บิลล์ เกตส์  เจ้าพ่อวงการคอมพิวเตอร์ ผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร และหัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ บริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชัน ซึ่งเขากับผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ได้ร่วมกันเขียนต้นแบบของภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรกๆ  และ บิลล์ เกตส์  ยังถูกนิตยสารฟอร์บส์ จัดอันดับให้เขาเป็นอภิมาหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกัน

 

บิลล์ เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน บิดาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ ซึ่งมีอาชีพนักกฎหมาย  มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway  เกตส์มีชื่อเต็มคือ “วิลเลียม  เฮนรี เกตส์ ที่สาม”  ในอดีตเกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล  และที่นี่ทำให้เขาได้พัฒนาทักษะในเรื่องของการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิว เตอร์ที่มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเดิม เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท เคยแอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน และเมื่อทั้งคู่ถูกจับได้ ทำให้ต้องเจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดการหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักศึกษาได้ใช้คอมฯฟรี

 

ต่อมา บิลล์ เกตส์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ เพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1 แต่เกตส์กลับต้องพักการเรียนไปโดยไม่ยอมเรียนให้จบการศึกษา ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาต้องการเริ่มประกอบอาชีพเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์  โดยมีสตีฟเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และยังได้ร่วมกับ พอล อัลเลน เพื่อเขียนต้นแบบ ภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นโปรแกรมอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จทางการค้าในกลางคริสตทศวรรษที่ 70 โดยเป็นการได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาษาเบสิกซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย และถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยดาร์ทเมาท์คอลเลจ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน   เกตส์ได้สมรสกับ เมลินดา เฟร้นช์ ในปี 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสามคน คือ เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์ ,โรรี จอห์น เกตส์ และ ฟีบี อาเดล เกตส์   ทั้งนี้เขายังได้สร้างมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์  โดยยึดแนวทางจากมูลนิธิ แอนดรูว์ คาร์เนกี  และจอห์น ดี. รอกกีเฟลเลอร์  ซึ่งทำให้มูลนิธิของเขาได้มีโอกาสช่วยลดปัญหาโรคภัยไข้เจ็บในประเทศยากจน อย่างการสนับสนุนการวิจัยเพื่อผลิตยาและวัคซีนป้องกันโรคระบาดในทวีปแอฟริกา และยังเป็นสปอน

เซอร์หลักให้โครงการขจัดโปลิโอขององค์การอนามัยโลก,ช่วยเหลือเด็กที่เรียนเก่งและเป็นคนดี เพื่อให้มีโอกาสได้เรียนต่อ, บริจาคเงินจำนวน 210 ล้านดอลลาร์เพื่อก่อตั้ง กองทุนเพื่อการศึกษาเกตส์เคมบริดจ์ สำหรับแจกทุนการศึกษาแบบให้เปล่าปีละ 200  เป็นทุนแก่นักศึกษาทั่วโลก

 

บิลล์ เกตส์ ติดอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกของนิตยสารฟอร์บส์ ในปี ค.ศ. 1996 และระหว่างปี ค.ศ. 1998-2005 ซึ่งจากการจัดอันดับดังกล่าวทำให้ในปี ค.ศ. 2006 เขามีทรัพย์สินกว่า 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ยังครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ต่อมาทรัพย์สินของเกตส์เริ่มลดลงเพราะหุ้นของไมโครซอฟท์มีราคาลดลง รวมถึงเขาได้บริจาคเงินในจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ให้องค์กรการกุศลของเขา และแม้เขาจะมีรายได้ลดลงในปีค.ศ. 2004 เกตส์ยังได้บริจาคเงินรวมกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับองค์กรการกุศลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอีกด้วย ล่าสุดนิตยสารฟอร์บส์ได้เผยผลการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2559  ปรากฏว่านายบิล เกตส์ (Bill Gates) ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลกได้กลับมาครองอันดับที่ 1 อีกครั้ง  และแม้ประวัติของ บิลล์ เกตส์  เจ้าพ่อแห่งวงการไอที อภิมหาเศรษฐีระดับโลกจะดูไม่หวือหวา ธรรมดาแบบเรียบง่ายแต่ใครจะรู้ว่าแนวคิดและการทำงานของเขากลับทำให้ชาวโลกต่างยึดมาเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตอีกด้วย

 

15 แนวคิด บิลล์ เกตส์  สุดยอดเจ้าพ่อไมโครซอฟท์ อภิมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก

 

1.โลกมักจะคาดหวังกับ“ความสำเร็จ” ที่เกิดจากความมั่นใจ

เกตส์มักจะกล่าวว่า หากสามารถหยุดคาดหวังสิ่งที่คิดว่า “สมควรได้” ได้ นั่นล่ะจะทำให้คุณสามารถก้าวไปข้างหน้าได้  แต่ไม่ได้หมายความว่าให้นั่งเฉยๆ เพียงแค่รอที่จะได้มันมา แต่จะต้องเรียนรู้กับสถานการณ์ที่น่ารังเกียจที่เกิดขึ้น ให้ได้ และหาโอกาสที่ดีสำหรับความพากเพียรของตัวเอง เพราะโลกไม่ได้สนใจหรอกว่าคุณจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่โลกจะคาดหวัง “ความสำเร็จ” ที่เกิดจากความมั่นใจของคุณมากกว่า

 

2.หากไม่เคยพยายามก็อาจจะมีแต่ความล้มเหลว

ไม่มีใครแคร์ว่าคุณจะรู้สึกดีกับตัวเองแค่ไหน อย่างไร แต่พวกเขาต้องการเห็นคุณประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างให้ได้ก่อน คุณจึงจะสามารถก้าวไปสู่จุดที่ใครๆ มองเห็นได้  เริ่มต้นวันนี้เลยสิ  หากไม่เคยพยายามก็อาจจะมีแต่ความล้มเหลวเท่านั้น เพราะไม่มีทางที่คุณจะทำเงินได้ปีละเกือบ 2 ล้านบาท (60,000 เหรียญ) ทันทีที่คุณเพิ่งจบมัธยม และก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นประธานบริษัท พร้อมรถประจำตำแหน่งอีกด้วย

 

3.สิ่งที่สำคัญคือการระมัดระวังบทเรียนของความล้มเหลว

บางทีคุณอาจจะคิดว่าช่วงเวลาเรียน อาจารย์ช่างโหดมากมาย  เกสต์บอกว่า “อย่าพึ่งคิดว่า อาจารย์ของคุณโหด รอจนกว่าจะมีเจ้านายซักคนซะก่อน  แล้วจะรู้ว่าใครกันแน่ที่โหดกว่า ! เพราะมันอาจจะเป็นสิบเท่าของที่โรงเรียน ซึ่งเจ้านายของคุณอาจจะรอเรียกคนอื่นเข้าทำงานแทนคุณได้ทันที  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าให้คุณกลัวหรือท้อจากการทำงาน เพียงแต่ให้เตรียมพร้อมกับการรับมือสิ่งที่ยากกว่าเท่านั้น แล้วคุณจะรู้ว่าอะไรน่าเหนื่อยอ่อนกว่ากัน  แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการระมัดระวังบทเรียนของความล้มเหลว

4.เลิกคร่ำครวญให้กับสิ่งที่ทำพลาดไปแล้ว   

จงเรียนรู้จากชีวิตที่ยุ่งเหยิงของคุณ และเลิกคร่ำครวญกับสิ่งที่ทำพลาดไปแล้ว และอย่าโทษพ่อแม่ที่ทำให้คุณเกิดมาซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของพวกท่าน อย่าลืมว่าพ่อแม่ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่คุณรู้สึกตอนนี้ หากแต่พวกท่านต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูคุณและครอบครัวตั้งแต่คุณยังไม่เกิด สิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วจงเอามันมาเป็นบทเรียน

 

5.ทำความเคยชินกับชีวิตแห่งความเป็นจริงให้มากที่สุด

ชีวิตมักไม่มีความยุติธรรม ให้ทำความเคยชินกับมันดีกว่า แม้บางคนอาจจะฉลาดมาก ทำงานหนักมาก แต่อาจไม่ได้เกรด A หรือเลื่อนขั้นทำงาน เพราะชีวิตไม่ได้แบ่งเป็นภาคการเรียน และไม่ได้มีช่วงซัมเมอร์ให้คุณได้ค้นหาตัวตน แต่คุณสามารถค้นหาตัวเองได้ตลอดเวลา เพราะคนเรามักจะประเมินค่าตัวเองไว้สูงในการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอีกปีสองปี แต่มักจะประมาทกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบปี จงอย่าไว้ใจในความเกียจคร้านของตนเอง

 

6.ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญของความสำเร็จ

หากคุณไม่สามารถทำทุกอย่างให้มันให้ดีได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังหมายถึงว่า คุณยังมีความอดทนที่จะทำให้มันดูดี และจงสนุกสนานให้เต็มที่กับทุกช่วงเวลาที่คุณสามารถทำได้  แม้ว่าการเรียนที่ผ่านมาจะดูน่าเบื่อและรู้สึกเหมือนโดนกดดันแค่ไหน แต่วันหนึ่งคุณจะได้รู้ว่าการเป็นเด็กนั้นมหัศจรรย์แค่ไหน เพราะต้องอดทนหลายอย่าง ซึ่งคุณควรจะเริ่มสนุกกับชีวิตตั้งแต่ตอนนี้

 

7.ออกไปหาโอกาสต่างๆ แม้จะเป็นแค่การทอดเบอร์เกอร์

การทอดเบอร์เกอร์ไม่ใช่เรื่องเสียเกียรติ  เพราะคุณปู่คุณย่าก็เคยทอดเบอร์เกอร์มาแล้ว ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า”โอกาส” ซึ่งเกสต์บอกว่า ทิ้งความเย่อหยิ่งไปให้หมดและควรออกไปหาโอกาสต่างๆ  เพราะแม้แต่คนที่รวยที่สุดในโลกเขาก็ยังเคยเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์มาก่อน

 

8.อย่าลืมว่าโอกาสมีเพียงแค่ครั้งเดียว

การรักษาหรือแก้ไขสิ่งที่ทำอยู่ หากไม่มีการป้องกันไม่ให้มันเกิดซ้ำ ก็จะเป็นอะไรที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งในโรงเรียนคุณจะสอบกี่ครั้งก็ได้จนกว่าคุณจะได้คะแนนที่น่าพอใจ เพราะชีวิตจริงไม่เหมือนในโรงเรียนที่ไม่มีวันหยุดหรือปิดเทอม แต่ชีวิตจริงของคุณอาจมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งการทำอนาคตให้มั่นคงมันคือการลงทุนในผู้ยากไร้ แต่ไม่ใช่การปล่อยให้เขาหิวโหยต่อไป

 

9.การลดทอนความไม่เสมอภาค คือความสำเร็จสูงสุดของมนุษย์

บิล เกตส์ เคยกล่าวว่า “เขาออกจากฮาร์วาร์ดโดยที่ไม่เคยตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมกันของโลกอันโหดร้ายใบนี้ ซึ่งมีทั้งความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ ทรัพย์สินเงินทองและโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน และยังสร้างความกดดันให้คนอีกหลายล้านชีวิตต้องอยู่อย่างสิ้นหวัง แต่เขากลับได้ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งทำให้เขาได้รับพลังอันยิ่งใหญ่จนสามารถสร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การค้นพบความก้าวหน้า หากแต่อยู่ที่การนำสิ่งที่ค้นพบไปช่วยลดช่องว่างของความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งการลดทอนความไม่เสมอภาคคือความสำเร็จสูงสุดของมนุษย์นั่นเอง

 

10.การได้รับอะไรไปจากโลกมาก ๆ โลกก็คาดหวังว่าได้คืนเช่นกัน

ตั้งแต่เปิดตัวไมโครซอฟต์  บิลล์ เกตส์ อุทิศชีวิตให้การทำงาน และสนุกสนานกับการดำรงตำแหน่งซีอีโอพร้อมกับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายสถาปัตยกรรมโปรแกรม แต่ไม่เคยคิดเรื่องทำการกุศล เมื่อมีโอกาสเข้าพบ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจประกันภัยข้ามชาติ Berkshire Hathaway ซึ่งการสนทนายาวถึง 10 ชั่วโมง ส่งผลให้ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนซี้กัน บัฟเฟตต์ตรึงใจ เกสต์ด้วยความเป็นคนติดดิน ตลก และชอบทำการกุศล  มหาเศรษฐีรุ่นพี่ผู้นี้กลายเป็นผู้จุดประกายให้เขาหันมาสนใจเรื่องการกุศลอย่างจริงจัง ทำให้เขาเข้าใจว่า “ใครก็ตามที่ได้รับอะไรจากโลกไปมาก  โลกก็คาดหวังว่าเราควรจะให้คืนกลับไปให้ในอัตราที่ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน”

 

11.เพราะทุกชีวิตมีคุณค่าเท่ากัน

บิลล์ เกสต์เคยเดินทางไปพูดคุยกับเด็กนักเรียนทั่วสหรัฐ เพื่อเป็นการสร้างความกระตือรือร้นให้กับคนรุ่นใหม่ใช้พลังในทางสร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหาของโลกแต่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง เป็นการทำเพื่อคนอื่น และอยากให้ผู้คนพูดถึงปัญหาความยากจน  โรคร้ายและภาวะโลกร้อน โดยจะต้องปลูกฝังเรื่องเหล่านี้ให้เข้าไปอยู่ในสายเลือดตั้งแต่ยังเด็ก และเพื่อเป็นการยึดแนวทางของการทำมูลนิธิ แอนดรูว์ คาร์เนกี  และจอห์น ดี. รอกกีเฟลเลอร์ ทำให้เขาได้สร้างมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์  จากต้น แบบทั้งสองด้วยแนวคิดที่ว่า “เพราะทุกชีวิตมีคุณค่าเท่ากัน”

 

12.ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากความร่ำรวย

มหาเศรษฐีระดับโลกอย่างบิลล์ เกสต์ แม้จะมีทรัพย์สินเงินทองเป็นแสนๆ ล้าน แต่กลับค้นพบว่า การเก็บกอดความสำเร็จและความร่ำรวยไว้กับตัวเอง กลับไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง หากแต่การแบ่งปันให้ผู้อื่นต่างหากคือคำตอบ จงปรับชีวิตของคุณแล้วจงเปลี่ยนแปลงมัน เพราะไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบ จะต้องเรียนรู้ในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตว่าจะทำอย่างไรชีวิตจะดำเนินไปสู่ความสำเร็จ คุณจะต้องจัดการและลงมือทำด้วยชีวิตของคุณเอง ซึ่งความสำเร็จคือสภาวะชีวิตที่สูงสุดและสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และทัศนคติได้ดี

 

13.พึ่งคนอื่นเท่าใด คุณก็จะสูญเสียความเป็นตัวของคุณเอง

ควรลงมือทำทุกอย่างด้วยตนเอง  เพราะในโลกนี้คุณมีสิ่งที่ต้องทำด้วยตัวของคุณเอง หากคุณยังพึ่งพาคนอื่นเท่าใด คุณก็จะสูญเสียความเป็นตัวของคุณเอง ทำในสิ่งที่คุณคาดว่าจะทำเมื่อคุณจะปกป้องการพึ่งพาคนอื่น ความสำเร็จก็จะเป็นของคุณ โลกที่แท้จริงคุณคือการออกไปทำงานให้เกิดผลงานออกมา

 

14.ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีผลสำเร็จ

ความสำเร็จไม่เคยได้มาแบบอัตโนมัติ  คุณจำเป็นต้องหาแรงแห่งความปรารถนาของคุณเพราะไม่มีความเจ็บปวด ก็อาจไม่มีผลสำเร็จ ไม่พยายามคุณก็จะไม่มีทางได้เห็นสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ข้างหน้า หากคุณไม่ใช้ความพยายามหามา อย่าคิดว่าความสำเร็จจะลอยมาจากสวรรค์ โดยปราศจากการทำงานหนักแล้ว ความสำเร็จอาจมาจากการก้าวไปทีละน้อยทุก ๆวัน เพื่อผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

 

15.เรียนรู้ข้อผิดพลาด

บิลล์ เกตส์ บอกว่าเราจำเป็นต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพราะทุกคนมีโอกาสผิดพลาดซึ่งคงไม่มีใครสมบูรณ์แบบในโลกนี้ หากคุณเคยผิดพลาดจะต้องเรียนรู้จากมัน เพื่อไม่ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพียงเท่านี้คุณก็สามารถปรับปรุงตนเองไปสู่ความสำเร็จที่สูงกว่าได้แล้ว และกฎทองคำของชีวิตคือ จงทำดีกับทุกคนที่ล้อมรอบคุณ ก็จะทำให้ทุกคนหันมาทำดีกับคุณ ซึ่งหากคุณต้องการความร่ำรวย จงทำให้คนอื่นรวยก่อน และคุณต้องปฏิบัติตามกฎนี้เพื่อความสำเร็จ

 

ไม่เพียงแต่แนวคิดของบิลล์ เก็ตส์ จะเป็นแนวคิดที่ให้กับตัวเองแล้ว ในทุกๆ นาทีของเขามีค่ามากเสมอ ซึ่งเขามักจะบอกทุกครั้งว่าสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนเท่านั้น   หากคุณต้องการประสบความสำเร็จให้ได้จะต้องรู้จักเปิดมุมมองของความคิดให้กว้างและใช้เวลาให้มีประโยชน์ที่สุด ซึ่งมันไม่ใช่แค่นอนกอดทรัพย์สินอย่างเดียว เพียงแค่นี้คุณก็จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นแล้ว.