อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ? สรุปข้อเสนอเพื่อประเทศไทย หลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง จาก จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา
รายได้ปานกลางเป็นกับดักที่น่ากลัว เพราะเมื่อเราติดหล่มกับดักรายได้ปานกลางและยังไม่พัฒนาหรือผลักดันตัวเองขึ้นมาได้ ท้ายที่สุดเราจะไม่สามารถหลุดพ้นจากวังวนของการมีรายได้เพียงเท่านี้ได้เลย ซึ่งตรงกันข้ามกับประชากรบางกลุ่มที่มีรายได้อย่างมหาศาล สิ่งที่แตกต่างจนส่งผลให้เรากับเขามีรายได้ที่แตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหวคืออะไร บทความนี้มีคำตอบ สรุปจากข้อเสนอเพื่อประเทศไทย หลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง จาก คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง Bitkub
สถานการณ์โควิดที่กำลังเกิดขึ้นกำลังจะทำให้ธุรกิจ SMEs ล้มตายจากประเทศ อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
คุณ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง Bitkub
คุณรู้ไหมว่ากว่า 90 % ของธุรกิจในประเทศไทยคือธุรกิจที่เรียกว่า SMEs ซึ่งผลกระทบจากโควิดที่เกิดขึ้นกำลังจะทำให้ธุรกิจกลุ่มนี้ล้มตายลงในที่สุด วิกฤติที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดของ SMEs เลยเพราะวิกฤตินี้เป็นวิกฤติในเรื่องของสุขภาพ ไม่ใช่วิกฤติของการเงินอย่างที่ผ่านมาทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ทันตั้งตัว เมื่อธุรกิจต้องปิดลงตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับ SMEs เป็นอย่างมากนั่นก็เพราะพวกเขาไม่ได้มีสายป่านทางการเงินที่ยาวมากนัก
ในระยะสั้นธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องปล่อยเม็ดเงินเข้าช่วยเหลือเพื่อพยุงให้ SMEs เหล่านี้ยังหายใจรอดอยู่ได้ท่ามกลางวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นและต้องแน่ใจว่าเม็ดเงินนี้ลงไปถึงเหล่า SMEs ที่กำลังจะตายไม่ใช่ไหลเข้าไปสู่บริษัทใหญ่ที่มีเงินทุนหนายู่แล้ว หากเงินทุนก้อนนี้สามารถเข้าไปสู่ SMEs ได้อย่างทันท่วงทีจะเป็นตัวที่ชี้วัดได้เลยว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นเช่นไรระหว่างการซบเซาเพียงแค่ 6-18 เดือนข้างหน้านับจากนี้หรือจะซบเซายาวนานนับ 10 ปีจากการที่ SMEs ไปต่อไม่ไหวและล้มตายไปจนเกือบหมด
ซึ่งผลที่ตามมาหาก SMEs ไม่รอดคือเศรษฐกิจจะชะงักงันจนต้องเกิดการ rebuild ระบบกันใหม่เพราะ infrastructure ส่วนใหญ่สูญหายไปจนหมดเพราะ SMEs ส่วนใหญ่ตายจากระบบเศรษฐกิจไปแล้วนั่นเอง แต่หากรัฐบาลมีมาตรการเงินช่วยเหลือได้ทันท่วงที เจ้าของกิจการก็เพียงแค่ยกหูโทรศัพท์เพื่อตามให้พนักงานกลับมาทำงานใหม่และธุรกิจก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่นั่นเอง
อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร วิถีการทำงานจะเปลี่ยนไปเพราะโควิดจะยังไม่หายจากเราไปไหน
สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนก็คือรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปเพราะโควิดจะยังคงอยู่กับเราและเราต้องปรับตัวให้สามารถใช้ชีวิตในแนวทางใหม่ได้ บริษัทใหญ่ ๆจะไม่ได้มีสำนักงานใหญ่อยู่เพียงที่เดียวอีกต่อไป ซึ่งคนส่วนใหญ่จะสามารถทำงานได้ที่บ้านและมีการหมุนเวียนเข้าออฟฟิศบ้างในบางวัน โต๊ะประจำตำแหน่งก็จะไม่มีอีกต่อไปแต่จะมาในรูปแบบของการหมุนเวียนโต๊ะทำงานร่วมกันของคนที่ต้องเข้ามายังออฟฟิศและบริษัทจะเริ่มกระจายสาขาไปยังพื้นที่ต่าง ๆซึ่งคนจะสามารถเลือกได้ว่าต้องการที่จะทำงานที่ไหน
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วที่สูงขึ้น เราจะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่า cloud base application ที่สามารถแชร์ข้อมูลต่าง ๆ ได้ทั่วทุกมุมโลก โดยเทคโนโลยีนี้จะทำให้การเปิดบริษัททำได้ง่ายขึ้นไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ใหญ่โตอีกต่อไป เมื่อทุกคนสามารถแชร์ข้อมูลต่าง ๆกันได้ง่ายขึ้นเราจะสามารถทำงานได้จากที่ไหนก็ได้นั่นเอง
ในอนาคตคนที่มี intellectual capital จะได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะเมื่อเทคโนโลยีเรื่องอินเทอร์เน็ตพัฒนาเช่นเดียวกับ เทคโนโลยี cloud base application คนไม่จำเป็นที่จะต้องทำงานกับเพียงบริษัทเดียวเท่านั้น เพราะจะเกิดเป็นเทรนด์ของ nano economics และ nano contract จากการที่ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้คนคนหนึ่งที่มีความสามารถมาก ๆ จะสามารถเป็นพนักงานให้กับหลาย ๆบริษัทได้และรับจ๊อบกับบริษัทต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
มาถึงตรงนี้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดในโลกคุณก็สามารถทำงานได้ ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถปรับตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้โดยการปรับตัวให้เป็น longer term stay เพื่อรับคนที่เข้ามาพักและทำงานพร้อม ๆ กับการท่องเที่ยวได้ เพราะเราสามารถทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตได้แล้ว
5 โมเดลธุรกิจที่มีอำนาจในการกำหนดตลาดที่เปลี่ยนไปในอนาคต
1.content of business:
ธุรกิจนี้คือรากฐานที่ต่ำที่สุดในบรรดาโมเดลทั้ง 5 แบบ แต่ก่อนเราอาจจะเคยเห็นการแย่งชิงพื้นที่โฆษณาในหน้าสื่อออฟไลน์ต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจประเภทนี้มีอำนาจต่อรองสูง รายได้ดี แต่ทว่าเมื่อมีอินเทอร์เน็ตเข้ามา ทำให้เกิดการก๊อปปี้คอนเทนต์ได้อย่างไม่อั้น ทำให้ต้นทุนแทบไม่มีเลย อำนาจในการต่อรองที่เคยมีของธุรกิจจึงแทบไม่มีเหลือเลย และค่อย ๆถูกกลืนหายไปในที่สุด
2. Products and services
ธุรกิจการผลิตสินค้าและบริการเป็นสิ่งที่บริษัทส่วนใหญ่ในประเทศมักจะติดอยู่ในโมเดลนี้เพราะเมื่อคิดว่าจะเริ่มต้นทำธุรกิจทุกคนก็จะหนีไม่พ้นระหว่างการสร้างสินค้าหรือการให้บริการ ทั้ง ๆที่เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้และเกิดการแทนที่ได้ง่าย
3. Platform business
คือธุรกิจผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเช่น facebook โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสินค้าและบริการกับลูกค้าโดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีบริการและสินค้าเป็นของตนเอง ธุรกิจประเภทนี้เป็น winner take all คือสามารถผูกขาดเพราะมีได้เพียง 1 เดียวในแต่ละวงการและในแต่ละพื้นที่ และที่สำคัญตือเป็นธุรกิจที่สามารถแทนที่โมเดล 2 แบบแรกได้
4. ecosystem business หรือ mega platform หรือ multiple log- in platform
เป็นธุรกิจที่ให้บริการแพลตฟอร์มหลาย ๆ อย่างในที่เดียวกัน ตัวอย่างเช่น wechat แอพพลิเคชั่นชื่อดังในจีนที่เป็นทั้งอู่แท็กซี่ที่ใหญ่ที่สุดในจีนโดยไม่มีแท็กซี่เป็นของตนเอง เป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในจีนโดยไม่มีเงินเป็นของตนเองเป็น super app trend ที่รวมหลายอุตสาหกรรมไว้ในที่เดียว
5. exponential operating system
ธุรกิจที่คิดค้นระบบการจัดการหรือ operating system ขึ้นมาจัดการกับข้อมูลหรือทำให้การดำเนินการต่าง ๆทำได้ง่ายขึ้น ใครที่เป็นเจ้าของธุรกิจในลักษณะนี้คือผู้ที่มีอำนาจต่อรองสูงที่สุดและสามารถกำหนดตลาดได้อย่างที่ใจต้องการ
โมเดลธุรกิจในรูปแบบที่ 3-5 นั้นถูกเรียกว่าเป็น new economy และเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งสร้างให้เกิดขึ้น เพราะจะทำให้เกิดรายได้อย่างมากเมื่อเทียบกับโมเดลธุรกิจใน 2 แบบแรก แต่ในขณะนี้ยังแทบไม่มีธุรกิจใดเลยในประเทศที่มีโมเดลธุรกิจในลักษณะนี้ ทั้ง ๆที่ digital economy กำลังขยายตัวอย่างมากในอนาคต การบ้านนี้จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้ก่อนที่แพลตฟอร์มเทคโนโลยีทั้งหมดในประเทศจะเป็นของต่างชาติที่เข้ามาโกยเงินของคนไทยออกไปยังต่างประเทศ
รัฐบาลจะส่งเสริมให้เกิด Digital economy ได้อย่างไรบ้าง
รัฐบาลสามารถสนับสนุนให้เกิด digital economy ทำได้หลายวิธีดังนี้
- ถ้ามีแพลตฟอร์มต่างชาติเข้ามาในขณะที่เรากำลังพยายามพัฒนาแพลตฟอร์มในด้านนั้นอยู่ก็ไม่ควรให้เข้ามาเพราะจะทำให้แพลตฟอร์มของคนไทยไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
- เปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เอื้อให้มีการเปิดรับสิ่งใหม่ ๆให้เข้ามา เพื่อให้เงินทุน บุคลากรและนวัตกรรมที่น่าสนใจเข้ามาสู่ประเทศ แทนที่จะปิดกั้นจนกลายเป็นการผลักดันนวัตกรรมดี ๆออกไปนอกประเทศและท้ายที่สุดก็กลับมาดูดเงินของคนไทยออกไปยังต่างประเทศ หรือแก้ไขเรื่องใบอนุญาตทำงานเพื่อเอาพนักงานต่างชาติที่มีทักษะที่เราขาดแคลนมาช่วยเหลือผู้ประกอบการของเรา เราจำเป็นต้องเรียนรู้จากคนเหล่านี้เพื่อพัฒนาประเทศให้เติบโต
- สนับสนุน start up ที่เกี่ยวข้องกับ digital economy โดยอาจตั้งเป็นกองทุนขึ้นมาเพื่อสนับสนุน start up ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย จะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมามากขึ้น
- สนับสนุนการพัฒนา human capital หรือต้นทุนมนุษย์เพราะในอนาคตคนส่วนใหญ่กำลังจะตกงานจากการมีทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดและการถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะในเรื่องของความสามารถในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยคนที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตได้คือคนที่มีทักษะในการละทิ้งสิ่งเก่าและเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆได้ รัฐบาลต้องส่งเสริมให้คนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ที่ทันสมัยได้ตลอดเวลา
- สนับสนุนให้คนเก่ง ๆ ที่อยู่ในบริษัทใหญ่ ๆ ออกมาเปิดบริษัทของตัวเอง โดยมีนโยบายเช่นมีเงินทุนให้หรือให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- จัดให้มี Universal basic income มาเลี้ยงดูคนที่ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อรัฐบาลมีเงินช่วยเหลือคนเหล่านี้จะทำให้พวกเขากล้าที่จะเสี่ยง เพราะพวกเขารู้ว่าจะสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะหมดตัวจากความล้มเหลวเพราะจริง ๆ คนไทยที่เก่งยังมีอยู่อีกมากแต่ขาดโอกาสเพราะกลัวว่าล้มแล้วจะไม่มีใครมารองรับนั่นเอง การมี Universal basic income จะทำให้คนมีอิสรภาพที่จะล้มเหลวให้ได้ มีอิสรภาพที่จะทดลองและนำไปสู่การเกิดนวัตกรรมที่น่าสนใจใหม่ ๆ มากขึ้น
- มี Innovation club ที่สร้าง community ของผู้ประกอบการโดยเน้นให้รุ่นพี่ส่งต่อความรู้ให้รุ่นน้อง เพื่อแชร์ความรู้ให้ และสามารถขอคำปรึกษาเมื่อติดขัดได้จากผู้ที่มีประสบการณ์หรือเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว โดยมหาวิทยาลัยต้องปรับตัวให้เป็นสถานที่ทดลองและลงมือทำ แทนการเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้เพียงอย่างเดียว เพราะในอนาคตความรู้จะสามารถหาได้จากทุกแหล่งและผู้คนจะเข้าถึงความรู้ต่าง ๆได้ง่ายยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่รัฐบาลควรผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด อย่าชะล่าใจเพียงเพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้คงยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆนี้ เพราะสิ่งที่มีราคาแพงที่สุดคือเวลา การชะล่าใจจะทำให้เราไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นและเมื่อรู้ตัวว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วก็อาจไม่ทันได้ทำอะไรเลยและทำให้เรายังคงอยู่ในวังวนกับดักของรายได้ปานกลางตลอดไปก็เป็นได้
ขอบคุณข้อมูลจากคลิป https://youtu.be/RxiJUo-L2r
บริการอบรม ให้คำปรึกษาการทำธุรกิจออนไลน์ ฝึกอบรมภายในบริษัท แบบตัวต่อตัว การทำ Content Marketing,การโฆษณา Facebook,การโฆษณา Tiktok,การตลาด Line OA และการทำสินค้าให้คนหาเจอบน Google
บริการดูแลระบบการตลาดออนไลน์ให้ทั้งระบบ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสารความรู้การทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ Add Line id :@taokaemai
รับชมคลิป VDO ความรู้ด้านการตลาด กรณีศึกษาธุรกิจ แหล่งเงินทุนน่าสนใจ ติดตามได้ที่ช่อง Youtube : Taokaemai เพื่อนคู่คิดธุรกิจ SME