เมื่อเทคโนโลยีในปัจจุบันได้รับการพัฒนาจนรุดหน้า หลายอุตสาหกรรมได้นำเอาเทคโนโลยีเข้าไปเติมเต็มความต้องการและกำลังในการผลิต หลายธุรกิจเองก็เริ่มนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจจนสามารถขยายตัวและเติบโตได้อย่างมั่นคง ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวันและภาพรวมทั้งหมดของการทำธุรกิจก็ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีดังกล่าวมากยิ่งขึ้นและไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจค้าปลีกที่หลาย ๆคนคงยังนึกภาพไม่ออกว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลจะส่งผลอะไรต่อธุรกิจค้าปลีกบ้าง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในแวดวงธุรกิจค้าปลีกและอย่างจะนำเทคโนโลยีด้านดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจแต่ยังมองภาพไม่ออกว่าดิจิทัลจะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกได้อย่างไรบ้างบทความนี้มีคำตอบที่คุณสงสัยอยู่ครับ

5 การเปลี่ยนแปลง ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ในยุคดิจิทัล

1. โทรศัพท์มือถือ/สมาร์ทโฟน

ถ้าจะพูดถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีที่มีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ ก็ต้องยอมรับว่าโทรศัพท์มือถือหรือที่หลายคนนิยามคำเรียกใหม่ว่าสมาร์ทโฟนจัดเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการพัฒนาตัวเองมากที่สุด ใครจะคิดว่าวันหนึ่งจากอุปกรณ์ที่เราใช้เพียงสื่อสารหากันด้วยเสียงจะถูกพัฒนาจนมีคุณสมบัติเทียบเคียงได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง

สมาร์ทโฟนในปัจจุบันก็เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาวงการค้าปลีกได้อย่างคาดไม่ถึง แอพพลิเคชั่นในการช้อปปิ้ง ซื้อ-ขายสินค้ามากมายได้ถูกพัฒนาให้รองรับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้ซื้อหาสินค้าได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องไปไกลถึงหน้าร้าน นอกจากนี้ในแง่ของผู้ประกอบการพวกเขาก็สามารถส่งตรงโปรโมชั่นดี ๆ ส่วนลดต่าง ๆ ถึงมือของลูกค้าได้ง่ายขึ้นซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อของลูกค้าได้มากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้กว่า 82% ของลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟนก็เริ่มที่จะใช้แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ในการชำระค่าสินค้าแม้จะเป็นการซื้อขายผ่านหน้าร้านกันมากขึ้นแทนที่การจ่ายค่าสินค้าด้วยเงินสด และรวมไปถึงสมาร์ทโฟนในปัจจุบันรองรับเทคโนโลยี VR หรือเทคโนโลยีภาพเสมือนที่ให้ประสบการณ์ในการทดลองสินค้าโดยไม่ต้องสัมผัสกับของจริง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการซื้อได้มากยิ่งขึ้น

2. สมาร์ทบีคอน (Smart Beacon)

หากคุณยังไม่รู้จักเทคโนโลยีสมาร์ทบีคอน เราขออธิบายสั้น ๆว่ามันคือเทคโนโลยีการสื่อสารในรูปแบบหนึ่งที่ใช้การส่งสัญญาณผ่านระบบบลูทูธในพื้นที่ใกล้ ๆที่สัญญาณส่งผ่านถึง เทคโนโลยีนี้สำคัญอย่างไรต่อระบบการค้าปลีก ก็ต้องบอกได้ว่าผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปพัฒนาต่อยอดได้ในแง่ของการส่งสัญญาณแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสาร โปรโมชั่นหรือส่วนลดต่าง ๆให้แก่ลูกค้าเพียงแค่พวกเขาอยู่ในรัศมีใกล้เคียงกับร้านค้าปลีกของคุณ ข้อมูลที่คุณต้องการจะสื่อนี้ก็จะไปปรากฏในสมาร์ทโฟนของพวกเขาทันที ทำให้พวกเขาทราบได้เลยว่า ณ เวลานี้ร้านค้าปลีกของคุณกำลังจัดโปรโมชั่นหรือมีส่วนลดที่น่าสนใจอะไรบ้าง ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจของพวกเขาให้แวะเวียนเข้าไปยังร้านค้าปลีกของคุณนั่นเอง นอกจากนี้ตัวของสมาร์ทบีคอนยังช่วยให้คุณสามารถรวบรวมข้อมูลได้ทันทีเพื่อให้ทราบว่าแคมเปญต่าง ๆที่คุณสร้างนั้นได้รับการตอบสนองอย่างไร และมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดในการดึงดูดความสนใจของลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย

3. IoT (Internet of Things)

Internet of things หากให้พูดถึงอย่างง่าย ๆ ก็คือเทคโนโลยีที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงและรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างง่ายดายและสามารถสั่งการเพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ได้ผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต คุณอาจรู้สึกว่าเทคโนโลยีนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการค้าปลีก แต่หากคุณมองให้ลึกลงไปกว่านั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงกันเป็นระบบภายใต้ระบบอินเทอร์เน็ต ทุกคนจะเข้าถึงความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดเริ่มมีคำว่า “อัจฉริยะ” เป็นส่วนประกอบ  เมื่อนั้นเองที่ผู้ประกอบการค้าปลีกจะเริ่มเข้าถึงพฤติกรรมการบริโภค พฤติกรรมการใช้จ่ายสำหรับการซื้อหาสินค้ารวมไปถึงการบริการต่าง ๆมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลดังกล่าวนี้ไปวิเคราะห์และนำไปใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งในการนำเสนอข้อมูลของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ ตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุดและในช่วงเวลาที่เหมาะสมนั่นเอง

4. ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI คือตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึง Big data ทั้งหลาย ซึ่งหากขาดซึ่งปัญญาประดิษฐ์นี้เราย่อมไม่สามารถรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภค และลูกค้าได้อย่างแม่นยำเลย และไม่ต้องพูดถึงเลยว่าคุณจะนำข้อมูลนี้ไปใช้ประโยชน์ในการทำการตลาดได้เช่นไร แต่เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นี้มีความก้าวหน้ามากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงง่ายดายมากขึ้นครับ เพราะข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าทั้งหมดจะถูกจัดเก็บได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งคุณสามารถนำข้อมูลที่ได้รับเหล่านี้มาออกแบบโปรโมชั่นและข้อเสนอที่น่าสนใจ หรือส่งคูปองส่วนลดไปให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้ว นอกจากนี้ปัญญาประดิษฐ์ยังช่วยให้คุณสามารถมอนิเตอร์ข้อมูลในทุก ๆช่องทางที่คุณได้ทำการตลาดออนไลน์โปรโมทร้านค้าของคุณไปแล้วได้อย่างแม่นยำ และไม่ทำให้คุณต้องกังวลใจหรือตกหล่นกับการมอนิเตอร์ข้อมูลทั้งหมดด้วยตนเอง

แต่หากคุณคิดว่าทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ ปัญญาประดิษฐ์ที่ยกตัวอย่างมานั้นสุดยอดแล้ว สิ่งที่สุดยอดยิ่งกว่าก็คือมีการคาดการณ์กันเอาไว้ว่าเมื่อเทคโนโลยี AI มีการพัฒนามากยิ่งขึ้นในอนาคต ตัว AI นี้เองที่จะกลายมาเป็นที่ปรึกษาให้แก่ผู้ประกอบการค้าปลีกแทนที่ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ด้วยการนำเสนอข้อมูลทางเลือกทั้งหมดที่เป็นไปได้และแน่นอนว่าการตัดสินใจสุดท้ายก็คือตัวของผู้ปนระกอบการเอง

5. เทคโนโลยีภาพเสมือนจริง (Virtual And Augmented Reality)

อุปสรรคสำคัญที่ทำให้นักช้อปออนไลน์เกิดความลังเลใจนั่นก็คือไม่รู้ว่าสินค้าที่เห็นนั้นจะเหมาะสมกับตนเองหรือไม่ การไม่ได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกับช่องทางหน้าร้านออฟไลน์คืออุปสรรคสำคัญของสินค้าบางชนิดครับ แต่เมื่อเทคโนโลยี VR หรือเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงได้รับการพัฒนาขึ้นมา ปัญหานี้จะหมดไปในทันทีเพราะลูกค้าสามารถรับประสบการณ์ในการลองสินค้าได้แม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสกับสินค้าสินค้านั้นด้วยตนเองก็ตาม ดังนั้นเทคโนโลยี VR นี้จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์และเติมเต็มความต้องการนี้ของธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะในภาคส่วนของการค้าออนไลน์ครับ ซึ่งนอกจากนี้ในภาคส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจซื้อขายรถยนต์ เทคโนโลยี VR จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของลูกค้าให้พวกเขาได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกับสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการจะสื่อสารไปถึงพวกเขาโดยไม่จำเป็นต้องไปเห็นของจริงด้วยเช่นกัน

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือ ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีแนวโน้มที่จะส่งต่อความเปลี่ยนแปลงไปสู่ธุรกิจค้าปลีกที่น่าสนใจ ซึ่งหากผู้ประกอบการรายใดสามารถเข้าถึงและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวนี้รวมถึงปรับตัวปรับธุรกิจของตนเองให้รองรับเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ได้ ก็นับได้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในทางกลับกันใครที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงหรือไม่ทันต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้ พวกเขาก็คือคนที่จะต้องถูกกลืนหายไปจากวงการธุรกิจอย่างแน่นอน