1.ธุรกิจก็คือ “ลูก” ของคุณ

2.นิยามให้ได้ว่า “ธุรกิจเราคืออะไร ?”

3.รู้จัก “ลูกค้า” จริง เข้าใจถึงปัญหา

4.นำเสนอ “คุณค่า” ไม่ใช่ “ราคา”

5.เรียนรู้และปรับปรุงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

6.บัญชี การเงิน คือ “กุญแจ” สู่ความมั่งคั่ง

7.อดทน และ อดทน

มาทำความเข้าใจเพิ่มเติมในแต่ละข้อนะครับ เพื่อให้เห็นภาพ และเข้าใจมากยิ่งขึ้น

ธุรกิจก็คือ “ลูก” ของคุณ

ทำไมผมบอกว่าธุรกิจคือ “ลูก” ของคุณ เพราะ “ลูก” คือ สัญลักษณ์ของความรัก ที่ผู้เป็นพ่อแม่พร้อมจะมอบให้ แต่จะเป็น “รัก” แบบไหน ต้องดูให้ดีนะครับ

รักแบบเข้าใจ ห่วงใย และ ให้การส่งเสริมในทางที่ดี ลูกก็เติบโต เป็นคนมีคุณภาพ เพิ่งพาตัวเองได้

ธุรกิจก็เช่นกันครับ ถ้าเราใส่ใจ ห่วงใย ให้ความรัก ส่งเสริมพัฒนาในสิ่งที่ถูกที่ควรธุรกิจก็เติบโต และเป็นรากฐานให้กับชีวิตเรา ท้ายสุดธุรกิจมันก็อยู่ได้ด้วยตัวของมันเองได้

กลับกันครับ หากใช้ “เงิน” เลี้ยงดูลูกเพียงอย่างเดียว ลูกก็จะไม่โต เรียกร้องแต่เงิน ทำอะไรไม่เป็นแม้จะโตขึ้นแต่ก็ไม่สามารถรับผิดชอบตัวเองได้ สำมะเลเทเมา เป็นภาระให้พ่อแม่ต้องดูแลอยู่ตลอด สร้างความกลุ้มอกกลุ้มใจไม่เว้นแต่ละวัน

ไม่ต่างไรกับธุรกิจที่คิดว่า “มีเงิน” ก็ทำได้ ธุรกิจนั้นก็จะเรียกแต่ “เงิน” ออกจากกระเป๋าเราไม่เว้นวี่วันเช่นกัน ความหายะ ก็จะค่อย ๆ เข้ามาหาเรา จนในที่สุดธุรกิจก็ดูดกลืนเงินทองทรัพย์สินเราจนหมดกลายเป็นพวก “ล้มละลาย”

รักลูกให้ถูกทาง ทำธุรกิจให้ถูกทิศ รักธุรกิจให้เหมือนลูก ดูแลลูกให้เหมือนดูแลธุรกิจ

 

นิยามให้ได้ว่า “ธุรกิจเราคืออะไร ?

ความชัดเจนในตัวสินค้า ธุรกิจ ของเราคืออะไร ตำแหน่งทางการตลาดอยู่ตรงไหน ? ผมมักได้ยินคำถามในรายการชื่อดัง SMEs ตีแตก อยู่บ่อย ๆ ที่ทางกรรมการถามกับเจ้าของกิจการที่ไปร่วมออกรายการ “ธุรกิจคุณคืออะไร ?” คำถามที่ง่าย แต่ตอบยากมากครับ ถ้าเราไม่เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วธุรกิจเราคืออะไร

 

ธุรกิจเราคืออะไร ?

ขายรองเท้า หรือ ขายสุขภาพการดูแลเท้า ?

ขายหนังสือ หรือ ขายวิชาชีพ ?

ขายตุ๊กตา หรือ ขายของเล่นสะสม ?

ขายขนมชั้น หรือ ขายวัฒนธรรมไทย ?

ขายเสื้อผ้า หรือ ขายดีไซด์ ?

ของเราหละครับ คืออะไร

นิยามสั้น ๆ ของธุรกิจเราคืออะไร เพื่อเป็นตัวบอกทิศทางให้เราตระหนักว่าเราจะต้องเดินไปทางไหน เพื่อสื่อสารไปยังลูกค้าว่าธุรกิจเราขายอะไร

ผมยกตัวอย่างธุรกิจผมที่ขายเครื่องสำอาง และอาหารเสริมนะครับ นิยามธุรกิจผมคือ “สวยได้และรวยด้วย” ผมว่าค่อนข้างชัดเจน ผมขายความสวยความงาม และสุขภาพ มันถูกสื่อมาด้วยคำว่า “สวยได้” ผมรับตัวแทนจำหน่าย และรับผลิตเครื่องสำอางอาหารเสริม” ถูกสื่อมาด้วย “รวยด้วย” นี่คือธุรกิจของผม

เป็นหน้าที่ของ “คุณ” ครับ ที่จะต้องหา นิยาม ให้ความหมาย ธุรกิจของตัวคุณเอง ?

 

รู้จัก “ลูกค้า” จริง เข้าใจถึงปัญหา

          คงต้องย้ำกันหลาย ๆ รอบกับการทำธุรกิจ เป็นนายตัวเอง น่าจะเปลี่ยนจากคำว่า “นายตัวเอง” เป็น “เพื่อนสนิทของลูกค้า” คือ เราต้อง “รู้จัก รู้ใจ เข้าถึง พึ่งได้” ได้รับความไว้วางใจอย่างเป็นที่สุดจากลูกค้า ธุรกิจจึงไปรอดได้

ความสำคัญของ “ลูกค้า” มีค่ามากกว่า “สินค้า” ของเรามากมายนัก

สินค้า ถ้าไม่มีคนใช้ ไม่มีคนซื้อ สินค้านั้นก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนกรวด

แต่สินค้าที่มี “ลูกค้า” ซื้อใช้ บอกต่อ รักในสินค้า แม้สินค้านั้นเป็นแค่ “ก้อนกรวด” ก็มีค่าไม่ต่างอะไรกับ “เพชร” น้ำงาม 18 กะรัต

ลูกค้าเราคือใคร ? เขามีปัญหาอะไร ? ถ้าตอบ 2 ข้อนี้ไม่ได้ “อย่าทำเลยธุรกิจ” จริง ๆ เชื่อผมเถอะ ทำไปก็ “เจ๊ง”

 

นำเสนอ “คุณค่า” ไม่ใช่ “ราคา”

สอดคล้องกับประเด็นเรื่องของ เรารู้จัก “ลูกค้า” เราดีแค่ไหน เมื่อเราทราบปัญหา สินค้าหรือบริการของเราเข้าไปตอบโจทย์ชีวิตเขาได้อย่างไร เราได้มอบ “คุณค่า” อะไรให้กับเขา

หลายคนพยายามโฟกัส หรือ มุ่งเน้นธุรกิจไปที่ “ราคา” ซึ่งก็คงไม่ผิด แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ทางออกของการทำธุรกิจที่ยั่งยืน เราอย่าตีค่า ประเมินราคาของสินค้า หรือ ลูกค้าของเราด้วย “เงิน” หรือ “ราคา” เพียงประเด็นเดียว

“คุณค่า” ต่างหาก ที่จะทำให้ “ลูกค้า” เป็นลูกค้าที่เชื่อใจเรา ไว้ใจเรา ใช้บริการเรา “คุณค่า” คือ การตอบแทนจากเราสู่ลูกค้า ส่วน “ราคา” เป็นสิ่งที่ “ลูกค้า” เขาจะยินดีตอบแทนกลับมาให้เราครับ

 

เรียนรู้และปรับปรุงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

คุณเชื่อไหมว่า “ไม่มีนักธุรกิจเขาหยุดทำงานกันเลย” เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะธุรกิจมันต้องเรียนรู้และปรับปรุงพัฒนาไปตลอด เพราะหากไม่ทำ เท่ากับว่า ธุรกิจนั้น เตรียมตัวที่จะ ต้องเจอสภาพการขาดทุน ล้มละลาย และการหายไปของธุรกิจนั้นอย่างแน่นอน

ทำไมผมจึงกล้านำเสนออย่างนี้ เอาสิ่งใกล้ตัวครับ ทุกวันนี้ เราใช้เฟสบุ๊คกันใช่ไหมครับ ทราบไหมครับว่า แม้เราใช้คิดว่ามันดีแล้ว สะดวกแล้ว แต่ในทุก ๆ วัน เฟสบุ๊คก็มีการปรับปรุงพัฒนา การใช้งานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ถ้าไม่ทำก็ตายเหมือน Hi5 ถ้าไม่พัฒนาก็เจ๊งเหมือน กล้องถ่ายรูปแบบฟิล์มของ Kodak เห็นอะไรกันไหมครับ แม้แต่เจ้าของกิจการใหญ่โต หากไม่เรียนรู้ ปรับปรุง พัฒนา ก็เจ๊งคาตามาแล้ว

สำหรับเจ้าใหม่ นายตัวเล็กๆ อย่างพวกเราที่เพิ่งเริ่มเตาะแตะ ถ้าทนงตัว เย่อหยิ่งกับเรื่องความรู้ เทคโนโลยีแล้วละก็ เก็บกระเป๋ากลับบ้าน เตรียมตัวเจ๊งได้เลยครับ

 

บัญชี การเงิน คือ “กุญแจ” สู่ความมั่นคงของธุรกิจ

ผมไม่พูดเรื่อง “เงินทุน” อย่างที่บอกไว้ เพราะแต่ละคนมีความสามารถในการหา และ บุญเก่าเงินเดิมไม่เท่ากัน แต่ไม่ว่า “ทุนมาก หรือ เงินน้อย” ถ้าไม่รู้จัก “การบริหารเงิน” ให้ดี ก็เจ๊งได้เหมือน ๆ กัน

ทำบัญชีให้ดีครับ !! เริ่มธุรกิจเป็นนายตัวเอง พยายามแยก กระเป๋าซ้าย เงินจ่ายขวา ให้ชัดเจน อย่านำเงิน ธุรกิจมาปะปนกับเงินส่วนตัว หรือ ครอบครัว ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ เงินรั่ว กำไรหมด หมดตัวเพราะไม่รู้ว่าเงินหายไปไหนนะครับ

เจอมาเยอะครับ !! ขายดีจนเจ๊ง ทำไมเจ๊ง ทำไมขาดทุน ขายดีต้องมีกำไรสิ ใช่ครับ ใช่ …ขายดีต้องมีกำไร แต่กำไรไปอยู่ตรงไหน ไม่ได้จด มัวแต่คิดว่าจำได้สุดท้ายก็ลืม

กำไร ต้นทุน รายจ่าย รายรับ เท่าไหร่ไม่รู้ อย่างนี้ก็คงต้องบอกภาษาพ่อขุนได้เลยว่า “เตรียมตัวฉิบหายเลยมึง”

ย้ำครับ !! ต้องทำบัญชี รายรับ รายจ่าย ให้ชัดเจน อย่าสักแต่ทำบัญชีหนังหมา ไม่เอาครับ ไม่สนับสนุน พยายามจดทุกอย่างที่รับ บันทึกทุกอย่างที่จ่าย สินเดือนสุดท้ายมาดูสิว่า จ่ายเท่าไหร่ รับเท่าไหร่ บัญชีเป็นบวกหรือลบ ขาดทุนหรือกำไร

ทำให้เป็นนิสัยครับ ไม่อย่างนั้นแล้วจะกลายเป็นคน “นิสัยเสีย” ส่งผลให้ “ธุรกิจก็เสีย” ไปตามนิสัย

 

อดทน และ อดทน

สุดท้ายครับ !! อดทนให้พอ พยายามให้มาก สร้างวินัยทุกอย่างให้กับตัวเอง อย่าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตายยถากรรม เราต้องเป็นคนควบคุมสถานะการณ์ทุกอย่างให้ได้มากที่สุด

อดทนรอคอยความสำเร็จอย่างฉลาด อดทนทำงานอย่างรอบคอบ อดทนดูแลเอาใจใส่ลูกค้าด้วยความรัก

ทำธุรกิจเป็นนายตัวเอง ใครอดทดได้มากกว่ากัน คนนั้นชนะ !!

 

ทั้ง 7 ประเด็น ต้องทำครับ ถ้าคุณต้องการเป็นนายตัวเองไปตลอด เป็นนายตัวเองไปนาน ๆ ผมถือว่านี่คือ “กฎเหล็ก” ที่ใครละเมิด คนไหนละเลยแม้เพียงข้อเดียว “เจ๊ง” อย่างแน่นอน