ทำธุรกิจเริ่มจาก “งานที่รัก” พวกเราคงได้ยินกันบ่อยใช่ไหมครับ หากเรามองในภาพความเป็นจริง คนเราคงไม่ได้มีสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบเพียงอย่างเดียว เมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งไหนหละ ที่สามารถนำมาเป็น “ธุรกิจในแบบ เถ้าแก่ใหม่ นายคนเดียว” ได้

เริ่มด้วยหลักคิด Step ที่ “0” ก่อนที่จะก้าวไปยังเงิน “1,000,000” เรามาหา “งานที่รัก” ว่าอย่างงานไหนสามารถมาพัฒนาไปเป็น “ธุรกิจ” ได้กันดีกว่า

ผมใช้หลัก “LOVE” ในการที่จะ เลือกงานที่เราชอบ กิจกรรมที่เราหลงใหล มาเป็นธุรกิจครับ

L : Lifestyle as the end รูปแบบการใช้ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร

O : Opportunity to grow  โอกาสที่งานนี้จะเติบโตมีไหม

V : Value Added งานนี้มันเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตเรา ชีวิตผู้คนมากน้อยขนาดไหน

E : Enjoy to do  กิจกรรมนี้ทำให้เราสนุก ได้มากน้อยขนาดไหน

Lifestyle as the end

เราต้องมานั่งวิเคราะห์ดูนะครับ ว่างานที่เรารักหากพัฒนามาเป็นธุรกิจ ท้ายที่สุดแล้วมันจะทำให้ชีวิตเราเป็นอย่างไร เพิ่มความยุ่งยากในชีวิต เพิ่มปัญหาเข้ามาในธุรกิจ เบียดบังเวลาส่วนตัว เวลาครอบครัวหรือไม่ รูปแบบชีวิตที่เราต้องการจริง ๆ คืออะไร

หรือว่างานนี้จะช่วยให้เรา มีเวลา มีเงิน มากขึ้น มีเวลาให้เราได้เที่ยวในที่ที่เราอยากไป มีโอกาสได้นั่งทานข้าวกับพ่อแม่มากขึ้น ใช้ชีวิตที่คุ้มค่ากับครอบครัว ลูก มีเวลาในการพัฒนาตัวเอง ช่วยเหลือสังคมบ้าง

คิดให้จบ เลือก งานที่เราคิดว่าใช่ทั้งหมด มาวางไว้ตรงหน้า แล้วคิดถึงตอบจบของมัน อย่างไหนที่ตอบสนองรูปแบบชีวิตที่เราต้องการมากที่สุด ให้เลือกทำงานนั้น พัฒนามาเป็นธุรกิจ

Opportunity to grow 

งานนี้มีโอกาสเติบโตไหม หรือเป็นงานที่ทำแล้ว ทำได้เพียงความสนุก ความสุขไปวัน ๆ แต่ไม่สามารถแปลงความสุข ความสนุกนั้นมาเป็น เงินทอง รายได้ที่สามารถนำมาเลี้ยงชีพเราได้

งานไหนแม้จะชอบหากโอกาสเติบโตไม่มี ก็ไม่คุ้มที่จะลงแรง ลงเวลาให้มากจนเกินไป เพราะอย่าลืมนะครับว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ทำธุรกิจไม่ได้เดินด้วยใจเพียงอย่างเดียว คำว่า “รัก” คงยังไม่พอนะครับ มันต้องสร้างรายได้ให้กับเราได้ด้วย จึงจะเป็นประโยชน์

หลายคนมัวแต่เสียเวลากับคำว่า “รัก” ที่ขาดเหตุผล อยู่ในโลกของตน จนลืมแหงนหน้าขึ้นมาดูว่าโลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว หมดยุคของศิลปินไส้แห้งแล้วครับ

นี่มันเป็นยุคของคนทำธุรกิจด้วยใจรัก อย่างมีเหตุและผล เปลี่ยนความรัก เป็นเครื่องมือ เครื่องจักรที่จะนำมาผลิตเงิน รายได้ สร้างชีวิตที่มีรวยทั้งความสุข และเงินทอง

Value Added

งานที่เราทำนี้มันเพิ่มคุณค่าในตัวมันเองไหม เพิ่มคุณค่าให้กับตัวเราไหม คนอื่นได้ประโยชน์ ได้รับคุณค่าจากงานที่เราทำมากน้อยขนาดไหน

งานที่เราเลือกมาทำเป็นธุรกิจ ต้องเป็นงานที่มีคุณค่าในตัวมันเอง  และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเราได้ด้วย สินค้าเพียงอย่างเดียวไม่พอแล้วในยุคของคนรวยรุ่นใหม่ (New Rich) ที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจแบบ เถ้าแก่ใหม่ นายคนเดียว งานนั้นต้องเพิ่มมูลค่าให้กับตัวผู้ทำด้วย

อย่าเลือกงานที่ด้อยค่า แม้คุณจะคิดว่ามันมีค่า ต้องดูด้วยว่า คนทั่วไปเขามองว่ามันมีค่าไหม อย่ายึดโยงแค่ความชอบ ความรักของตัวเองเพียงคนเดียว คนอื่นจะว่าไรไม่แคร์ ผมบอกได้เลยว่า ทำอย่างนี้โอกาสเกิดยากมากที่โลกปัจจุบัน

เราชอบ ก็ต้องสร้างคุณค่าให้กับคนอื่น คนอื่นต้องเห็นคุณค่า ทราบถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับด้วย ไม่อย่างนั้นแล้ว งานนี้ไม่ก่อให้เกิดธุรกิจ อย่างแน่นอน ทำไปก็เสียเวลาโดยไร้ประโยชน์

Enjoy to do

                สนุก มีความสุขกับงานที่ทำขนาดไหน สนุกแบบลมพัดไป พัดมาหรือเปล่า งานที่จะเปลี่ยนมาเป็นธุรกิจได้ คุณต้อง สุข สนุกกับมันได้ 24 ชั่วโมง 7 วัน ตลอด 1 ปี ต่อเนื่องไปอีกหลาย ๆ ปี เราก็ยังสนุกกับมัน

นี่คือความท้าทายที่สุดในการที่จะเปลี่ยนงานที่เรารัก เป็นธุรกิจ นั่นคือเราต้องรักที่คงทน และยืนยาว ต้องเป็นแบบรักเราไม่เก่าเลย เมื่อใดที่เบื่อเมื่อนั้นธุรกิจ ก็จบ

สำรวจตัวเองให้ดีนะครับ ว่า ความรัก ในงานที่เราคิดว่า รัก นั้น เป็นรักแบบวัยรุ่น รักได้ก็เลิกได้หรือไม่ เพราะหากไม่ใช่รักแท้แล้วละก็ จบครับ ไปต่อไม่ได้แน่นอน

บนเส้นทางที่เราจะสร้างงานที่เรารัก ให้เป็นธุรกิจที่หล่อเลี้ยงเราได้นั้น มันมีแต่ขวากหนาม ปัญหา อุปสรรคมากมาย

เราจะยงคงยืนหยัด ด้วยขาที่มั่นคงอยู่ได้ไหม เราจะยังยิ้มสู้กับพายุปัญหาได้มากน้อยขนาดไหน เรายังคง สนุกกับงานนี้ได้หรือไม่…ถามใจก่อนที่จะฟันธงลงไปครับว่า นี่คือ งานที่เรา Love แล้วจะนำมันมาเป็นธุรกิจ

เจอหรือยัง LOVE

ถามตัวเองครับว่าเจองานที่  LOVE ของตัวเราแล้วหรือยัง !! ถ้าพบแล้ว เราก็เดินต่อไปได้อีกก้าวครับ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจ ผมแนะนำครับ ให้ลองก้าวขา ออกจากจุดที่เรายืนอยู่ มาลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ ลองศึกษาอะไรที่เราไม่เคยสนใจดูบ้าง ลองอ่านหนังสือแนวที่ไม่เคยอ่านบ้าง ลองคบเพื่อนกลุ่มใหม่ ๆ บ้าง ช่องทางเหล่านี้จะช่วยให้เรา….พบงานที่ Love ได้เร็วยิ่งขึ้นครับ

มีเรื่องเล่าของชายจีนคนหนึ่งครับ ฐานะทางการทางครอบครัวไม่ดีนักด้วยความที่เป็นคนใฝ่รู้ ต้องการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ตอนอายุ 12  เขาต้องปั่นจักรงานกว่าชั่วโมงเพื่อไปยังโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอาศัยอยู่ เพื่ออาสาเป็นไกด์พานักท่องเที่ยว เที่ยวเมืองจีนเพื่อจะได้มีโอกาสพูดภาษาอังกฤษ

เขาตะเกียกตะกายพาตัวเองเรียนจนจบมหาวิทยาลัย จบออกมาเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษด้วยเงินเดือนแค่ 500 บาท ทำอยู่กว่า 5 ปีจนได้มีโอกาสมาเป็นล่ามในประเทศอเมริกา

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่โลกเขาได้เปิดกว้าง ได้รู้จักกับอินเตอร์เน็ต เป็นครั้งแรกที่เขาได้จับเมาส์ พิมพ์คีย์บอร์ด นั่นเป็นจุดเริ่มต้นความฝัน ใหม่ของเขา

หลังจากกลับมาเมืองจีน เขาได้เริ่ม ทำธุรกิจอีคอมเมิร์สจากจุดเล็ก ๆ บนพื้นโลก ผู้ชายตัวเล็ก ๆ  จาก ความรัก (LOVE) แค่เรื่องภาษาอังกฤษ กลายมาเป็นเครื่องมือที่ทำให้เขา เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในประเทศจีน ชาวจีนคนที่ผมพูดถึงเขาคือ หม่า หยุน หรือที่คนทั่วโลกรู้จักเขาในนาม แจ็ค หม่า (Jack Ma) ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในจีน Alibaba

       และนี่คือบทเรียนที่ผมได้เรียนรู้จากผู้ชายคนนี้ Jack Ma

 

1.มีเป้าหมายชัดเจน

ตอนเด็กเขาต้องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษสิ่งที่เขาทำคือ ทุกเช้าเขาปั่นจักรยานประมาณ 40 นาทีเพื่อไปโรงแรมเพื่อรอคุยกับนักท่องเที่ยวเสนอตัวเป็นไกด์แลกเปลี่ยนกับการสอนภาษาอังกฤษ

2.ทำในสิ่งที่รัก

เขาเริ่มอาชีพเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษด้วยเงินเดือน 500 บาท แม้ไม่ใช่รายได้ที่มากมายก็ทำให้เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และทำในสิ่งที่เขารัก เขาเป็นอาจารย์สอบภาษาอังกฤษอยู่ถึง 5 ปี

3.คว้าโอกาส

เมื่อมีโอกาสไปเป็นล่ามที่ซิแอตเทิลที่อเมริการเขาได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องอินเตอร์เน็ต นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาตั้งใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือ

4.ใจกล้า

พ.ศ 2542 เขาได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ส alibaba ตลาดของหม่าไม่ได้อยู่ที่จีนเพียงอย่างเดียว แต่นี่คือจุดเริ่มต้นของเขา แม้ในจีนจะยังไม่ให้การสนับสนุนมากนัก แต่หัวใจที่กล้าของเขาก็ทำให้เขาลงมือทำ

5.ยืนหยัด

จาก 2542 จนถึงปัจจุบัน 2557 กว่า 15 ปีในการยืน ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรค์ ผิดบ้าง ถูกบ้าง ค่อยเก็บค่อยแก้กันไป วันนี้ จากธุรกิจเริ่มเต้น 2 ล้านบาท กลายเป็นเงินกว่า 5 ล้านล้านบาท เขากลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในประเทศจีน

เห็นไหมครับ เลือกในสิ่งที่ LOVE มันสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจเราได้จริง ๆ ขอเพียงเราทุ่มเทและมุ่งมั่นกับสิ่งนั้นอย่างจริงใจ…สักวันครับ ความสำเร็จจะเป็นของเรา