ความมั่งคั่งและประสบความสำเร็จคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา มีคนจำนวนหนึ่งที่สามารถไปถึงฝั่งฝันและประสบความสำเร็จจนถึงขั้นเป็นมหาเศรษฐีได้ แต่การที่จะรักษาสถานะนั้นเอาไว้ได้ตลอดก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่มหาเศรษฐีทั้งหลายจำเป็นต้องใช้ความสามารถของตนเองเพื่อรักษาสถานะที่มั่นคงของตนเองเอาไว้ให้ได้เพราะมีมหาเศรษฐีจำนวนหนึ่งที่แม้จะสร้างตัวเองขึ้นมาจนร่ำรวยได้แต่เพียงเพราะความผิดพลาดเพียงไม่กี่ครั้งกลับทำให้สิ่งที่เพียรสร้างขึ้นมาล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา ในบทความนี้เราจึงนำเรื่องราวของ 8 มหาเศรษฐีที่หนีไม่พ้นความล่มสลายมาเป็นข้อเตือนใจ

8 กรณีศึกษาธุรกิจล้มเหลว

1. Yasumitzu Shigeta

Yasumitzu Shigeta เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในญี่ปุ่นที่สามารถสร้างตนเองขึ้นมาจนร่ำรวย ในช่วงรุ่งเรืองเขายังเป็น CEO ที่อายุน้อยที่สุดของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จุดเริ่มต้นความมั่งคั่งของเขาเกิดขึ้นเมื่อเขาลาออกจากวิทยาลัยในปี 1988 เพื่อก่อตั้งบริษัทจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่ชื่อ Hikari Tsushin ซึ่งถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นบริษัทอันดับ 1 ที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน

ในปี 1999 เขามีสินทรัพย์ถึงหนึ่งพันล้านเหรียญเป็นครั้งแรกจากความผันผวนของตลาดหุ้นโดยมูลค่าสินทรัพย์ของเขาเพิ่มขึ้นถึง 5 พันล้านเหรียญภายในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น

ในปี 2000 หุ้นของ Hikari Tsushin มีการซื้อขายกันที่ 2,300 ดอลลาร์และนั่นเองทำให้ความมั่งคั่งของเขาเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านเหรียญ แต่จากความผันผวนของตลาดทำให้เขาต้องสูญเสียความมั่งคั่งไปกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญภายในไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ในปี 2009 มูลค่าหุ้นของเขาก็เหลือเพียง 600 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ Yasumitzu Shigeta ตัดสินใจทำงานอย่างหนักเพื่อให้เขาได้เงินที่สูญไปกลับคืนมาและในปี 2013 เขาก็สามารถเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับบริษัทได้ถึง 88 %

2. Masayoshi Son

Masayoshi Son เป็นมหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้ง Softbank นอกจากนี้เขายังเป็น CEO ของ Softbank Mobile และเป็นประธาน Arm Holdings ในประเทศอังกฤษอีกด้วย ในปี 1980 ที่เขาเปิดตัว Softbank ธุรกิจหลักของเขาคือธุรกิจในด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยี โดย Softbank ได้ลงนามข้อตกลงในด้านการลงทุนจำนวนมากและหนึ่งในนั้นก็คือการซื้อหุ้นใน Yahoo! และอาลีบาบา

ในช่วงจุดสูงสุดของเหตุการณ์ฟองสบู่ดอทคอมในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 มูลค่าทรัพย์สินของ Masayoshi Son เพิ่มขึ้นกว่าหมื่นล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์และทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในเวลานั้นแต่หลังจากนั้นไม่นานเมื่อวิกฤติฟองสบู่ดอทคอมแตกออกก็ส่งผลให้หุ้นของ Softbank ลดลงถึง 75% ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือนและลดลงกว่า 93% ภายในสิ้นปี 2000 จากเหตุการณ์นี้เองทำให้ Masayoshi Son ต้องสูญเสียความมั่งคั่งถึง 7 หมื่นล้านเหรียญซึ่งนับเป็นการสูญเสียทางการเงินที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของบุคคลเพียงคนเดียว

แต่แม้ว่าเขาจะสูญเสียความมั่งคั่งไปมหาศาล Masayoshi Son ก็ไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้ เขาตัดสินใจทุ่มเทความสนใจไปที่อุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือและเข้าซื้อกิจการ Vodafone Japan ในปี 2006 และทำให้ Softbank กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งตั้งแต่นั้นมา Masayoshi Son กลับมามั่งคั่งอีกครั้งในปี 2013โดยมีสินทรัพย์กว่า 1.6 หมื่นล้านเหรียญในปี 2014

3. Björgólfur Thor Björgólfsson

Björgólfur Thor Björgólfsson เป็นชาวไอซ์แลนด์คนแรกที่มีชื่อเป็นบุคคลที่ร่ำรวยของนิตยสาร Forbes ในปี 2005 และได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกลำดับที่ 249 โดยนิตยสาร Forbes ในปี 2007 โดยมีมูลค่าสุทธิ 3.5 พันล้านดอลลาร์

ความมั่งคั่งของเขาเริ่มต้นหลังจากเขาสำเร็จการศึกษาในสหรัฐอเมริกาที่ UC San Diego Björgólfur ย้ายไปที่รัสเซียและเริ่มธุรกิจน้ำอัดลมและเบียร์ ต่อมาในปี 2002 เขาขายบริษัทของเขาให้กับไฮเนเก้นในราคา 352 ล้านดอลลาร์และย้ายกลับไปที่ไอซ์แลนด์ และหลังจากนั้นไม่นานเขาและพ่อได้ตัดสินใจซื้อหุ้น 45% ของ Landsbanki ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไอซ์แลนด์

แต่แล้วในปี 2008 เมื่อไอซ์แลนด์เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจทำให้รัฐบาลไอซ์แลนด์ตัดสินใจยึดธนาคารชั้นนำในประเทศรวมถึงธนาคาร Landsbanki ของเขาด้วย เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขาต้องเสียทรัพย์สินไปทั้งหมดและมีหนี้อีกกว่า 750 ล้านดอลลาร์จนทำให้เขากลายเป็นบุคคลแรกในไอซ์แลนด์ที่ล้มละลายสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์

4. Allen Stanford

Allen Stanford เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีชั้นนำของอเมริกาซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารและคฤหาสน์ทั่วโลก ในช่วงจุดสูงสุดเขามีทรัพย์สินถึงกว่า 2 พันล้านเหรียญ จุดเริ่มต้นความสำเร็จของเขามาจากการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ใน Houston ภายหลังวิกฤติฟองสบู่น้ำมันเท็กซัสแตกในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เหตุการณ์นี้ทำให้ Allen Stanford และพ่อของเขาทำเงินอย่างมหาศาลจากการไล่ซื้อสังหาริมทรัพย์ในราคาต่ำและขายออกไปในช่วงที่ตลาดเริ่มกลับมาฟื้นตัว ในภายหลังเขาได้เข้าบริหารบริษัทสแตนฟอร์ดไฟแนนเชียลกรุ๊ปต่อจากพ่อซึ่งปัจจุบันเลิกกิจการแล้ว

หลังจากย้ายไปที่ประเทศ Antigua ในแถบทะเลแคริบเบียน Allen Stanford ให้การสนับสนุนการแข่งขันคริกเก็ตหลายรายการ เขากลายเป็นเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศและกลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้บรรดาศักดิ์เป็นอัศวินและรู้จักกันในชื่อ  “Sir Allen” ซึ่งความมั่งคั่งของเขาเกินจีดีพีของ Antigua กว่า 1 พันล้านเหรียญ

แต่แล้วในปี 2009 Allen Stanford ตกเป็นข่าวเรื่องการฉ้อโกงและถูกตั้งข้อหาจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงหลายครั้ง สุดท้ายปี 2012 Allen Stanford ก็ถูกจับกุมอย่างเป็นทางการด้วยโทษจำคุก 110 ปีในข้อหาเตรียมแผน Ponzi มูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการฉ้อโกงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

5. Seán Quinn

Seán Quinn เป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในไอร์แลนด์โดยในปี 2008 นิตยสาร Forbes ระบุว่าเขาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกลำดับที่ 164 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 6 พันล้านดอลลาร์ Seán Quinn เริ่มต้นความมั่งคั่งจากการที่เขาเปิดบริษัทของตัวเองในชื่อ Quinn Group โดยเริ่มต้นจากการดำเนินงานเล็ก ๆ ใน Derrylin ก่อนจะขยายไปสู่องค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากกว่า 8,000 คนในที่ต่าง ๆ ทั่วยุโรป Quinn Group ได้ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งซีเมนต์และคอนกรีต หม้อน้ำ โรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ แก้วคอนเทนเนอร์ ประกันภัยทั่วไป รวมถึงโรงงานผลิตพลาสติก

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมากมายแต่สุดท้ายเมื่อไอร์แลนด์ประสบวิกฤติในปี 2008 Quinn Group ก็ได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเหตุการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อธนาคารแองโกไอริชตัดสินใจเปลี่ยนสัญชาติในปี 2009 ในเวลานั้น Quinn และครอบครัวถือหุ้นถึง 1 ใน 4 จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขาต้องล้มละลายในปี 2012 และมีหนี้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ซึ่งทำให้เขาและครอบครัวเหลือเงินเพียง 15,000 เหรียญเท่านั้น

6. John D. Rockefeller

John D. Rockefeller เป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่ออายุเพียง 24 เขาได้ก่อตั้งบริษัทน้ำมันขึ้นมา โดยในขณะนั้นไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไรเนื่องจากความผันผวนในเวลานั้นค่อนข้างสูง และทุกครั้งที่มีการเปิดบ่อน้ำมันจะทำให้ราคาไปแตะจุดต่ำสุด มีโรงกลั่นใหม่ ๆปรากฏขึ้นทุกที่และหลายแห่งขาดทุนเนื่องจากราคาที่ตกต่ำ

ท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้น John D. Rockefeller มองเห็นโอกาสเขาได้ทำการเจรจากับบริษัทรถไฟชั้นนำซึ่งให้ส่วนลดสำหรับการขนส่งน้ำมันทั่วประเทศทำให้เขาได้เปรียบคู่แข่งอย่างมหาศาล นอกจากนี้ เขายังทำการซื้อบริษัทคู่แข่งจำนวนมากในราคาที่ต่ำ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงเป็นสาเหตุของการออกกฎหมายผูกขาดขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ

หลังจากนั้นไม่นานเขาถูกฟ้องร้องในข้อหาละเมิดการต่อต้านการผูกขาดและสร้างการผูกขาดและจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทำให้ John D. Rockefeller ต้องสูญเสียทรัพย์สินกว่า 709 ล้านดอลลาร์ในปี 1929

7. Eike Batista

Eike Batista เป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในบราซิลในปี 2012 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ อยู่ที่ 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 8 ของโลกและร่ำรวยที่สุดในบราซิล

ในฐานะลูกชายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงานของบราซิลในขณะนั้น ทำให้ Eike Batista ให้ความสนใจสินค้าโภคภัณฑ์ เขาเริ่มทำการซื้อขายทองคำและเพชรในช่วงต้นทศวรรษ 1980 และเปิดบริษัทขุดทองหลังจากนั้นไม่นาน โดยในปี 2000 บริษัทของเขามีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์จากการดำเนินงานเหมืองทอง 8 แห่งในบราซิลและแคนาดา รวมถึงเหมืองเงิน 1 แห่งในชิลี

OGX ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำ 1 ใน 5 ที่ Eike Batista ดำเนินงานอยู่ โดยทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันและก๊าซซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.99 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่อย่างไรก็ตามด้วยสาเหตุที่การผลิตน้ำมันจากพื้นที่สำรวจน้อยกว่าที่คาดไว้มาก ดังนั้นบริษัทจึงไม่สามารถชำระหนี้ได้ทัน ในท้ายที่สุด Eike Batista ได้ถูกยื่นฟ้องล้มละลายในปี 2013 ซึ่งทำให้มูลค่าสุทธิของเขาติดลบถึง 5.1 พันล้านดอลลาร์

8. Mansa Musa I

Mansa Musa I เป็นผู้ปกครองของอาณาจักรมาลีในช่วงปี 1321-1337 โดยเขากลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยความมั่งคั่งที่ไม่อาจประเมินมูลค่าได้ ในช่วงทศวรรษที่ 1300 จักรวรรดิมาลีเป็นผู้ผลิตถั่วโคลา งาช้าง ทอง และเกลือรายใหญ่ที่สุด

ในฐานะที่เป็นมุสลิมผู้เคร่งศาสนาเขาเดินทางไปเมกกะเพื่อแสวงบุญโดยนำคนกลุ่มใหญ่ถึง 60,000 คนพร้อมกองคาราวานและทองคำจำนวนมหาศาลติดตัวไปด้วย และเมื่อมาถึงกรุงไคโรเขาได้แสดงความใจบุญด้วยการซื้อสินค้าและแจกทองให้กับคนยากจน ซึ่งกลับสร้างความเสียหายอย่างมากเพราะทำให้มูลค่าของโลหะในอียิปต์อ่อนค่าลงและเศรษฐกิจโดยรวมได้รับผลกระทบอย่างหนักจนต้องใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะฟื้นตัว

นอกจากนี้เขาถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการใช้ทองคำมากเกินไปในการเดินทางแทนที่จะใช้เพื่อประชาชนของตนเอง ภายหลังการสิ้นพระชนม์บัลลังก์ก็ตกทอดสู่พระโอรสซึ่งไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ ท้ายที่สุดจักรวรรดิมาลีก็ล่มสลาย และภายใน 2 ชั่วอายุคนหลังการเสียชีวิตของเขา ความมั่งคั่งมหาศาลที่เคยมีก็มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง

จากประวัติ กรณีศึกษาธุรกิจล้มเหลว ของมหาเศรษฐีที่เผชิญกับความล่มสลายทั้ง 8 ที่เราได้ยกตัวอย่างมานี้มีทั้งผู้ที่สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้อีกครั้งและผู้ที่ล่มสลายจนไม่อาจกลับมาได้อีกเลย บทเรียนเหล่านี้สอนให้เรารู้ว่าไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด การวางแผน การควบคุมความเสี่ยงคือสิ่งที่เทรดเดอร์ และนักธุรกิจ จำเป็นต้องมีเพื่อให้ในที่สุดแล้วคุณจะสามารถยืนอยู่ได้และกลายเป็นผู้ชนะระยะยาวในท้ายที่สุด