กฏทองที่ผมใช้ เพื่อพัฒนาตนเองขณะที่ทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ หลังจากที่อกหักจากเรื่อง การได้รับการขึ้นเงินเดือน โบนัสน้อย ในปีแรก ๆ ของการทำงาน แต่เมื่อผม “คิดใหม่ มองใหม่” ผมสรุปประเด็นที่ตกผลึกแล้วออกมาได้เป็น
6 กฏทองพื้นฐานลูกจ้าง ทำงานอย่างไรให้รุ่ง
1.เราไม่ใช่ “ลูกจ้าง” แต่เราคือ “หุ้นส่วนบริษัท”
2.ทำงานตัวเองให้ดี ช่วยงานคนอื่นเพื่อขยายโอกาส
3.กล้าคิด กล้านำเสนอ
4.ออกมาหาเครือข่าย เรียนรู้เพิ่มความสามารถ
5.แยกให้ได้ งานที่ทำ ส่วนตัว ครอบครัว และโอกาสก้าวออกมาทำธุรกิจ
6.วินัย ความต่อเนื่อง จะทำให้เราก้าวหน้าและพัฒนา
7.ทำงานอย่างฉลาด ขยันอย่างมีปัญญา
มาทำความเข้าใจกันเพิ่มเติมกับ กฎทองแต่ละข้อกันครับ
เราไม่ใช่ “ลูกจ้าง” แต่เราคือ “หุ้นส่วนบริษัท”
ด่านแรกที่ต้องทำให้ได้ ผ่านไปให้พ้นคือ “Mind Set” วิธีคิดเราต้องเปลี่ยนนะครับ ผมเคยเห็นโพสในเฟสบุ๊คอยู่ครั้งหนึ่งของคุณ วิช Vittarot ไพ่ทาโรต์สนุก เล่นง่าย ครับ เนื้อหาประมาณว่า “หากเราเงินเดือน 5,000 แล้วเราทำงานเต็มที่ด้วยมูลค่า 500,000 ในไม่ช้าเราจะได้รับเงินเดือน 50,000 นั่นหมายความว่า เรากำลังขาดทุนตลอดชีวิต”
ผมเห็นเนื้อหาแล้วอดที่จะเข้าไปโพสเพื่อแสดง ความคิดเห็นในอีกมุมหนึ่งครับว่า “ขาดทุนเพื่อกำไร ต้องยอมแลกก่อนเพื่อที่เราจะได้กำไร และแนวทางนี้จะเป็นการปูพื้นฐานให้เรามีกำไรตลอดชีวิต”
ประเด็นที่ผมต้องการสื่อ คือ Mind Set เรื่องการทำงาน หากเราทำงานด้วยคำว่า “หน้าที่” ผลลัพธ์ ก็เห็นแค่ “ที่หน้า” เล็กน้อย แต่ถ้าเราทุ่มเท คิดว่านี่คือ “บริษัทที่เราเป็นหุ้นส่วน” ผลลัพธ์ ที่ได้แม้ไม่กระทบเรื่องเงินเดือน โบนัส เรานะตอนนี้ แต่สิ่งที่เราจะได้คือ “ประสบการณ์” ที่คำว่า “หน้าที่” ไม่อาจมอบให้เราได้เลย
มองใหม่ คิดใหม่ครับ !! งานประจำที่เราทำอยู่ นี่คือ บริษัท ที่เราเป็นหุ้นส่วน ทำให้เต็มที่ ทุ่มให้สุดความสามารถ เดี๋ยวผลงานมันจะปรากฏ ผลิดอกออกผลของมันเองครับ
ทำงานตัวเองให้ดี ช่วยงานคนอื่นเพื่อขยายโอกาส ขุมทรัพย์อยู่ที่ถังขยะ
เมื่อประเด็นความคิดเราผ่าน งานเราก็จะเดินไปได้ดี แม้มีปัญหาอุปสรรคบ้าง เราก็จะแก้ไขมันออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
การจัดสรร งานในแต่ละวันเราก็จะดียิ่งขึ้น หลักการง่าย ๆ ในการจัดการเรื่องเวลา คือการลำดับความสำคัญของงาน ทำ To Do List ในแต่ละวัน ใช้กระดาษโน๊ต (Post it) เขียนแปะติดไว้ที่โต๊ะทุกเช้า งานอะไรบ้างที่ต้องทำให้เสร็จในวันนี้ งานอะไรบ้างที่ต้องเตรียมการ รับรองรับ งานคุณจะออกมาดีเว่อร์ เลยครับ
เมื่องานเสร็จมีโอกาสลองขยับขยายตัวเองไปพูดไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน ส่วนไหนที่พอช่วยได้ผมแนะนำว่าให้ “อาสา” เลยครับ หรืองานไหนที่ แมร่ง !! ไม่มีใครทำ รีบเลยครับ อาจจะดูเหมือนงานนั้นเป็น “ถังขยะ” ที่ไม่มีใครกล้ารื้อ แต่เชื่อผมเถอะ ในถังขยะมีความลัพธ์ ของธุรกิจ ความลับของความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอยู่เยอะมากๆ
ผมใช้วิธีนี้ “ก้าวกระโดด” จาก วิศกรธรรมดา มาเป็น Project Manager ผมใช้วิธีนี้ก้าวจาก Project Manager มาเป็น Business System Analysis ที่มีหน้าที่วิเคราะห์และออกแบบระบบงานของทั้งบริษัท เพราะเรา มองเห็นองค์ประกอบในส่วนต่าง ๆ ของบริษัทครบทุกมุม
“ความลับของถังขยะ” ยังคงเป็นความลับ ตลอดไป หากไม่มีใคร “กล้า” ที่จะรื้อดู แต่ถ้าเรา “กล้า” ถังขยะแทบทุกใบมี ทองคำซ่อนอยู่เสมอครับ
กล้าคิด กล้านำเสนอ
Sport Light จะส่องมาหาคนที่เป็น “Star” เท่านั้น แล้วจะทำอย่างไรให้เราเป็น “Star” ที่ได้รับการส่องหละ สิ่งที่เราต้องทำคือ ความคิดริเริ่ม กล้าที่จะคิด เท่านั้นยังไม่พอครับ ต้องกล้านำเสนอ อย่างมืออาชีพ
ผมไม่ได้บอกให้พวกเรา “เสนอหน้า” เลียแข้งเลียขานะครับ แต่กำลังยุให้พวกเรา แสดงความสามารถเราให้เต็มที่ ส่วนที่ต้องพัฒนาที่สุดคือ “การนำเสนอ” ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอความคิดให้กับหัวหน้า ผู้จัดการแบบตัวต่อตัว การแสดงความเห็นที่เป็นประโยชน์ในที่ประชุม หรือ การออกไปนำเสนอผลงาน ความคิดต่าง ๆ ในห้องประชุม
นำเสนอดี ชีวิตดีไปกว่าครึ่งแล้วครับ อย่าใช้เพียง “ความคิดเรา” มาใช้เพียงการ “นินทา” ลับหลัง กูว่าอย่างโน้นดีกว่า อย่างนี้ดีกว่า บอกได้เลยครับ ไม่เป็นประโยชน์ ถ้ามีความคิด นำเนอๆๆ เท่านั้นครับ จะดีหรือไม่ดี จะโดนหรือไม่โดนไม่เป็นไร ให้เราได้คิดและนำเสนอบ่อย ๆ เดี๋ยวความคิด ประเด็นเรามันจะยิ่งแหลมคิด ครับ
ออกมาหาเครือข่าย เรียนรู้เพิ่มความสามารถ
เปิดโลกความคิด เพิ่มมิตรชีวิตก้าวหน้า เราอยู่แค่ในบริษัท กับที่บ้านก็จะเห็นแค่บ้านและบริษัท เห็นมุมคิดเพื่อน ๆ ร่วมงานแค่นั้น (บางคนก็ไม่ได้คิดอะไรอีกต่างหาก) คำถามแล้ว เราจะมีความคิดความรู้ใหม่ ๆ เข้ามาได้อย่างไรถ้า ชีวิตมีอยู่แค่เนี๊ยะ !!
อ่านหนังสือครับ ท่องเน็ตครับ (ไม่ใช่ดูแต่เว็บ 18+) เข้าคอร์สสัมมนาครับ ความลับของความสำเร็จ ไม่ใช่อยู่ที่ว่าเรามีความรู้ ความสามารถอะไรนะครับ แต่อยู่ที่ว่า “เรารู้จักใคร และ ใครรู้จักเรา”
จะทำอย่างไรให้ “เรารู้จักใคร” และ “ใครรู้จักเรา” มีคอร์สอบรม สัมมนา จะฟรีหรือต้องจ่ายเงิน นี่คือเวลาของการ “ลงทุน” กับความก้าวหน้าของชีวิต ของการงาน ถ้าคุณไม่ทำ ผมบอกได้เลยโอกาสก้าวหน้าลดลงไปกว่า 80%
หลักคิดง่าย ๆ ครับ ถ้าสิ้นเดือน เราไปฉลองกินเหล้า ดื่มเบียร์ สนุกสนานเฮฮา ผมว่า เงิน 1 พันนี่ขั้นต่ำที่ต้องจ่าย กับการได้เพื่อนเป็นที่ระบาย 4-5 คนเดิม ๆ
ถ้าเอาเงิน 1 พันไปลงทุนเข้าสัมมนา 1 สัมมนา เราจะได้เพื่อนใหม่ ๆ อย่างน้อย 10-20 คน รวมถึงวิทยากร ที่เราจะต้องเข้าไปทำความรู้จัก ของฟังมุมมอง ความคิด ประสบการณ์
ผมใช้มุขนี้อยู่เสมอ ขณะที่ตอนทำงาน หรือ แม้กระทั้งออกมาทำธุรกิจส่วนตัว หากผมต้องการรู้จักใครแบบใกล้ชิด รู้จักจริง ๆ ผมยอมจ่ายค่าคอร์สสัมมนา เพื่อที่จะได้มีโอกาสพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดกัน และนี่คือ “ความลับสวรรค์” รู้จักคนมาก มิตรภาพ จะเปิดประตูสู่ความสำเร็จยิ่ง ๆ ขี้นไป
ไม่เชื่อก็ลองมาเข้าคอร์สสัมมนาผมหรือ เพื่อน ๆ ผมดูสักครั้งสิครับ แล้วคุณจะพบ “ประตู” บางอย่าง อย่างแน่นอน
แยกให้ได้ งานที่ทำ ส่วนตัว ครอบครัว และโอกาสก้าวออกมาทำธุรกิจ
อย่าเอาเรื่อง” งาน” มาปนกับเรื่อง “ส่วนตัว” อย่านำเรื่อง “ส่วนตัว” มายุ่งกับ “ครอบครัว” อย่าเอาเรื่อง “ครอบครัว” มาทำที่ “ทำงาน” อย่า อย่า อย่า …..
ไม่ดีแน่ถ้าเราเอาทั้ง สี่ซ้าห้าเรื่อง มาทำในเวลาเดียวกัน ยุ่ง Ship หาย ไม่มีอะไรดีเลย งานก็แย่ ส่วนตัวก็โทรม ครอบครัวก็ร้าว โอกาสความก้าวหน้าการงาน กิจการ ไม่ต้องถามถึงครับ ทุกอย่างพัง !!
อย่าเอามาปนกัน…ความก้าวหน้าในงาน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการ “แยก” ทุกเรื่องออกจากกันได้อย่างมี ศาสตร์ และ ศิลป์ รู้จักโอนอ่อน หนัก เบา ไกล ใกล้ เข้าใจการวางตัว การให้น้ำหนักในเรื่องนั้น ๆ ในแต่ละช่วงเวลา และบทบาท
คนที่เอางาน กลับไปทำที่บ้าน ไม่ใช่คนขยัน แต่ไม่รู้จักการทำงานให้เป็นเวลา
คนที่เอาครอบครัว มาที่ทำงาน ไม่ใช่คนที่รักครอบครัว แต่เป็นคนที่ไม่รู้จักกาลเทสะ
ทำอย่างไร จึงจะแยกทุกอย่างออกจากกันได้ ?
ถ้าคุณเคยดูตลก หม่ำ จ๊กหมก เท่ง เถิดเทิง หรือ โหน่ง สามช่า คุณคิดว่าขณะอยู่บนเวที กับอยู่นอกเวทีเขาทำเรื่องเดียวกันปะครับ ขำขัน ไร้สาระ ตลกตลอดเวลาหรือเปล่า ?
คุณก็คงตอบว่า ไม่ ? ใช่ คุณเข้าใจ เพราะคำตอบในใจคุณตอนนี้ กำลังคิดว่า มันก็แล้วแต่บทหน้าหน้าที่นะตอนนั้นนะ บางทีด้านล่างเวที เขาอาจร้องไห้เสียใจกับปัญหาบางอย่าง แต่พอถึงเวลาต้องขึ้นเวทีเขาก็ทิ้งน้ำตาไว้ด้านล่าง ไม่ได้เอาความเสียใจขึ้นไปทำให้ผู้ชมต้องนั่งเศร้าไปด้วย กลับกันเขาเอารอยยิ้ม ความสุข ความสนุกเฮฮา มาให้พวกเราได้หัวเราะกันท้องแข็ง
บทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบ และช่วงจังหวะเวลา !! คือสิ่งที่เราต้องทำ ต้องแยก แยกที่ใจ ของเราครับ แยกที่ความรู้สึกของเรารับ แยกที่อารมณ์ของเราครับ ยิ่งแยกได้มากชีวิตยิ่งมีความสุข ชีวิตยิ่งเจริญ
วินัย ความต่อเนื่อง จะทำให้เราก้าวหน้าและพัฒนา
รู้จักนักมวยชื่อ “สมจิตร จงจอหอ” นักมวยเหรียญทองโอลิมปิคไหมครับ !! นักมวยแม้จะชนะมาหลายเวที แต่ก็คิดที่จะล้มเลิก แขวนนวม เพราะไม่ประสบความสำเร็จในการชกโอลิมปิคในครั้งที่ 28 (คศ 2006) แต่แล้วเขาก็อาศัยลูกฮึด เงือกสุดท้ายก่อนที่อายุจะมาเกินไปกว่าจะสู้รุ่นน้องได้ ใช้วินัย ในการฝึกซ้อม พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนได้มีโอกาสคว้าเหรียญทองโอลิมปิคที่ประเทศจีน ใน 4 ปีต่อมาด้วยการเอาชนะนักมวยคู่ปรับ ที่เคยเอาชนะสมจิตรมาได้ตอนแข่งมวยสากลชิงแชมป์โลก
ต่อมวยเกี่ยวไรกับงาน เกี่ยวสิครับเพราะ “มวย” ก็เป็น “งาน” เป็น “อาชีพ” นะครับ ไม่ว่าอาชีพอะไรครับ ถ้าขาด “วินัย” จะหาความสดใส ในชีวิต หรือได้รับความก้าวหน้าในงานนั้น ๆ ยาก ถึงยากที่สุดหรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสำเร็จ
ต้องวางวินัยให้กับตนเอง ทำทุกอย่างให้สม่ำเสมอ ถ้าเป็นนักมวยก็ต้องวิ่ง ซ้อม ล่อเป้า เข้าปล้ำ ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี ก่อนขึ้นเวทีโอลิมปิค
เป็นพนักงาน ลูกจ้างก็ต้อง เข้างานตรง ทำงานเยี่ยม เสนองาน แสดงความคิดเห็น อย่างสม่ำเสมอครับ อย่างทำงานแค่ “ผักชีโรยหน้า” เพราะเราจะได้แค่ “หน้าโรยผักชี” กลับมาครับ
อยากก้าวหน้าท่องไว้ครับ “วินัย นำชีวิตก้าวหน้า เงินเดือนขึ้น ” “สม่ำเสมอ ช่วยผลงานดี มีโบนัสงาม”
ทำงานอย่างฉลาด ขยันอย่างมีปัญญา
ประเด็นสุดท้าย ขมวดทุกปมไว้ที่ตรงนี้ “ทำงานอย่างฉลาด อย่าทำงานอย่างทาส” อาศัยเอาแรงเข้าว่า เราต้องทำงานด้วยปัญญาครับ
เขาว่ากันว่า “คนที่สามารถแก้ปัญหายากๆ ได้คนนั้นค่าตัวยิ่งสูง เงินเดือนยิ่งแพง” พวกเราคิดว่าจริงไหม สำหรับผมเชื่อเรื่องนี้เต็มหัวใจเลยครับ ก็ลองคิดดูสิ ถ้าปัญหาธรรมดาทั่วไป ใคร ๆ ก็ทำได้ นั่นหมายความว่า “ตัวเลือก” เขามีมาก Demand & Supply ชัดเจน ค่าตัวถูกเมื่อ Supply มีเยอะ
กลับกันครับ ปัญหายิ่งเยอะ ยิ่งยาก ต้องการคนมีความสามารถ ต้องใช้ สติ และ ปัญญา แก้ไขปัญหา คนแก้ได้มีน้อย ก็ไม่แปลกที่ค่าตัวจะสูง
ถ้าผมถามว่าวันนี้ให้คุณเป็น CEO คุณจะเป็นไหม คุณจะทำได้ไหม ผมจ้างคุณ 2 แสน คุณจะรับไหม คุณรู้หรือยังหน้าที่ CEO ทำอะไรบ้าง
ถ้าคำตอบคุณเพียงคิดแค่ว่า …ไม่เห็นทำอะไรเลย วัน ๆ ก็อยู่แต่ในห้อง หรือไม่ก็ประชุม ๆๆ ไม่เห็นได้งานอะไรเลย ผมของแสดงความดีใจกับคุณด้วย…คุณอยู่อย่างเดินหนะดีอยู่แล้ว อย่าไปเป็นมันเลย CEO
ถ้า CEO คือ คนที่ต้องนำองค์กร หนึ่ง องค์กรให้อยู่รอดให้ได้ ทำให้องค์มีกำไรให้ได้ นี่คือโจทย์ คุณคิดว่า การนั่งอยู่เฉย ๆ เหมือนที่คุณคิดมันจะทำได้ไหม หรือ การแค่นั่งประชุม ๆๆ ไม่มีผลงานมันจะเกิดผลไหม เห็นภาพใช่ไหมครับ ว่า “ปัญหา” ต้องใช้คนที่มี “ความสามารถ”
เราเป็นได้ไหม ? ตอบเป็นได้ครับ
เราทำได้ไหม ? ตอบ ทำได้ครับ
แล้วทำไมไม่ทำ ? ตอบ เพราะความสามารถไม่ถึงครับ พอกันทีนะครับคำตอบแบบนี้
ทุกคนสามารถทำได้ เป็นได้ครับ พัฒนาได้ครับ อยู่ที่ “เรา” พร้อมที่จะทำหรือไม่ พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเองหรือเปล่าครับ ถ้าคุณพร้อม คุณขยัน ทำงานให้เป็น ใช้แรงปัญญา มากกว่าแรงกาย เชื่อผมเถอะยังงัยก็ได้รับการโปรโมท
บริการอบรม ให้คำปรึกษาการทำธุรกิจออนไลน์ ฝึกอบรมภายในบริษัท แบบตัวต่อตัว การทำ Content Marketing,การโฆษณา Facebook,การโฆษณา Tiktok,การตลาด Line OA และการทำสินค้าให้คนหาเจอบน Google
บริการดูแลระบบการตลาดออนไลน์ให้ทั้งระบบ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสารความรู้การทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ Add Line id :@taokaemai
รับชมคลิป VDO ความรู้ด้านการตลาด กรณีศึกษาธุรกิจ แหล่งเงินทุนน่าสนใจ ติดตามได้ที่ช่อง Youtube : Taokaemai เพื่อนคู่คิดธุรกิจ SME