไหนบ้าง ?
กับคำถามนี้ผมอยากจะถามลึกลงไปอีกหน่อยเพื่อให้เพื่อน ๆ ได้คิดต่อนะครับ
คิดว่าลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายเราเขาอยู่ในสื่อช่องทางไหนบ้าง ?
นี่คือ Key สำคัญของการนำ Content ไปแพร่กระจายครับ ลูกค้าเราอยู่ที่ไหนเราก็นำ Content ไปหยอดไว้ที่นั่น ที่ไหนมีมาก ได้ผลก็ให้ความสำคัญกับช่องทางนั้นเยอะ ๆ ครับ
1.เว็บไซต์ส่วนตัว/Blog : กลุ่มเป้าหมายเขาจะตามมาหาเว็บไซต์เราครับหากเขาเห็นหรือสนใจในบทความหรือธุรกิจของเรา เขาอาจจะค้นหาจาก google
2.Facebook : เขาอาจจะเห็นเราใน Facebook โดยการแชร์มาจากเพื่อน ๆ เขา เราก็ควรไปปล่อย Content ไว้ที่นี่ด้วย
3.Community/Web board : ถ้าเราเป็น กูรู อยู่ในเว็บที่เป็น ชุมชน ใดที่มีลูกค้าเราอยู่ที่นั่นก็สามารถสร้างธุรกิจจาก Content ที่เราถ่ายทอดไปได้
4.Youtube/Bigo Live : ช่องทางที่เป็น Clip เป็น Live ที่มาทั้งภาพเคลื่อนไหว เสียง ที่ไหนมีคนที่นั่นมีธุรกิจ
5.Intragram :ถ้าลูกค้าเราเขาชอบสินค้าที่เห็นรูปแล้วอยากซื้อ อยากกิน ก็ต้องมาที่นี่
6.Line : การพูดคุยทาง line เราก็สามารถใส่ Content ลงไปได้ครับตรงกลุ่มเป้าหมายเลยทีเดียว
7.Twitter : ข้อความสั้น ๆ ชวนติดตามมาอ่านต่อในสื่อ อื่น ๆ เราใช้ Twitter ก็จะเป็นประโยชน์มาก
ผมยกมาให้เห็นช่องทางหลัก ๆ ในการที่เราจะนำ Content ของเราไปวางเพื่อให้เกิดการรับรู้ และบอกต่อนะครับ เราไม่จำเป็นต้องโฟกัสทุกช่องทาง แต่เราควรแพร่กระจายไปให้ได้ทุกช่องทางในเวลาที่จำกัดครับ
เราได้คำตอบของทั้ง 4 คำถามแล้วนะครับ คราวนี้ก็ได้เวลาที่จะลงมือทำแล้วนะครับ…ลองทำดูก่อน ลองศึกษาดูก่อน หากไม่ได้จริง ๆ การทำธุรกิจโดยการ Out Source สิ่งที่เราไม่ถนัดให้กับคนอื่นช่วยมันก็เป็นอีก 1 ทางเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียวครับ
บริการอบรม ให้คำปรึกษาการทำธุรกิจออนไลน์ ฝึกอบรมภายในบริษัท แบบตัวต่อตัว การทำ Content Marketing,การโฆษณา Facebook,การโฆษณา Tiktok,การตลาด Line OA และการทำสินค้าให้คนหาเจอบน Google
บริการดูแลระบบการตลาดออนไลน์ให้ทั้งระบบ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสารความรู้การทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ Add Line id :@taokaemai
รับชมคลิป VDO ความรู้ด้านการตลาด กรณีศึกษาธุรกิจ แหล่งเงินทุนน่าสนใจ ติดตามได้ที่ช่อง Youtube : Taokaemai เพื่อนคู่คิดธุรกิจ SME