Google Adwords คือ เครื่องมือการตลาดออนไลน์ (Digital marketing) อย่างหนึ่ง ช่วยดันให้โฆษณาเว็บไซต์ของธุรกิจขึ้นโชว์บนลำดับต้นๆ ในหน้าแรกของ Google

ถ้าหากเราลองค้นหาอะไรสักอย่างใน Google จะพบว่าผลลัพธ์แรก ๆ ที่ขึ้นมา มักจะเห็นคำว่า “โฆษณา” หรือ “Ads” อยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยมสีเขียวเล็ก  ๆ ติดอยู่ทางซ้ายมือ  นี่เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยทำการตลาดของ Google  เพื่อให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย, กลุ่มลูกค้าได้ดีในยุคออนไลน์เช่นนี้  เรียกว่าเป็นการทำโฆษณากับ Google Adwords  (Google Ads)  นั่นเอง

Google Adwords คือ เครื่องมือการตลาดออนไลน์ (Digital marketing) อย่างหนึ่ง ช่วยดันให้โฆษณาเว็บไซต์ของธุรกิจขึ้นโชว์บนลำดับต้นๆ ในหน้าแรกของ Google โดยที่เจ้าของธุรกิจจะต้องจ่ายเงิน เพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา และจะมีการเรียกเก็บค่าโฆษณาตามจำนวนคลิ๊กที่เกิดขึ้นจริง เรียกว่า Cost Per Click (CPC)   ถ้าลูกค้าไม่โดนใจไม่คลิ๊ก ธุรกิจก็ไม่จ่าย ช่องทางนี้มีความโดดเด่น คือ เราสามารถกำหนดเงื่อนไข(แคมเปญ) ของโฆษณาได้เองว่า  อยากให้นำไปแสดงผลที่ไหน (WHERE)  , ใครได้เห็นบ้าง (WHO ) และต้องการจะใช้งบประมาณต่อวันไม่เกินเท่าไหร่ (BUDGET)

ทำไมต้องลงโฆษณา Google Adword (Google Ads)  ?

Google Adword ตอบโจทย์ความต้องการสินค้าของลูกค้ากว่าครึ่งแล้ว !!! การที่ลูกค้าค้นหาสินค้าหรือบริการอะไรบางอย่างแสดงความเขามีความต้องการสินค้านั้นอยู่แล้ว ซึ่งนั่นเท่ากับว่า Demand เกิน 50% ที่เหลือคือ เขาค้นหาเจอใคร ค้นเจอแล้วใช่คำตอบเขาหรือเปล่า

เมื่อค้นหาแล้วเจอสินค้าใดแสดงอันดับต้น ๆ ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะคลิ๊กเข้าไปดูสินค้าค้านั้น หากเราทำ Sale Page ดี โอกาสปิดการขายมีสูงมากยิ่งขึ้น ทว่าหากเขาค้นหาแล้วไม่เจอเราเลย เจอแต่คู่แข่งเท่ากับเรายกลูกค้าให้คู่แข็งไปเลยเช่นกัน

Google Adword จึงจำเป็นทั้งในการแข่งขันกับคู่แข่งเพื่อให้ได้อันดับที่ดี และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้ก่อนใคร

 ข้อดีของการลงโฆษณากับ Google Ads

  • เห็นผลลัพธ์ได้ชั่วข้ามคืน

คือ เมื่อจ่ายเงินซื้อแล้วโฆษณาขึ้นทันที ทำงานอย่างรวดเร็วโดยไม่มีระยะเวลาการรอคอย

  • Google มีเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นที่เป็นพันธมิตรครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ของโลก สามารถเข้าถึงทุกพื้นที่ ทุกสถานการณ์
  • รองรับโฆษณาในทุกรูปแบบอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ Ipad  โน๊ตบุ๊ค หรือมือถือ
  • เข้าถึง และเจาะกลุ่มลูกค้าได้ชัดเจน

Google Ads สามารถยิงโฆษณาให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ระบุพื้นที่ อายุ เพศ ความสนใจได้อีกต่างหาก จึงค่อนข้างมั่นใจได้ว่า โฆษณาจะเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นลูกค้าได้แน่นอน

  • สามารถกำหนดงบประมาณได้

อีกทั้งยัง เพิ่มปรับแต่งลูกเล่นโฆษณา, ปรับแต่ง Keyword ได้ตลอดเวลาตามความต้องการของธุรกิจ

  • วัดผลทางตัวเลขได้ รู้ถึงประสิทธิภาพ

ข้อดีข้อนี้ ถือว่าได้เปรียบมากเมื่อเทียบกับการลงโฆษณาในรูปแบบอื่น ๆ  เพราะทำให้รู้ว่า โฆษณาที่มีนั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน โดนใจ ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้หรือไม่ ถ้าไม่โดนใจ สามารถทำการปรับปรุงได้อย่างทันที

  • รองรับแผนการตลาดในทุกรูปแบบ

Google Ads มีแพลตฟอร์มโฆษณาหลายประเภท เพื่อให้แคมเปญของธุรกิจบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้

พื้นที่โฆษณาที่ใช้ Google Ads จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

  • Search Result หมายถึง การขึ้นโฆษณาบนหน้าผลลัพธ์ที่ได้จาก การค้นหาของ Google  อยู่ในหน้า Google เลยจะอยู่ 1-3 อันดับแรก และ ด้านขวาของจอเป็นส่วนใหญ่
  • Display Network หมายถึง การขึ้นโฆษณาบนเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับเว็บไซต์ของธุรกิจเรา อาจเรียกได้ว่า เป็นเว็บไซต์พันธมิตรของ Google ( Google Partner Sites) ก็ได้

ลงโฆษณา Google Adword อย่างไรให้ยอดขาย ?

ใครรู้ความต้องการกลุ่มเป้าหมายที่สุดคนนั้นชนะ !!! นั่นเท่ากับว่าเราต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการสินค้าเราด้วย “คำค้นหา” หรือ “Keyword” อะไร

Keyword เป็นคำที่สะท้อนถึงความต้องการของคน หากสามารถหาคำที่ดีและเหมาะสมมาได้ จะทำให้เว็บไซต์ได้รับ Traffic จากคนที่สนใจสินค้า – บริการธุรกิจของเราจริง ๆ เป็นโอกาสในการสร้าง Traffic  ที่มีคุณภาพและตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งทุกธุรกิจกำลังมองหาสิ่งนี้

Keyword ที่ดี สามารถช่วยทำการตลาดให้กับธุรกิจได้จริง คล้ายมนต์สะกดให้ลูกค้าเดินเข้ามาหา เมื่อเข้ามาแล้ว ยิ่งพบกับสินค้าและถูกใจการบริการ ก็จะยิ่งนำมาซึ่งรายได้ที่ดีให้กับธุรกิจของเรา

Keyword หรือคำค้นหาก   มี  3 ประเภท คือ

  • Seed keyword  

เป็นคำแบบกว้าง ๆ ทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจง มีการใช้ค้นหาสูง แต่อาจยังไม่ใช่ Keyword  ที่ดี ที่ตรงเท่าไรนัก

  • Niche keyword

เป็น keyword  ที่ประกอบด้วยคำมากกว่า 1 คำ มีการเพิ่มรายละเอียดลงไป จนกลายเป็นวลีที่มีความเฉพาะเจาะจง แต่ก็ยังมีลักษณะเป็นภาพรวมของสินค้า

  • Niche longtail keyword

ถือเป็น keyword สร้างรายได้ ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง ระบุรายละเอียดชัดเจน ธุรกิจควรให้ความสนใจ keyword  นี้เป็นพิเศษ เพราะเป็นคำที่ถูกค้นหาโดยคนที่สนใจในสินค้าและบริการของเราจริงๆ 

การหา keyword ที่เหมาะสม ต้องมีลักษณะ 5 อย่าง

  1. มีความสอดคล้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์มากที่สุด

ความสอดคล้องของ “คำค้นหา” ในเนื้อหาของเว็บจะทำให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพในเรื่องเหล่านั้น จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น

  1. สะท้อนความต้องการทางการตลาด

ส่วนใหญ่แล้วมักจะปรากฏชื่อหรือชนิดของสินค้ารวมอยู่ด้วย หรืออาจมีคำที่บ่งบอกเกี่ยวกับการซื้อ – ขาย เช่น ราคาส่ง, นำเข้า, มือสอง เป็นต้น

  1. มีความเฉพาะเจาะจงกับสินค้า

ถึงแม้ Longtail keyword จะทำให้ได้ผลลัพธ์การค้นหาที่น้อยกว่า แต่มันช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสพบกับกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจสินค้าจริง ๆ มากกว่า  และ keyword นั้น ก็ควรเป็นต้องเป็นคำที่มีคนใช้ในระดับหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงเกินไป จนไม่มีใครใช้ค้นหาใน Google

  1. มีปริมาณการค้นหา (search volume ) มาก แต่ผลการค้นหายังไม่มากจนเกินไป

แนะนำว่า ปริมาณ search volume รายเดือนโดยเฉลี่ย ควรมีปริมาณหลายพันหรือหลักหมื่นขึ้นไป ซึ่งการหาปริมาณ search volume ซึ่งเราสามารถเช็คปริมาณการค้นหาได้จาก Google Keyword Planner   แต่ถ้าปริมาณ search volume ที่มากมาย เป็นหลักแสน – หลักล้าน  มันก็มากเกินไป แสดงว่า เป็นคำที่กว้างและแข่งขันสูงเกินไปแล้วนั่นเอง

  1. เป็นคำที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้จริง

เป็นความต้องการจริงๆ ของกลุ่มเป้าหมาย ในบางครั้งคำนั้นอาจจะมีการสะกดผิดบ้างก็มี เช่น ซือรองท้าววิ่ง ,ซื้อกาเกงยืนมือสอง เป็นต้น ทั้งนี้เราต้องเลือกคำค้นหาให้ครอบคลุมคำเหล่านี้ด้วย จะทำให้โอกาสเพิ่มยอดขายได้

keyword ถือเป็นหัวใจสำคัญอีกอย่างในการทำเว็บไซต์ หากหาได้ถูกใจ เสมือนมีเทพีแห่งโชคลาภ & สาลิกาลิ้นทอง เชิญชวนลูกค้าเข้ามาในร้านไม่ขาดสาย สามารถช่วยดันยอดขายรายได้เพิ่มขึ้นอย่างกับก้าวกระโดด

ลงโฆษณา Google Adword เตรียมงบเท่าไหร่ดี ?

Google Adwords จะใช้วิธีประมูลในการซื้อโฆษณา (BID)   ใครที่ให้ราคาสูงสุดถือว่าได้สิทธิโฆษณาก่อน (อยู่หน้าแรก อันดับบน ๆ)   ถ้าจ่ายได้ไหวก็ได้ไปต่อ คล้ายกับเป็นป๋าสายเปย์ โดยการจัดอันดับของโฆษณาขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย เช่น Maximum Bid (ราคาที่เรายอมจ่ายสูงสุดต่อคลิก)  และ Quality Score (คุณภาพของโฆษณา) ซึ่งราคาต่อคลิ๊กนั้น มีได้ตั้งแต่ไม่กี่บาทจนไปถึงหลายสิบบาท อาจถึงหลักร้อยในบาง keyword  ขึ้นอยู่ที่ว่า keyword ที่ซื้อมานั้น มีการแข่งขันดุเดือดมากน้อยแค่ไหน

ราคาของ keyword ที่แตกต่างกัน จะขึ้นอยู่กับอะไร ?

  • จำนวนคู่แข่ง มีเท่าใดมากแค่ไหน

คู่แข่งมาก ราคาย่อมสูงขึ้นเป็นธรรมดา คือ ถ้ามีคนทำธุรกิจประเภทเดียวกับเราจำนวนมาก มีคนหาคำนี้กันมากบน Google ก็จะยิ่งส่งผลให้ราคาต่อคลิ๊กสูงขึ้นไปโดยปริยาย  บาง keyword อาจมีราคาต่อคลิ๊ก (Cost per Click) สูงถึงหลักร้อยบาทได้

  • ประเทศและตำแหน่งที่ตั้ง

ต่างประเทศ และต่างตำแหน่ง ถึงแม้ keyword เดียวกัน แต่ราคาก็ย่อมแตกต่างกันด้วย  เพราะถือเป็นความต้องการในแต่ละท้องที่ ที่ไม่เหมือนกัน

  • คะแนนคุณภาพโฆษณา ( Quality Score )        การเพิ่มคะแนน Quality Score ทำได้ง่าย ๆ  คือ  ธุรกิจต้องสร้างโฆษณาที่ดี ตรงกลุ่มเป้าหมาย น่าสนใจ

และปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ยิ่งขึ้น เพียงเท่านี้ Quality Score ของคุณก็สูงขึ้นได้

ลงโฆษณากับ Google ใช้งบประมาณเท่าไหร่ดี ?

ค่าใช้จ่ายต่อคลิก (Cost per Click)  ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ในการทำแคมเปญโฆษณาออนไลน์ เพราะการมีค่าใช้จ่ายต่อคลิ๊กสูงนั้น หมายถึง ธุรกิจต้องจ่ายเงินมากกว่าคู่แข่งในการหาที่จะหาลูกค้าเข้ามาในร้าน

งบประมาณต่อเดือนที่เหมาะกับการทำโฆษณา  ประมาณ 10-15% ของยอดขายที่ต้องการ ถือเป็นงบประมาณที่เหมาะสม   แคมเปญโฆษณาจะเป็นตัวที่คอยคุมเงินทั้งหมด รวมไปถึงกำหนดระยะเวลาในการโฆษณาด้วย  และสิ่งที่ต้องระวัง คือ หากธุรกิจมีโฆษณาหลายตัวใน Campaign เดียวกัน อาจทำให้เกิดการแย่งกันใช้เงินได้  ฉะนั้น ธุรกิจต้องวางแผนให้ดีในการทำการตลาดออนไลน์

Google Adwords นั้นถือเป็นกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายที่มีต้องมีการลงทุน การที่มีคนมา “คลิ๊ก” โฆษณาของธุรกิจเพิ่มขึ้นนั้น ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี แปลว่ากำลังมีคนให้ความสนใจในตัวสินค้าและการบริการของเรา ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น

การทำ Google Adword เป็นการ Booth up สินค้าในตอนเริ่มต้นเพราะสินค้าเรายังไม่เป็นที่รู้จัก การโฆษณาจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก นอกจากการลงโฆษณา Google Adword แล้ว เราต้องวางแผนระยะยาวในการทำให้สินค้าหรือบริการค้นหาเจอบน Google นั่นคือต้องมีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ด้วยเช่นกัน ทำทั้งสองอย่างขนานกันไป แล้วกำไรธุรกิจจะค่อย ๆ คืนกลับมา ธุรกิจก็จะเติบโตอย่างยั่งยืน