จากชีวิตแม่ค้าที่แทบล้มละลายสู่การเป็นแม่ค้าข้าวแกงร้อยล้านที่มียอดขายต่อวันร่วมแสนบาท บทเรียนชีวิตของเจ็จงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

ทุกวันนี้หากพูดถึงชื่อร้านข้าวแกงสัก 1 ร้านเชื่อได้ว่า “หมูทอดเจ๊จง” จะเป็นชื่อหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างแน่นนอน ในฐานะร้านข้าวแกงที่ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งจากยอดขายและจำนวนสาขา แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จนั้นเจ๊จงเคยผ่านวิกฤติถึงขั้นล้มละลายมาแล้ว อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เจ๊จงกลับมายืดหยัดและผงาดเป็นเศรษฐี 100 ล้านได้วันนี้เราจะเจาะลึกกับ “เจ๊จงหมูทอด 100 ล้าน”กัน

จากวิกฤติสู่จุดเริ่มต้น

ย้อนกลับไปในอดีต “เจ๊จง” หรือคุณจงใจ กิจแสวง ไม่ได้เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงมาก่อน เจ๊จงเปิดร้านขายของชำเลี้ยงครอบครัว แต่แล้วด้วยปัญหาบางประการทำให้ร้านชำเจ๊จงต้องปิดตัวลงพร้อมปัญหาหนี้สิน เจ๊จงจึงเปลี่ยนตัวเองมาขายอาหารตามสั่งและบุฟเฟ่ต์ข้าวแกง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีในระดับหนึ่งแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้หนี้

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่ใช่บังเอิญหรือโชคช่วย

วันหนึ่งขณะไปซื้ออาหารเพื่อให้ลูกสาวไปทานที่โรงเรียน หมูทอดราดข้าวที่เจ๊จงซื้อในวันนั้นคือจุดเปลี่ยนสำคัญของเจ๊จงเพราะข้าวหมูทอดราคา 10 บาทแต่ปริมาณภายในมันช่างน้อยนิดด้วยมีหมูบาง ๆประหนึ่งลมพัดก็ปลิว 4 ชิ้นเท่านั้น เจ๊จงจึงหันไปพูดกับลูกสาวว่า “แบบนี้แม่ก็ทำได้” จากคำพูดในวันนั้นคือจุดเริ่มต้นของหมูทอดเจ๊จง อาณาจักรข้าวแกง 100 ล้าน

จากสาขาแรกขยายสู่ 10 สาขา

ปัจจุบันนี้ร้านหมูทอดเจ๊จงไม่ได้มีแค่การขายหมูทอดเพียงอย่างเดียว แต่ได้ขายข้าวแกงซึ่งมีรายการอาหารให้เลือกหลากหลาย และที่สำคัญราคายังถูกจนน่าเหลือเชื่อ เมื่อเทียบกับร้านข้าวแกงประเภทเดียวกัน และคาดว่าในอนาคตร้านหมูทอดเจ๊จงน่าจะมีจำนวนสาขาที่มากกว่าในปัจจุบันอย่างแน่นอน

ความสำเร็จมาจากความใส่ใจ กลยุทธ์ที่เรียบง่ายของเจ๊จง

1.ราคาถูกใจคนซื้อ คนขายก็อยู่ได้

  “ไม่มีใครไม่ชอบของดีราคาถูก” ในช่วงแรกของการทำร้านอาหาร เจ๊จงมองกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่กลุ่มรากหญ้าและแรงงาน เจ๊จงจึงใช้วิธี “ของอร่อยและราคาถูก” แม้กำไรอาจจะไม่มากแต่เนื่องจากใคร ๆก็ชอบของที่ราคาไม่แพง จึงเกิดการบอกต่อ ทำให้ร้านเจ๊จงมีทั้งลูกค้าหน้าเก่าขาประจำผสมกับลูกค้าหน้าใหม่และกลายเป็นขาประจำในที่สุด ร้านหมูทอดเจ๊จงจึงมีลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะช่วงเที่ยงทั้งคนนั่งทาน ทั้งซื้อกลับบ้านต่างต่อคิวเข้าแถวกันยาวเหยียด แม้กระทั่งทุกวันนี้ราคาอาหารของเจ๊จงก็ยังคงถูกกว่าที่อื่นนี่คือกลยุทธืสำคัญของเจ๊จงที่ครองใจลูกค้าอยู่ได้

2.ใส่ใจลูกค้า คิดถึงลูกค้ามาก่อนผลกำไร

            จุดขายสำคัญของเจ๊จงคือ “ความใส่ใจต่อลูกค้า”

วิธีที่เจ๊จงนำมาใช้จนได้ผลดีชนิดที่คาดไม่ถึงก็คือ ทางร้านจะมีบริการตักข้าวเติมผักได้ไม่อั้น เจ๊จงมุ่งหวังเพียงแค่ให้ลูกค้าได้อิ่มท้องแต่ผลลัพธ์กลับดีเกินคาด เพราะเมื่อเจ๊จงให้ใจต่อลูกค้าขนาดนี้มีหรือที่ลูกค้าจะไม่ให้ใจต่อเจ๊จงเป็นการตอบแทน ลูกค้าจึงติดร้านเจ๊จงอันเป็นผลจากใจและความปรารถนาดีต่อผู้อื่นของเจ๊แท้ๆ

3.สร้างความแตกต่างจากตลาด

หมูทอดใคร ๆก็ทำได้ แต่จะทำให้อร่อยหรือไม่นั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แรกเริ่มหมูทอดของเจ๊จงอาจไม่ต่างจากหมูทอดทั่ว ๆไป เจ๊จงจึงพัฒนาสูตรและหันมาใช้หมู 3 ชั้น ทำให้หมูทอดของเจ๊จงแตกต่างไม่เหมือนใครทั้งรสชาติ ความนุ่มของหมู ขณะที่คุณภาพวัตถุดิบก็สำคัญเจ๊จงจะเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพเท่านั้น

4.มองหาตลาดและช่องทางการขายอยู่เสมอ

อยากกินหมูทอดเจ๊จงไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปถึงร้านที่พระราม 4อีกต่อไป ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น เพราะคุณภาพของแต่ละสาขาไม่ต่างกัน นอกจากจะเพิ่มยอดขายด้วยการเปิดสาขาเพิ่ม ในอีกแง่ยังเป็นการกระจายชื่อเสียงของเจ๊จงให้รู้จักในวงกว้างอีกด้วย แต่เดี๋ยวก่อน!! หากคิดว่าการขยายสาขาเป็นคำตอบสุดท้ายของเจ๊ คุณกำลังคิดผิด เพราะเจ๊ล้ำกว่านั้น ยุดนี้มันยุคเดลิเวอรี่และค้าขายออนไลน์ เจ๊จงก็มีบริการสั่งสินค้าทางโทรศัพท์และทางออนไลน์เช่นกัน ต่อไปนี้อยากทานหมูทอดแค่อยู่บ้านก็ได้ทาน นอกจากนนี้เจ๊จงยังใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เจ๊ก็มีเพจร้านเช่นกันนะ และอัพเดตความเคลื่อนไหวบ่อยเสียด้วย

มองเจ๊จงแล้วย้อนมองตัวเอง: บทเรียนที่ SME ควรเรียนรู้

1.คุณภาพคับแก้ว

ร้านหมูทอดเจ๊จงใช่ว่าเพิ่งจะโด่งดังมีชื่อเสียงเพียงแค่ปีสองปี แต่เจ๊จงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากว่า 10 ปี แม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นที่พูดถึงอยู่ คำตอบของการยืนหยัดมาอย่างยาวนานคงไม่พ้นเรื่องของ “คุณภาพ”   นี่คือสิ่งสำคัญที่ SME ต้องใส่ใจ ยิ่งในยุคนี้กระแสโซเชี่ยลไวมาก ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีมันไปเร็ว เป็นวงกว้างและรุนแรงกว่าสมัยก่อน จำไว้เสมอว่าถ้าของคุณมีคุณภาพใคร ๆก็อยากได้ ใคร ๆก็อยากใช้ รักษาคุณภาพเสมือนขวบปีแรกที่ทำแล้วดัง แล้วคุณจะมีที่ยืนในวงการยาวนาน

2.ไหลตามโลก ปรับตัวให้ตามกระแส เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองขาด

ในอดีตมีบทเรียนมากมายถึงความล้มเหลวของร้านดังมาแล้ว เพราะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเจ๊จงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

เพราะเจ๊จงปรับตัวให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยทั้งในการผลิต มีการใช้โซเชี่ยลมาช่วยประชาสัมพันธ์ร้านให้เป็นที่รู้จัก

ขณะเดียวกันเจ๊จงไม่เคยมีความรู้เรื่องการทำธุรกิจเลย เมื่อร้านขยายตัวขึ้น ตัวเจ๊จงเองก็ปรับตัวเรียนรู้ไปพร้อม ๆกับการเติบโตของร้าน นี่คือสิ่งที่น่าเอาอย่างสำหรับ SME ว่าทุกอย่างสามารถเรียนรู้ได้ถ้าตั้งใจที่จะเรียนรู้ และจงไหลไปตามกระแสโลก ผู้ชนะที่แท้จริงไม่ใช่ผู้ที่ต้านกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง แต่คือผู้ที่รู้จักนำการเปลี่ยนแปลงมาเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง

3.ทำอะไรก็ตามให้ใช้ “ใจ” ทำ

นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดหากเราย้อนดูความเป็นมาของเจ๊จง เราจะพบคำว่า “เจ๊จงมีแต่ให้” ความเอาใจใส่ต่อลูกค้าของเจ๊จงแม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ความประทับใจที่ถูกสร้างขึ้นมันตราตรึงและยากจะลบเลือน ประโยคคลาสสิคที่ว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้”ยังคงใช้ได้ในทุกยุคสมัย การจะเริ่มต้นธุรกิจอย่าตั้งโจทย์ที่ว่า “คุณจะได้อะไรจากลูกค้า หรือคุณจะเอากำไรจากลูกค้าเท่าไหร่” ลองตั้งโจทย์ในอีกมุมดูว่า “คุณจะทำอะไรให้ลูกค้าได้บ้าง หรือ ลูกค้าจะได้อะไรจากคุณ”  เชื่อไหมหลายๆธุรกิจที่เริ่มต้นด้วยคำถามนี้ผลสรุปสุดท้ายมัน “รุ่ง” อย่างคาดไม่ถึงครับ

จากชีวิตแม่ค้าที่แทบล้มละลายสู่การเป็นแม่ค้าข้าวแกงร้อยล้านที่มียอดขายต่อวันร่วมแสนบาท บทเรียนชีวิตของเจ็จงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง แนวคิดที่ง่ายๆที่อยากจะทำให้คนอื่นก่อน ทำให้

วันนี้หมูทอดเจ๊จงเข้าไปนั่งในใจของลูกค้าเป็นที่เรียบร้อยและเชื่อว่าจะครองใจคนไปอีกนาน เพราะธุรกิจที่จะยืนหยัดในอนาคตอย่างแท้จริงคือธุรกิจที่คืนประโยชน์สู่สังคมครับ

บทความโดย

ผู้ผ่านรับการฝึกอบรม “ใช้เวลาว่างเขียนบทความสร้างรายได้”

คุณ  นรินทร์พล ตรีรัตน์สกุล

นักกายภาพบำบัด