ในยุคที่สื่อออนไลน์เฟื่องฟู ตลาดสุขภาพสุขภาพและความงามเป็น Mega trend ของตลาด ใครๆ ก็จับจ้องตาเป็นมันที่จะกระโดดเข้ามาเล่นตลาดนี้

มีดารา นักร้อง เซเลป มากมายลงมาทำธุรกิจนี้เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง อาหารเสริมมีให้เห็นกันเต็มหน้า Timeline เลยทีเดียวเรียกว่ากระแสตลาดนี้นี่มัน “เล่นกันสนุกจริง ๆ”

นอกจาก SMEs ตัวเล็กตัวน้อย (ผมหมายรวมดารา เซเลป ด้วยนะ) ยังมีบริษัทระดับมหาชนหลายรายที่เติบโตจากธุรกิจทางด้านนี้ ทั้งที่เพิ่งเข้าตลาด มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อยู่ก่อนแล้ว ก็ยังมี “ผู้เล่นหน้าใหม่” ที่กระโดดเข้ามากินส่วนแบ่งทางการตลาดในวงการสุขภาพแลความงาม

RS เป็นบริษัททางด้านบันเทิงที่พึ่งประกาศเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเป็นธุรกิจทางด้านสุขภาพและความงามที่ได้รับเสียงฮือฮา ตอบรับมากโข คงเป็นเหตุเพราะเมื่อปีที่แล้ว (2560) รายได้จากธุรกิจสุขภาพและความงามนั้นสูงถึง 1,400 ล้านเลยทีเดียว

โอ้แม่เจ้า !!!! อย่างนี้ผมว่าเราน่าจะมาลองศึกษารูปแบบธุรกิจของ RS กันสักหน่อยแล้วหละครับ เป็นมาอย่างไรจึงได้ก้าวมาสู่ตลาดนี้ และ ทำอย่างไรทำให้มีรายได้มากมายขนาดนั้น แล้ว SMEs อย่างเรา ๆ จะนำกรณีศึกษานี้มาปรับใช้กับธุรกิจได้อย่างไร มาดูกันเลยละกันครับ

 

ปัจจุบัน RS มีไลน์ธุรกิจทั้งหมดแบ่งได้ 4 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 กลุ่มธุรกิจสื่อ แบ่งได้เป็น กลุ่มธุรกิจสื่อโทรทัศน์และกลุ่มวิทยุ

กลุ่มธุรกิจสื่อโทรทัศน์ มีดังนี้

-ทีวีดิจิตอลจำนวน 1 ช่อง คือ ช่อง 8

-ทีวีดาวเทียมจำนวน 3 ช่อง คือ ช่อง 2 ช่องสบายดีทีวี และ ช่อง YOU Channel

กลุ่มสถานีวิทยุมีดังนี้

-สถานีวิทยุ 1 คลื่น คือ F.M. 93.0 MHz ภายใต้แบรนด์ COOLfahrenheit 93

กลุ่มที่ 2 กลุ่มธุรกิจเพลง

-บมจ RS ดำเนินธุรกิจดูแลธุรกิจเกี่ยวกับ เพลงครบวงจร

-บจ.จัดเก็บลิขสิทธิ์ไทย ดำเนินธุรกิจลิขสิทธิ์เพลงของ RS

กลุ่มที่ 3 กลุ่มรับจ้างและผลิตกิจกรรม

-บริษัทอาร์อัลไลแอนซ์ดำเนินธุรกิจรับจ้างจัดกิจกรรม
-บริษัทย๊าคจำกัดดำเนินธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์
-บริษัทบันเทิงวาไรตี้ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์

กลุ่มที่ 4 กลุ่มธุรกิจสุขภาพและความงาม (กลุ่มธุรกิจล่าสุด)

-บริษัท Lifestar ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับธุรกิจสุขภาพและความงาม

กลุ่มธุรกิจล่าสุดของ RS เป็นกลุ่มธุรกิจนี้แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมของ RS เลย นั้นทำให้เกิดคำถามว่า RS คิดอย่างไรเราลองมาหาคำตอบกัน

จุดเริ่มต้นจากสายบันเทิง สู่เวทีสุขภาพและความงาม

Rs เริ่มธุรกิจตัวเองจากการเป็นค่ายเพลงในที่เริ่มในยุค  80 สร้างจากเริ่มขายเทปเพลงจนมาถึงปัจจุบัน RS ได้ขยายธุรกิจจากค่ายเพลงมาออกมาเป็น สื่อโทรทัศน์วิทยุ จนมีช่องทีวีเป็นของตัวเอง รับจ้างผลิตกิจกรรม และล่าสุด ทางผู้บริหารคือคุณ“สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เห็นลู่ทางในการทำธุรกิจใหม่ที่ออกจะแตกต่างจากธุรกิจเดิมที่ RS ได้ทำมาคือการเพิ่มธุรกิจสุขภาพและความงาม

โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2557  เริ่มจากที่ทาง RS ได้สังเกตเห็นว่ามีลูกค้าที่ผลิตเครื่องสำอางสนใจซื้อโฆษณาในช่องของ RS เป็นลูกค้าระดับกลาง โดยเฉพาะเจาะจงเป็นกลุ่มเครื่องสำอางประเภท สกินแคร์ เฮลท์แคร์  ได้โดยมีแนวโน้มไปได้ดีตลาดของกลุ่มนี้โตขึ้น 6-8 เปอร์เซ็นต์ทุกปี เป็นเทรนด์ที่ทุกคนสนใจ ระหว่างธุรกิจที่ไม่โตกับธุรกิจที่มีโอกาสโต RS เลือกที่จะก้าวออกไปสู่เส้นทางใหม่แต่ RS ทำอย่างไรถึงจะเอาชนะคู่แข็งในตลาดเครื่องสำอางและสุขภาพ RS โฟกัสไปที่สินค้าที่มี  “นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่แตกต่าง เป็นของใหม่ไม่เหมือนใคร ที่สำคัญคือมีประสิทธิ์ภาพสูง”

สินค้าเริ่มแรกเป็นเพียงเซรั่มเพียงตัวเดียวจนมาถึงปัจจุบันผ่านไป 3ปี ตอนนี้ RS มีผลิตภัณฑ์มากมายหลายแบบโดยมีอยู่ในนามของ Lifestar โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin Care) ภายใต้แบรนด์ “มาจีค” (Magique) ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม (HairCare) ภายใต้แบรนด์“รีไวฟ์”(Revive) และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Food Supplement)

 

กลยุทธ์ที่นำไปสู่ความสำเร็จ

1.วิธีการนำเสนอสินค้า

ปัจจุบัน RS ใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อของบริษัทฯตัวเองโดยลงในช่อง 8 ช่อง 2 และช่องสบายดีทีวี รวมถึงการโฆษณาในช่องโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมในระดับสูงและการโฆษณาผ่านบิลบอร์ดทั่วประเทศ เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

2.พรีเซ็นเตอร์ที่เหมาะกับสินค้า

การเลือกเอาดารามาเป็นคนนำเสนอสินค้าได้อย่างเหมาะสม และพรีเซ็นเตอร์ต้องใช้จริง และมีความรู้สึกอินกับสินค้าด้วย  ทำให้การนำเสนอต่อลูกค้ารู้สึกได้ว่าไม่เสแสร้ง

3.นวัตกรรม

สินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ มีความแตกต่าง และมีประสิทธิ์ภาพสูง โดย RS ใหม่ความสำคัญของนวัตกรรมสินค้าโดยมีฝ่ายวิจัยและพัฒนาสินค้าเป็นของตัวเองเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆสำหรับตอบโจทย์ลูกค้าต่อไปในอนาคต

4.ช่องทางการขาย RS

เพิ่มช่องทางการขายจากเดิมที่ธุรกิจนี้มีแค่ระบบขายตรงเป็นระบบหลัก แต่ RS เพิ่ม ช่องทาง Telesales ช่องทางห้างโมเดิร์นเทรด และช่องทางออนไลน์ เป็นการเพิ่มช่องทางให้แก่ลูกค้าได้เลือกช่องทางที่ตัวเองชอบ

 

บทเรียนที่ SMEs ควรนำมาประยุกต์ใช้

            1.ยอมรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา

องค์กรมหาชนขนาดใหญ่แม้จะเป็นประเภทใหญ่อุ้ยอ้าย แต่ก็ไม่ยอมให้ความใหญ่เทอะทะนั้นมาทำลายธุรกิจตัวเองลงได้ ธุรกิจที่จะอยู่รอดได้คือธุรกิจที่ยอมเปลี่ยนแปลง ก่อนที่จะให้สถานการณ์บังคับจนไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ซึ่งก็มีให้เห็นอยู่มากมายที่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ไม่ยอมเปลี่ยน หรือ เปลี่ยนแปลงไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็น Kodak หรือ Nokia

            SMEs อย่างเรามีความคล่องตัวสูงกว่า ก็อย่ารอให้สถานการณ์เลวร้ายจนปรับตัวไม่ได้ เพราะนั่นมันหมายถึงธุรกิจเรายืนอยู่ปากเหว รอวัน “เจ๊ง” เพียงอย่างเดียว

            2.รู้จักการสังเกต และ นำมาวิเคราะห์เพื่อมาปรับใช้กับธุรกิจ

จุดเปลี่ยนจริง ๆ ของธุรกิจในการก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจสุขภาพและความงาม คือการตั้งข้อสังเกตเรื่อง เครื่องสำอางที่มาซื้อเวลาลงโฆษณาที่เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อมีสัญญาณบางอย่าง ในฐานะเจ้าของกิจการ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ควรต้องเริ่มที่จะเหลือบมามองว่า สัญญาณเหล่านี้มันจะทำให้เกิด “ประโยชน์” หรือ “โทษ” กับธุรกิจเรา

RS เลือกที่นำสัญญาณที่มีมานั้นมา “ศึกษา” และใช้เป็นโอกาสในการ “ปรับตัว” เพื่อให้ธุรกิจได้มีทางเลือกในตลาดใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น

            วันนี้ SMEs อย่างเรา ๆ ได้เห็นสัญญาณอะไรบางอย่างหรือไม่ ? และได้ตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้มากน้อยขนาดไหน จุดเปลี่ยนธุรกิจจริง  ๆ มันก็มักเกิดจากเพียงแค่ “สัญญาณเล็กๆ “ เพียงเท่านั้น เพราะหากเป็นคลื่นใหญ่มาเท่ากับว่า เราก้าวไม่ทันสัญญาณเหล่านั้นแล้ว หรือ อาจจะตกขบวนไปแล้วด้วยซ้ำไป

                3.ใช้จุดแข็งเป็นแกนในการขยับธุรกิจ

เมื่อเห็นช่องทางก็ต้องกลับมาตัวเราเองครับว่า “โอกาส” ที่อยู่ตรงหน้านั้น เราจะสามารถนำสิ่งที่เราไปอยู่ไปใช้กับโอกาสนั้นได้หรือเปล่า

จุดแข็งของ RS นอกจากเรื่องของการมีนักร้องอยู่ในค่ายจำนวนมากแล้ว ก็ยังมี “ช่องทางสื่อ” ไม่ว่าจะเป็น คลื่นวิทยุ ,TV ดิจิตอล ,TV ดาวเทียม เหล่านี้คือ “เครื่องมือ” ที่ทรงพลังหากจะต้องนำมาใช้เพื่อขับเคลื่อน ผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือ สินค้าใหม่ ออกสู่ตลาด ให้เป็นที่รู้จัก

เรามีจุดแข็งอะไร ? SMEs คงต้องถามใจตัวเองแบบไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนะ ต้องแยกให้ออกนะครับว่า “จุดแข็ง” กับ “ความชอบ” มันมีความแตกต่างกันอยู่มากทีเดียว

การที่เราเริ่มธุรกิจจาก “ความชอบ” มันอาจจะทำให้เรา “มีความสุข” แต่มันก็อาจจะทำให้เรา “เจ็บ” ได้เช่นกัน

แต่ถ้าเรา

เริ่มจาก “จุดแข็ง” ที่เรามี มันคือทักษะ ความสามารถ ในด้านต่าง ๆ ที่เราสามารถนำมาขับเคลื่อนธุรกิจของเราได้ โอกาสที่จะสำเร็จในธุรกิจย่อมมีมากกว่าแค่ มี “ความชอบ” เพียงอย่างเดียว

                4.ค่อย ๆ ก้าว เมื่อพร้อมก็ลุยเต็มตัว

เห็นอะไรว่าดี ว่าเป็นโอกาสแล้วก็อย่าเพิ่งทุ่มหมดหน้าตัก !!! ให้เริ่มจากจุดเล็ก ๆ เรียนรู้ปัญหาจากการลงทุนแบบน้อย ๆ ค่อย ๆ แก้ไปทีละจุด เมื่อทุกอย่างคล่องตัวมากขึ้น เข้าใจธุรกิจที่เราทำมากขึ้น ถึงเวลานั้นค่อยลุยอย่างเต็มตัว

RS ใช้เวลาทดลองตลาดด้วยการลองปล่อยสินค้ามา 1 ตัวลองตลาด ปรับเปลี่ยนรูปแบบนำเสนอ แล้วค่อยขยับเพิ่มสินค้า และก็ทำรูปแบบเดิม คือ เรียนรู้พัฒนากับมัน

ซึ่งรูปแบบการดำเนินการแบบนี้เราเรียกกันว่า PDCA (Plan –Do-Check-ACT)  วางแผน – ลงมือทำ –ตรวจสอบ – ปรับปรุง

ใช้เวลากว่า 3 ปีในการเรียนรู้ธุรกิจ จนมั่นใจจึงประกาศตัวอย่างเป็นทางการที่จะก้าวมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นธุรกิจสุขภาพและความงามอย่างเต็มตัว

ทำธุรกิจไม่ต้องรีบที่จะเรียกร้อง “ความสำเร็จ” แต่จงค่อย ๆ เรียนรู้วิธีการที่จะ “ล้มเหลว” จากจุดเล็กๆ เมื่อปิดรูรั่วได้หมด โอกาสมากพอตอนนั้นความสำเร็จมันจะเรียกร้องหาเราเอง

สรุป

การที่ RS การเดินหมากเกมส์นี้ถือว่าเป็นการก้าวเข้าสู่สนามการแข่งขันใหม่ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ยังโตได้ในระยะยาวแต่ก็มีการแข่งขันสูงเช่นกัน ไม่ใช้ RS เป็นเจ้าแรกที่เป็นอยู่ในกลุ่มของสื่อและบันเทิง แล้วขยายธุรกิจมาอยู่ในกลุ่มเครื่องสำอางและสุขภาพ แต่ยังมี U-Star ของ Grammy ด้วยที่ทำลักษณะเดียวกัน แต่ต่างกันที่ ผู้บริหาร RS บอกว่า RS “เป็นอะไรก็ได้”

นั่นแสดงว่า RS พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเองให้อยู่รอดต่อไปโดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นธุรกิจใดสินค้าอะไร ขอให้นั้นเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการและจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ไม่แน่ว่าต่อไป RS อาจจะอยากขายเครื่องครัวก็ได้ใครจะไปรู้ .