ทุกธุรกิจที่ประสพความสำเร็จ เริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายก่อนทั้งนั้น เป้าหมาย คือ เส้นชัย หากไม่มีเส้น คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าจะเดินทางไปทางไหน
สมมุติ คุณบอกว่าอยากเที่ยวเชียงใหม่ แต่ไม่ได้ตัดสินใจ คุณคิดว่าจะได้ไปไหม ? เมื่อตัดสินใจได้ก็เป็นรายละเอียดต่างๆ ที่คุณต้องจัดการ จองโรงแรม จองตั๋วเดินทาง เตรียมค่าใช้จ่าย ฯลฯ
คนที่ทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ไม่สำเร็จกว่า 90% เพราะไม่มีเป้าหมายชัดเจน แค่มีเป้าหมายชัดเจน เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จจะสูงขึ้นมาทันที
วัตถุประสงค์ คือ เพื่ออะไรหรือแรงจูงใจ รายได้ที่ต้องการ การทำธุรกิจออนไลน์ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ทุกอย่างที่จะสำเร็จได้ต้องยากลำบาก การอดทนทำอย่างต่อเนื่อง หากแรงจูงใจไม่พอหลายคนก็เลิกกลางคัน ธุรกิจออนไลน์ทำง่าย แต่ประสบความสำเร็จไม่ง่ายเลย ทุกวันนี้มีร้านค้าออนไลน์เกิดขึ้นทุกวัน อย่างกะตลาดนัด
ดังนั้น การทำธุรกิจออนไลน์ ต้องมีความทุ่มเท มีความอดทน เป้าหมายและวัตถุประสงค์ชัดเจน หากคุณยังไม่มีผมแนะนำให้เขียน ณ เวลานี้เลยครับ เป้าหมาย เริ่มเมื่อไหร่ ยอดเท่าไหร่ เพื่ออะไร สิ่งเหล่านี้จะช่วยคุณในการวางแผนธุรกิจได้ดีขึ้น รู้ว่าต้องใช้ทุนเท่าไหร่ จะใช้เวลาในการทำตอนไหน วันละกี่ชั่วโมง และต้องไปหาใครช่วยเหลือ ถ้ามีคนเคยประสบความสำเร็จมีรายได้ผ่านธุรกิจออนไลน์ เป็นแสน เป็นล้านได้ เราก็ทำได้ ขอเพียงแนวทางที่ถูกต้อง บวกความตั้งใจที่เต็มล้น สำเร็จแน่นนอนครับ
ขั้นตอนที่ 2 เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ธุรกิจบนโลกออนไลน์ เป็นธุรกิจที่เริ่มต้นง่าย โดยเฉพาะการสร้าง FanPage สามารถทำได้ภายใน 3-5 นาทีเท่านั้น ดังนั้นร้านค้าออนไลน์จึงเกิดขึ้นเยอะมาก และล้มเหลวกว่า 90% ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ผมอยากให้เรามาดูข้อดีข้อเสียกันก่อนครับ
ข้อดีของการทำการทำธุรกิจออนไลน์
– ต้นทุนต่ำ เริ่มต้นธุรกิจได้ตั้งแต่ 0 บาท
– สามารถขายลูกค้าได้ทั่วประเทศ หรือทั่วโลก (ถ้ารู้ภาษาหรือรู้วิธีหาผู้ช่วย)
– เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ง่าย
ข้อเสียของการทำธุรกิจออนไลน์
– คู่แข่งเยอะ เกิดสงครามราคา ได้ง่าย
– ไม่เหมาะกับการขายสินค้าบางประเภท เช่น สินค้าที่แตกหักง่าย ขนส่งทางไปรษณีย์ไม่ได้
– มีมิจฉาชีพเยอะ ทั้งในคราบลูกค้าและผู้ประกอบการ
หากคิดจะลุยธุรกิจด้านออนไลน์แล้วก็ต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เราต้องพร้อมลุยทุกปัญหา นอกจากการโฆษณาที่ดีแล้ว การสร้างความน่าเชื่อถือ ถือว่าเป็นเป็นสิ่งสำคัญของร้านค้าบนอินเตอร์เน็ต ทุกคำ ทุกประโยค ที่พิมพ์ลงไปมีผลต่อการดำรงอยู่ของธุรกิจของคุณทั้งสิ้น ปัจจุบันการสื่อสารเร็วมาก โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ดี ดังก่อนทำอะไรคิดและวางแผนให้ดี
ขั้นตอนที่ 3 วิเคราะห์ตลาด การหาสินค้า ให้โดนใจลูกค้า
มีคนชอบถามว่า อยากรวย ขายอะไรดี ? บอกตรงๆ ครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือถ้าผมรู้แล้วบอกทุกคนก็ขายสินค้าเหมือนผม สุดท้ายก็เหมือนเดิม ผมเคยแนะนำ น้องคนหนึ่งในการขายสินค้าในอีเบย์ ปรากฏว่าน้องคนนั้นก็ก๊อปปี้ทุกอย่างตั้งแต่สินค้า รูปภาพ คำโฆษณา และราคา ผลปรากฏว่าน้องเขาก็สามารถขายสินค้านั้นได้เหมือนกันแต่คุณคิดว่าการทำแบบนี้จะรวยไหม? ตอบเลยไม่ แต่ผมก็แนะนำอยากให้ผู้ที่เริ่มต้น เริ่มต้นจากจุดนี้นะครับ ดูโมเดลของร้านที่เราคิดว่าขายดีแล้วเปรียบเทียบกัน ปัจจัยในการนำเสนออะไรที่ทำให้ร้านนี้สามารถขายสินค้าได้ดี แล้วนำมาประยุกต์เป็นของคุณ
ผมขอแบ่งประเภทสินค้าเป็น 2 ประเภท
- Need = สินค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้ จำเป็นต้องซื้อ เช่น อาหาร เครื่องใช้ ปัจจัย 4 เป็นต้น ถ้าจะยกตัวอย่าง สินค้าที่นำมาขายออนไลน์ที่เป็น Need ได้แก่ หมึกปริ้นเตอร์จำเป็นต้องซื้อใช้ทุกเดือน, กระดาษ A4, ซอฟแวร์ และอื่นๆ
สินค้าประเภทนี้การแข่งขันเรื่องราคาจะสูงมาก ลูกค้าจะใช้การค้นหาผ่าน Google เป็นหลัก ฉะนั้นอันดับบน Google จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งปัจจุบันมีหลายคนพยามใช้ Facebook แทนเว็บไซต์ ในการดันอันดับบน Google สำหรับสินค้าที่จะขายได้ดีนั้น เมื่อค้นหามาแล้วอันดับต้องอยู่ในหน้าแรก ซึ่งสินค้าบางตัวเมื่อขึ้นหน้าแรกก็ทำให้รวยได้เลย เช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม เป็นต้น
- Want = สินค้าตามความต้องการ ตามความอยาก บ้างครั้งเราต้องไปสร้างความอยากให้ลูกค้าด้วยซ้ำ ได้แก่ เสื้อผ้าแฟชั่น, ของเล่นเด็ก, ยาลดความอ้วน, เสื้อผ้าเด็ก เป็นต้น
สินค้าประเภทนี้จะไม่แข่งขันเรื่องราคามากนัก ลูกค้าจะเน้นหนักไปที่กลุ่ม Social Network ประมาณว่าเล่น Facebook อยู่ดีๆ เจอเสื้อสวย นางแบบน่ารัก ราคาถูกใจ ซื้อแมร่งเลย ผู้เล่นตลาดนี้ต้องเก่งทั้งศาสตร์และศิลป์ คำโฆษณาไม่กี่ประโยค แต่เห็นแล้วต้องโดนใจ รูปภาพเห็นแล้วต้องใช่
เรารู้จักประเภทของสินค้าทั้ง 2 ชนิดแล้วนะครับ ก็มาดูว่าเราจะขายสินค้าประเภทอะไรดี ถ้าให้ผมเสนอผมขอเสนอให้เริ่มจากสินค้าที่คุณมีต้นทุนอยู่ เช่น คุณเป็นเซลล์อยู่แล้ว มีความรู้ หรือสามารถซื้อได้ในราคาทุนจริงๆ เพื่อที่จะแข่งขันกับคู่แข่งได้
แต่ถ้าหากไม่มีผมแนะนำค้นหาใน Google เลยครับ ลองหาคำว่าตัวแทนจำหน่าย หรือ Dropship ดูว่ามีสินค้าและราคาที่เราสนใจหรือไม่ ผมแนะนำว่าควรได้กำไรอย่างต่ำ 15-20% สินค้าพวกนี้ดีต้องที่ว่าไม่ต้องทำอะไรขายอย่างเดียว ร้านจัดส่งสินค้าให้เราเลย
อีกอย่างที่ผมอยากแนะนำคือ เราไปคุยกับร้านค้า ขอเป็นตัวแทนขายทางอินเตอร์เน็ต กว่า 90% ยินดีหมดเพราะเราไปช่วยยอดขายของเขา หากเป็นไปได้บอกเขาเลยว่าถ้ามีออเดอร์มาฝากส่งให้ด้วย
ขั้นตอนที่ 4 กำหนดกลุ่มเป้าหมาย
มาถึงตรงนี้คงคิดออกแล้วนะครับว่าจะขายอะไร ขั้นตอนนี้ถือว่าสำคัญจริงๆ เพราะถ้าคุณขายสินค้าแล้วไม่มีกลุ่มเป้าหมาย คุณจะอยู่ในความเสี่ยงมาก เพราะการกำหนดเป้าหมายจะมีผลโดยตรงกับการโฆษณา เพื่อเราจะเห็นผลลัพธ์ที่เร็วที่สุด
สมมุติว่าคุณทำธุรกิจติวเตอร์ วางแผนว่าจะแจกใบปลิว ค่าใช้จ่ายในปลิวใบล่ะ 1 บาท ยังไม่รวมค่าจ้างคนแจก ค่าออกแบบ และค่าอื่นๆ อีกมามาย ฉะนั้นแล้วทุกใบปลิวมีคุณค่า ไม่งั้นเงินคงปลิวเหมือนใบปลิวแน่นอน เราต้องมาวางยุทธศาสตร์ให้ดี เช่น คุณสอนเด็กประถม คุณก็ต้องแจกหน้าโรงเรียนประถมไม่ใช่มัธยม, เลือกแจกเด็กในพื้นที่ เด็กที่สามารถเดินทางมาเรียนติวเตอร์กับเราง่าย
เช่นเดียวกันครับ ปัจจุบันมีคนใช้อินเตอร์เน็ตหลายพันล้านคนใช้ว่าทุกคนจะซื้อสินค้าคุณหมด ดังนั้นถ้ากลุ่มเป้าหมายคุณไม่ชัด การโฆษณาคุณเป็นศูนย์แน่นอน และอีกสิ่งที่สำคัญคือกลุ่มเป้าหมายจะกำหนดรูปแบบสื่อโฆษณาต่างๆ ด้วย
ผมทำธุรกิจสตรีทแฟชั่น กลุ่มลูกค้าผมจึงชัด ผมพยามหา เว็บไซต์ และแฟนเพจเกี่ยวกับสตรีท นอกจากนี้ผมยังทำการตลาดออฟไลท์ เป็นสปอนเซอร์ให้กับการแข่งขันที่เกี่ยวกับสตรีท เช่น แข่งเต้น, บีชบ๊อก เป็นต้น จนปัจจุบันผมมีแฟนคลับแบรนด์ที่เป็นสตรีทแท้ๆ ในแฟนเพจ จนกระทั่งช๊อปสตรีทที่เกิดขึ้นใหม่ต้องมาขอเป็นตัวแทนเพราะอยากได้รับการโปรโมทผ่านแฟนเพจ
ดังนั้นเราต้องชัดเจน ในกลุ่มลูกค้า อายุ เพศ ความชอบ ขอบคุณ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่แบ่งความชัดเจนมาให้เรียบร้อยแล้ว อย่าพึ่งงงว่าอยู่ตรงไหน ผมจะอธิบายอีกทีในบทของการโปรโมท
แบบฝึกหัด ถ้าคุณขายตุ๊กตา Rilukkuma กลุ่มลูกค้าของคุณ คือ ใคร ? ลองเขียนตามหัวข้อต่อไปนี้นะครับ เพศ, อายุ, อาชีพ และไลฟ์สไตล์
ถ้าความคิดผมนะครับ
เพศหญิง, อายุ 17-25 ปี (เกินกว่านี้คิดว่าไม่น่าจะเล่นตุ๊กตาแหละ), อาชีพ นักศึกษา สาวออฟฟิตพึ่งเริ่มทำงาน, ไลฟ์สไตล์ ชอบอะไรน่ารักๆ ผมคิดไปถึงพวกบ้าเกาหลีด้วยซ้ำ
ลองคิดดูนะครับ ไม่มีถูกหรือผิด เพราะหลายคนอาจจะคิดแตกต่างจากผม เช่น กลุ่มเป้าหมายคือคุณแม่ที่ซื้อให้ลูก, กลุ่มเป้าหมายคือเพศชายที่จะซื้อของขวัญให้แฟน
ที่นี้ก็มาลองคิดดูนะครับว่า กลุ่มลูกค้าของคุณ คือใคร เพศ, อายุ, อาชีพ และไลฟ์สไตล์ เป็นอย่างไร
ขั้นตอนที่ 5 กำหนดวิธีการหาลูกค้า
หลังจากที่เรามีสินค้า และกลุ่มเป้าหมายแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการหาลูกค้า ซึ่งเป็นกุญแจของความสำเร็จก็ว่าได้ คือถ้าคุณหาลูกค้าได้ ผมบอกเลยว่าคุณจะทำอะไรก็ไม่มีวันล้มเหลว
การหาลูกค้า มี 2 วิธีหลักๆ คือ
- การหาลูกค้าแบบออนไลน์
ผมเชื่อว่าเป็นหัวใจสำคัญของ E-Book เล่มนี้ อ่านมาตั้งนานที่อยากรู้ก็มีแค่นี้แหละ 555 ซึ่งผม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน
- หาผ่าน Website และ Web board
รวบรวม Website และ Web board ที่คิดว่า กลุ่มลูกค้าของเราจะไปรวมตัวกันอยู่ ยกตัวอย่าง ถ้ากลุ่มลูกค้าของคุณเป็นนักศึกษาสาว คุณก็ต้องไปหา Website และ Web board ที่เขาสนใจ อาจจะเป็นดาราเกาหลี เครื่องสำอางค์, ถ้าลูกค้าคุณเป็นวิศวะกร คุณก็ต้องไปหา Website และ Web board ที่เกี่ยวกับวิศวกร
- หาผ่าน Social Network
มีมากมาย Facebook, Twitter, Pinterest, Google+ , Instagram ท่องไว้ว่าเพื่อนทุกคนสามารถเป็นลูกค้าของคุณได้ พยามรวบรวมเพื่อนที่อยู่ในข่ายกลุ่มเป้าหมายของคุณ รวบรวม Fanpage และ Group ที่กลุ่มเป้าหมายของคุณไปอยู่รวมกัน
- หาผ่าน Search Engine
การทำให้สินค้าของเราหาเจอง่าย เมื่อมีคนต้องการ ซึ่งจะได้ผลดีมากในสินค้ากลุ่ม Need หลักๆสำหรับประเทศไทยผมแนะนำ ณ เวลานี้ Google อย่างเดียวก็พอ ซึ่งการทำต้องใช้เทคนิค แรง และเวลา ผมแนะนำให้ซื้อโฆษณากับ Adword เลยดีกว่า ถ้าอยากเห็นผลเร็ว
- การหาลูกค้าแบบออฟไลน์
หลายคนคิดว่าการทำธุรกิจออนไลน์การหาลูกค้าแบบออฟไลน์ ไม่สำคัญแต่ขอบอกเลยว่าสำคัญมาก การหาลูกค้าแบบออฟไลน์ คือการหาผ่านโฆษณาทุกชนิดที่ไม่ได้อยู่บนอินเตอร์เน็ต แผ่นป้าย, นิตยสาร, หนังสือพิมพ์ การออกงานอีเว้น สำหรับผมให้ถึงกลยุทธ์แบบปากต่อปาก เนื่องจากปัจจุบันผู้ค้าทางอินเตอร์เน็ตค่อนข้างเยอะ จึงเกิดความไม่น่าเชื่อถือ จนหลายคนถึงขั้นไม่มองโฆษณาในอินเตอร์เน็ตเลยด้วยซ้ำ การหาลูกค้าแบบออฟไลน์จะช่วยสร้างฐานลูกค้าและความน่าเชื่อถือได้มาก
ผมอยากจะบอกความลับกับทุกคนในที่นี้เลยว่า การหาลูกค้าทุกรูปแบบนั้นใช้ “การโฆษณาเป็นหลัก” ส่วนค่าใช้จ่ายจะถูกจะแพงก็ขึ้นอยู่กับฝีมือ ประสบการณ์ และเป้าหมาย แต่ถ้าหากคุณเลือกวิธีการดีๆ ตรงกับกลุ่มเป้าหมายคุณอาจจะใช้ค่าใช้จ่ายน้อยมากในขณะที่ผลตอบรับดีมากก็ได้ ผมประสบความสำเร็จได้ก็เพราะ หาลูกค้าได้ โดยใช้เงินโฆษณาน้อยที่สุด
ขั้นตอนที่ 6 จัดทำแผนสร้างยอดขายและเตรียมการ
มาถึงขั้นตอนนี้คิดว่าทุกคนคงพอมองเห็นรายจ่ายบ้างแล้วนะครับ เราต้องสรุปรายจ่ายทุกอย่างออกมาให้ได้นะครับ สำหรับใครคิดว่าทำธุรกิจออนไลน์แล้วไม่ต้องใช้ทุนคิดผิดเลยนะครับ จะขายของได้ต้องมี ร้านค้า สำหรับธุรกิจออนไลน์ ก็ คือ Website และ FanPage นั่นเอง เรามาดูต้นทุนกันโดยประมาณนะครับ
ค่าจัดทำ Website
ถ้าหากใครสามารถทำได้อยู่แล้วก็ฟรีครับ จะเขียนเอง หรือใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปทำได้หมด บางท่านอาจจะเริ่มจากการใช้ FanPage ก่อนก็ได้นะครับ เพราะผมก็เริ่มจากการทำ FanPage ขายได้แล้วค่อยทำเว็บไซต์ แต่ถ้าจ้างเขียน Website E-Commerce ก็ประมาณ 15,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีทุนและอยากสร้างแบรนด์ตัวเอง
ปัจจุบันมีบริการเว็บไซต์สำเร็จรูปมากมาย ถ้าหากคุณทำอะไรไม่ค่อยเป็น ผมแนะนำให้ใช้เว็บไซต์สำเร็จรูป เพราะมีรูปแบบ สีสัน และสไตล์ ที่เป็นมาตรฐานให้คุณเลือกใช้ และมีระบบที่เกี่ยวกับการขายสินค้าครบคัน ซึ่งการให้บริการจะคิดเป็นปี เริ่มต้นตั้งแต่ปีละไม่กี่ร้อยบาท สมัครปุ๊บเสร็จปั๊บ ขายของได้ทันที มีหลายเจ้าหลายแพ็คเกจให้เลือกใช้บริการ www.readyplanet.com, www.tarad.com, www.lnwshop.com,www.weloveshopping.com, www.plazacool.com เป็นต้น มีคำวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายผมแนะนำให้ลองสมัครแพ็คเกจ แล้วดูว่าชอบสไตล์ไหน
ค่าตกแต่ง Website และ Fanpage
ถ้าคุณต้นทุนน้อย เริ่มต้นจากการทำเว็บไซต์สำเร็จรูปและ Fanpage แต่ทำไรไม่เป็นเลย ต้องมีต้นทุนตรงนี้ ครับ เพราะต้องออกแบบให้ออกมาเพื่อขายสินค้าของคุณโดยเฉพาะ แบรนด์เนอร์ต่างๆในเว็บไซต์ เพื่อความน่าเชื่อถือ รวมถึงรูปสินค้า อาจจะต้องดูว่าเว็บไซต์ใหญ่ๆ เขาทำกันแบบไหนแล้วมาประยุกต์ของเรา สำหรับราคานั้นก็เริ่มต้นตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการต่อรองครับ ลองค้นหาใน Google ดูจะมีผู้ให้บริการอยู่ครับ หรือสามารถให้ผมแนะนำได้หลังไมค์ครับ
ค่าโดเมน
โดเมนคือ ชื่อของ Website ราคาจะประมาณ 300-450 บาท สำหรับผู้ที่ใช้บริการเว็บสำเร็จรูปบางแพ็คเกจจะได้โดเมนฟรีเลยครับ
ค่า Server
เรียกอีกชื่อว่า Hosting เปรียบเสมือนที่อยู่มีผู้ให้บริการดีๆอยู่หลายที่ ถ้าให้ผมแนะนำก็ http://www.hostneverdie.com/ ราคาเริ่มต้นที่ 777 บาทต่อปี แต่หากใช้บริการเว็บสำเร็จรูปตรงนี้ก็ไม่ต้องเสียครับ
สินค้า
ต้องคิดให้ดีว่าคุณควรมีสินค้าสต๊อคหรือไม่ ทำอย่างไรจึงจะจัดส่งสินค้าให้ได้เร็วที่สุด หรือจะเริ่มต้นจากการหา Dropship
ค่าโฆษณา
หลักพันถึงหลักหมื่นขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ผมแนะนำว่าเริ่มต้นควรมีค่าโฆษณา 30% ของรายได้ที่ตั้งเป้าหมายไว้ วิธีการโฆษณามีมากมายทั้งเสียตังค์และไม่เสียตังค์ ผมอยากให้เริ่มจากไม่เสียตังค์ พยามใช้จ่ายให้น้อยที่สุดตอนเริ่ม เพราะคุณยังไม่รู้ว่าคำที่ใช้ในการโฆษณา หรือรูปภาพ สิ่งที่คุณทำดีที่สุดหรือยัง? จะเกิดการขายได้หรือไม่
สรุปสำหรับผู้ที่เริ่มต้น ผมเสนอให้ใช้ Fanpage หรือ เว็บสำเร็จรูปนะครับ รวดเร็วและไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ในการเขียนโปรแกรม และที่สำคัญ คือ เว็บสำเร็จรูป มีการจัดการเกี่ยวกับ E-Commerce ครบถ้วนแล้ว และสร้างความน่าเชื่อได้พอสมควร และจะต้องมีงบเริ่มต้นประมาณ 3,000-10,000 บาท แต่ไม่ต้องตกใจไปครับ เพราะไม่ได้จ่ายรวดเดียว และถ้าเราวางแผนดีๆ เราอาจจะใช้กำไรตั้งแต่วันแรกเลยก็เป็นได้ครับ ที่สำคัญเมื่อมีร้านค้าแล้วก็ต้องมีโฆษณาที่ดี โฆษณาที่ดีต้องมีองค์ประกอบที่น่าดึงดูด ได้แก่ หัวข้อที่น่าสนใจ รูปภาพที่ดึงดูด และน่าเชื่อถือ
ขั้นตอนที่ 7 หาลูกค้า
เมื่อมีทุกอย่างครบแล้วขั้นตอนสุดท้ายคือ การหาลูกค้า ธุรกิจจะดำเนินไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับหาลูกค้าได้หรือไม่ ฉะนั้นการปิดการขายได้เร็วที่สุดสำคัญมาก เพราะนั้นคือกำลังใจอย่างดี การหาลูกค้ามีหลากหลายวิธีจะมีการสอนในบทต่อๆไป แต่ก่อนที่เราจะทำอย่างอื่นเราก็ควรตั้งงบในการทำการตลาดก่อน เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราควรเดินตามทางไหน ถ้างบน้อยก็ต้องทำงานเยอะๆ
ขอบคุณบทความจาก คุณกล้วย Attawit Jukrajang
บริการอบรม ให้คำปรึกษาการทำธุรกิจออนไลน์ ฝึกอบรมภายในบริษัท แบบตัวต่อตัว การทำ Content Marketing,การโฆษณา Facebook,การโฆษณา Tiktok,การตลาด Line OA และการทำสินค้าให้คนหาเจอบน Google
บริการดูแลระบบการตลาดออนไลน์ให้ทั้งระบบ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสารความรู้การทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ Add Line id :@taokaemai
รับชมคลิป VDO ความรู้ด้านการตลาด กรณีศึกษาธุรกิจ แหล่งเงินทุนน่าสนใจ ติดตามได้ที่ช่อง Youtube : Taokaemai เพื่อนคู่คิดธุรกิจ SME