หลายคนต้องการจะทำธุรกิจ เป็นเถ้าแก่ใหม่ แต่พอเริ่มได้สักหน่อยก็ต้องปิดตัว ไปไม่รอด จอดไม่เป็นท่า ผมสรุปแบบเนื้อ ๆ ต้นเหตุปัญหาของการทำธุรกิจ “เจ๊ง” อย่างแน่นอน ถ้าทำแบบนี้

1.เป็นมนุษย์ลอกเลียนแบบ

เสร็จเลยครับ ถ้าเราเลือกทำธุรกิจ “ตามคนอื่น” ใครเขาทำไรดีก็แห่กันไป ใครทำไรรวยก็แห่กันไป โดยไม่ได้ดู สารรูป ดูหนังหน้า พิจารณาความสามารถตัวเองว่าทำได้ไหม ใช่สิ่งที่ถนัดหรือเปล่า  คิดก่อน Copy & Paste นะครับ ถ้าไม่อยาก Fail

2.ใช้ชีวิตแบบ Slow Life เร็วเกินไป

อยากใช้ชีวิตสบาย อยากชิล อยากมีความสุข เที่ยวที่โน่น โพสรูปที่นี่ โชว์หล่อ ทำสวยที่นั่น มันไม่มีความสบายบนเส้นทางของการทำธุรกิจเลยครับ ไม่มีเวลา Slow Life ให้เราพบอย่างแน่นอน ตราบใดที่ธุรกิจยังไม่มั่นคง เรายังคงต้องทำ Speed Life ไปตลอดนะครับ ไม่งั้นคนอื่นเขาไล่ทัน เพราะมัวแต่ Slow Life อยู่มีหวังพบ Slow ร้าย อย่างแน่นอนครับ

3.โฟกัส Passive Income จนลืม Active ตัวเอง

อยากให้เงินไหลเข้ามาเป็นสายน้ำแบบไม่ต้องทำอะไร เคยเห็นน้ำคลองแห้งไหมหละ หรือเคยเจอประปา โดนตัดหรือเปล่า อะไรที่มันไหลมาใช่ว่ามันจะเป็นนิรันดร์นะครับ ประปาไม่จ่ายเงินเขาก็ตัด ลำคลองไม่รักษาป่ามันก็แห้ง จะทำเงินให้ได้ Passive Income แบบไม่ต้องทำอะไร ชาติหน้ามาเกิดใหม่ พี่ก็คงไม่มีโอกาสเจออย่างแน่นอน ชีวิตมันต้อง Active ครับถึงจะได้ Passive

4.เงินเข้าน้อย เงินออกมาก

มีแต่รายจ่าย แต่ไม่มีรายได้ มันก็อยู่ไม่ได้ ใช้แต่เงินเพื่อหวังซื้อ “ความสำเร็จ” จากการทำธุรกิจ แต่สุดท้ายเงินที่จ่ายไปมันกลับไปซื้อ “ความล้มเหลว” กลับมาแทน เป็นที่มาของ “เงินซื้อความสำเร็จไม่ได้” เราต้องรู้ด้วยนะครับว่าจะบริหารเงินอย่างไร  “หาเงินให้ได้ ใช้เงินให้เป็น”  หากทำไม่ได้ เงินมีเท่าไหร่ก็หมดไปไม่มีเหลือ

5.บัญชีไม่มี ภาษีไม่รู้

เงินใช้ไปเท่าไหร่ ทำอะไรไปบ้าง ไม่มีการบันทึก อาศัยว่าจำได้ สุดท้ายก็ลืม ได้มาเท่าไหร่ก็ไม่บันทึกก็เลยไม่รู้ว่าได้จากอะไร สุดท้ายก็เละ ๆ จ่ายกระเป๋าซ้ายที ขวาทีมีหรือที่จะเห็นช่องทางเดินของเงิน ขาดการทำบัญชีที่ดีก็ส่งผลต่อเรื่องภาษีอีก กลายเป็นว่า “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” สุดท้ายก็ต้องปิดกิจการ

6.เลือกคนไม่ถูก ใช้คนไม่เป็น

คัดเลือกคนไม่เหมาะกับงาน ญาติพี่น้องบ้างหละ เพื่อนบ้างหละ เอาแบบช่วย ๆ กัน แต่ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นหรอกนะ ช่วยกันทำให้ทุกอย่างแย่ลงเพราะแต่ละคนก็ทำไรไม่เป็นสักอย่าง รอแต่ให้เราใช้ หรือแนะนำอะไรก็ไม่ได้ พอใช้อะไรไม่ได้ บอกซ้ายไปขวา บอกขวาไปซ้าย ธุรกิจขาดทิศทาง ขาดคนทำงาน แล้วจะเหลือธุรกิจอะไรให้ใครทำหละครับ

7.บอกไม่ได้ ขายไม่เป็น

อายที่จะขาย เกรงใจที่จะบอก สรุปแบบทำสินค้า ออกบริการมาเพื่อ ? ทำธุรกิจต้องคิดตั้งแต่วันแรกเรื่องละ “ความอาย” ทุกอย่างต้องเริ่มมีการขาย บอกต่อจึงจะเรียกกันว่าเป็นธุรกิจ แต่ถ้าไม่บอกไม่ขาย มันไม่ใช่ธุรกิจกันแล้วหละครับ อย่างนี้เอาเงินไปฝากธนาคารทิ้งไว้เฉย ๆ จะยังดีกว่านะครับ

8.แผนไม่มี หน้าที่ไม่ชัด

ทำอะไรในแต่ละวันยังไม่รู้ ต้องทำอะไรในแต่ละเดือน แต่ละคนต้องทำอะไรบ้าง เป้าหมายรายไตรมาศ รายปีเป็นอย่างไร ไม่มีการวางแผนอะไรเลย ปล่อยไปตามน้ำ น่าจะเรียกว่า ตามยถากรรมน่าจะดีกว่ามั้งครับ อย่านี้รายไหนรายนั้นครับ ได้พบจุดจบใกล้เคียงกัน ใครอยากรู้ว่าจุดจบเป็นอย่างไร…ท้าให้ลองทำแบบนี้ดู

9.ถอดใจไว ไปหน่อย

ปัญหาเล็ก ปัญหาใหญ่ จิปาถะสารพัดที่จะเจอ แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง สุดที่จะทน ยอมแล้วไม่เอาแล้วธุรกง ธุรกิจ ของกลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม ของออกไปชิล เตะฝุ่นเหมือนเดิม ขอไปเกาะพ่อเกาะแม่เหมือนเดิมดีกว่า พวกนี้ยอมแพ้กับปัญหาเร็วเกินไปหน่อย ทำให้สิ่งที่ทำมาไม่มีค่าอะไรเลย ทั้งที่เราอาจจะเจอแค่ปัญหาสุดท้ายแล้วก็เจอทางสว่างแล้วก็เป็นได้ ไม่ทน ไม่สู้ สุดท้ายก็ “จบ” แบบ ชีวิตมันโหดร้าย โลกมันไม่ได้สวยงาม

10.ไม่มีพี่เลี้ยง ขาดที่ปรึกษา

เก่งคนเดียว กูรู้หมด เข้าใจทุกสิ่งอย่าง ใครพูดใครแนะนำไรก็ไม่ฟัง นี่ก็ประเภทหนึ่ง อีกประเภทก็หันไปทางไหนก็ไม่มีใครคอยบอกคอยแนะนำ ไม่มีคนคอยชี้ทางสว่างให้กับธุรกิจ เลยต้องล้มเหลวครั้งแล้วครั้งอีก

เขาว่ากันว่าทำธุรกิจหากได้กุนซือ ที่ดีมีประสบการณ์สักคนคอยแนะนำ จะทำให้ธุรกิจลดความเสี่ยงลงได้มาก และเพิ่มโอกาสความสำเร็จในธุรกิจได้เร็วมากยิ่งขึ้น  หลายคนเสียดายเงินเพื่อการลงทุนในการซื้อ “ประสบการณ์คนอื่น” มาเป็น “บทเรียน” ให้กับตัวเอง กลับยินที่ที่จะจ่าย “บทเรียนราคาแพง” ด้วยการลงมือ ลุยถั่วไปตัวคนเดียว สุดท้ายก็ได้ “ราคาแพง” สมใจอยาก

ลองกลับมาทบทวน ตรวจสอบดูตัวเองนะครับ เรามีข้อไหนอยู่บ้าง คนที่เริ่มไปแล้วก็ลองปรับปรุงแก้ไข แต่สำหรับคนใหม่ ๆ ที่ต้องการจะเริ่มธุรกิจ ผมแนะนำให้เริ่มที่ ข้อ 10 นะครับ หาพี่เลี้ยง ที่ปรึกษามาช่วยชี้ทาง บอกจุดบอดชี้จุดแข็งให้เราครับ