ณ อพาร์ตเมนท์ในเมืองเบงกาลู ปี 2007 Sachin Bansal และ Binny Bansal นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย (ผู้ที่มีเพียงนามสกุลที่เหมือนกันแต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย) ได้ร่วมกันสร้างเว็บไซด์ขายหนังสือออนไลน์ชื่อ “Flipkart”

เมื่อต้นเดินพฤษภาคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ในวงการธุรกิจค้าปลีกเมื่อ Walmart ห้างค้าปลีกอันดับ 1บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการ “Flipkart” บริษัทผู้ให้บริการค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ด้วยมูลค่ากว่า 1.6หมื่นล้านเหรียญ เป็นที่น่าคิดว่าเหตุใด Walmart ถึงตัดสินใจสำคัญในดีลนี้ เหตุผลหลักอาจอยู่ที่ต้องการปรับตัวเพื่อเตรียมสู้ศึกใหญ่ของ Walmart เอง และตัว Flipkart คงตอบโจทย์อะไรบางอย่างให้แก่ Walmart ในครั้งนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Flipkart ผู้ให้บริการค้าปลีกออนไลน์เบอร์ 1 ของอินเดีย

Flipkart เริ่มธุรกิจจากอพาร์ตเมนต์ห้องเล็กๆ

ณ อพาร์ตเมนท์ในเมืองเบงกาลู ปี 2007 Sachin Bansal และ Binny Bansal นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย (ผู้ที่มีเพียงนามสกุลที่เหมือนกันแต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย) ได้ร่วมกันสร้างเว็บไซด์ขายหนังสือออนไลน์ชื่อ “Flipkart” ก่อนที่จะมาเปิดเว็บไซด์ทั้งคู่คือพนักงานด้านระบบปฏิบัติการในค้าปลีกออนไลน์อันดับ 1 ของโลกอย่าง “Amazon” มาก่อน ก้าวแรกของ Flipkart จึงเหมือนกับถอดแบบของ Amazon ในการเริ่มต้นมาจากการขายหนังสือออนไลน์มาก่อนเช่นกัน

ในปีถัดมา Flipkart จึงเปิดออฟฟิศแรกที่เมืองเบงกาลูนั่นเอง และสามารถส่งหนังสือได้กว่า 3400 ครั้งในปี 2008

Flipkart คือร้านออนไลน์เจ้าแรกที่ทำให้อินเดียเริ่มรู้จักการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในหมวดหนังสือ นั่นทำให้ในปี 2009 “Sep Accel Partners” ได้เข้ามาร่วมลงทุนกับ Flipkart เป็นเจ้าแรกด้วยเงินลงทุน 1 ล้านเหรียญทำให้ในปีนี้ Flipkart สามารถเปิดสำนักงานที่เมืองมุมไบและนิวเดลี เป็นก้าวแรกในการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ Flipkart ความน่าเชื่อถือของ Flipkart มีมากขึ้นจากการได้สิทธิ์ในการสั่งจองหนังสือของนักเขียนชื่อดังอย่าง Dan Brown’s The Last Symbol 1ในหนังสือขายดีติดอันดับโลก นี่คือก้าวแรกที่ทำให้มี Flipkart ในปัจจุบันนี้

กลยุทธ์สู่ความสำเร็จของ Flipkart

1. ไม่หยุดแค่หนังสือ

ในปี 2010 Flipkart เริ่มขยายหมวดสินค้าจากที่เคยให้บริการเพียงแค่หนังสือสู่หมวดสินค้าอื่น ๆเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เพลง ภาพยนตร์ โทรศัพท์มือถือ และเพิ่มหมวดสินค้ามากขึ้นในปีต่อ ๆมา ในปัจจุบัน Flipkart ให้บริการสินค้าในหมวดต่าง ๆอาทิเช่น อิเล็กทรอนิกส์ แฟชั่น โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์สำหรับเด็ก ของใช้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสำหรับสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี คอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป เรียกได้ว่า ถ้าอยากได้ อยากซื้ออะไรให้เข้าไปดูใน Flipkart ก็จะหาซื้อได้อย่างแน่นอน

2. เสริมทัพ แสวงหาความร่วมมือ กลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่ง

นับจากเปิดตัวครั้งแรก Flipkart สามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ในอินเดียได้อย่างงดงาม ส่วนผสมแห่งความสำเร็จก็คือการที่ Flipkart “มองหาโอกาสเติบโต” Flipkart มีช่องทางในการขายสินค้าอยู่ในมือจึงเป็นเสมือนสื่อกลางที่เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำในขั้นต่อมาก็คือ การเข้าซื้อธุรกิจที่มีฐานลูกค้าที่ดี เช่นในปี 2011 ที่เข้าซื้อกิจการ Chakpak และ Mime 360 ธุรกิจออนไลน์ library ที่ให้บริการดาวน์โหลดเพลง ภาพยนตร์ E-book และแมกกาซีนออนไลน์มาเสริมความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ เมื่อ Flipkart สนใจเข้าสู่แวดวงแฟชั่นค้าปลีกก็ได้ทำการซื้อกิจการของแบรนด์ Myntra แฟชั่นค้าปลีกชื่อดังของอินเดียรวมถึงเข้าถือหุ้นใน Jeevas เช่นกัน

แม้กระทั่งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเพื่อประโยชน์ในการเพิ่มช่องทางการขายและฐานลูกค้า ในปี 2016 Flipkart ได้เข้าซื้อกิจการแฟชั่นค้าปลีกออนไลน์อย่างแบรนด์ Jabong อีกด้วย

นอกจากนี้ Flipkart ยังแสวงหาพันธมิตรโดยเป็น Co-partner กับบริษัท Motorolla และ Xiaomi บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือในการเป็นช่องทางการขายและจัดส่งสินค้าให้แก่ผู้บริโภคทั่วอินเดีย ทำให้ Flipkart ครองส่วนแบ่งการตลาดในการให้บริการจัดส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นอันดับ 1 ที่ 55% เหนือกว่าค้าปลีกออนไลน์ระดับโลกอย่าง Amazon ที่ 33 %

Flipkart เกือบที่จะทำเรื่องสะเทือนวงการค้าปลีกออนไลน์ของอินเดียด้วยการยื่นข้อเสนอเข้าซื้อ snapdeal ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกออนไลน์อันดับ 2 ในอินเดียแต่ข้อเสนอถูกบอกปัดไปเสียก่อน

และจากการแสวงหาความร่วมมือ การระดมทุนจากกลุ่มทุนชั้นนำและการเสริมทัพของ Flipkart ทำให้บริษัทเป็นร้านค้าขายปลีกร้านแรกในอินเดียที่มีทุนจดทะเบียนกว่า 1 พันล้านเหรียญ!!!

3. พัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ทำให้ทุกอย่างง่ายในการช็อปปิ้ง

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ Flipkart ให้ความสำคัญมาโดยตลอดคือ “การพัฒนาระบบการจัดการของตนเอง” ให้มีประสิทธิภาพและใช้งานง่าย โดยพัฒนาในส่วนของเทคโนโลยีของตนให้ทันสมัยอยู่เสมอ จากในยุคแรกที่มีเพียงหน้าเว็บไซด์ Flipkart ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นของตนเองลงสู่สมาร์ทโฟน ทำให้การช็อปปิ้งออนไลน์สะดวกสบายมากขึ้น ทำให้แอพพลิเคชั่นนี้เป็นแอพพลิเคชั่นแรกที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 50 ล้านคนในประเทศอินเดีย

ขณะเดียวกันในด้านบริการการชำระสินค้า Flipkart คือเจ้าแรกที่นำระบบการชำระเงินปลายทางมาใช้ในช่วงปีแรก ๆนอกเหนือไปจากการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้า ก่อนจะพัฒนาไปสู่บริการ money wallet ในปี 2011 และบริการชำระเงินออนไลน์ Pay Zippy ในปี 2013 กระทั่งล่าสุดในปี 2016 Flipkart ได้เปิดตัวบริการการเงินครบวงจรผ่านแอพพลิเคชั่นในระบบ UPI ภายใต้บริษัท Phonpe ที่นอกเหนือจากการชำระสินค้าได้ง่ายขึ้นยังครอบคลุมไปถึงการทำธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆอีกด้วย

4. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าด้วยระบบการันตีและการส่งสินค้าที่รวดเร็ว

ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้ Flipkart ประสบความสำเร็จอย่างมากคือการทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในการให้บริการและความพึงพอใจของลูกค้า Flipkart มีนโยบายรับคืนสินค้าหากลูกค้าไม่พอใจ นี่คือสิ่งที่การันตีคุณภาพสินค้าของ Flipkart ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน Flipkart ก็เข้าใจดีว่า “ความรวดเร็วในการส่งสินค้าคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ” ตั้งแต่ช่วงแรกที่ให้บริการทางบริษัทเองพยายามปรับปรุงระบบการส่งสินค้าของตนเองอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่การส่งสินค้าในวันถัดไปหลังการชำระเงินไปจนถึงล่าสุดที่สามารถส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้ภายในวันเดียว เพราะความรวดเร็วในการขนส่งถือเป็นหัวใจสำคัญในระบบการค้าออนไลน์

SMEs ได้อะไรจาก Flipkart

1. ความเชื่อมั่น ความเชื่อใจคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

จริง ๆแล้วไม่ว่าจะยุคออนไลน์หรือออฟไลน์ ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจใด การสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าคือกุญแจสำคัญที่สุด ดั่งคำที่ว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” ความประทับใจแรกมีความสำคัญก็จริงแต่ความมั่นใจและความน่าเชื่อถือนั่นสำคัญที่สุด หากคุณทำให้ลูกค้ามั่นใจในสินค้าและบริการได้ ธุรกิจคุณจะอยู่รอดและเติบโต ยิ่งในยุคนี้ทุก ๆ เรื่องทั้งบวกและลบแพร่กระจายได้รวดเร็วในโลกออนไลน์ หากข้อผิดพลาดไม่ได้รับการแก้ไขนั่นคือประตูแห่งหายนะที่กำลังเปิดรอคุณอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เคยผิดพลาด แต่เมื่อใดที่เกิดความผิดพลาดจนเกิดความเสียหายแล้วคุณต้องแสดงความรับผิดชอบต่อลูกค้าอย่างเต็มที่ แล้วคุณจะเปลี่ยนวิกฤติที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสได้ครับ

2. คอยแสวงหา พัฒนาและเรียนรู้อยู่เสมอ

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบตลอดทุกยุคทุกสมัย ระบบธุรกิจหรือเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ก็เช่นกัน ในยุคหนึ่งระบบธุรกิจที่วางไว้ เทคโนโลยีที่ใช้อาจสร้างความมั่งคั่ง มั่นคงให้แก่คุณ แต่ในยุคต่อมาสิ่งนั้นอาจล้าหลังก็เป็นได้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีที่จะช่วยตอบโจทย์ในหลายธุรกิจ นี่คือสิ่งที่คุณต้องอัปเดตอยู่ตลอดเวลา เพราะมันช่วยทุ่นเวลาและเพิ่มรายได้ให้แก่ธุรกิจคุณได้มากถ้าคุณใช้เป็น ขณะเดียวกันก็อย่ายึดติดกับระบบธุรกิจที่วางไว้ คุณต้องยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไปตามยุคตามสถานการณ์ จงทำตัวเสมือนต้นไผ่ที่ลู่ไปตามลมปรับเปลี่ยนไปตามพายุของเทรนด์ที่เปลี่ยนไป แล้วคุณจะอยู่รอดและเติบโตอย่างมั่นคงในทุก ๆสถานการณ์

ทิศทางต่อไปของ Flipkart ภายใต้ Walmart จะเป็นอย่างไร

ภายหลังการเข้าซื้อกิจการของ Walmart ทิศทางของ Flipkart น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะดำเนินการเช่นไรต่อไป ส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้าหมายของการเข้าซื้อในครั้งนี้อยู่ที่ตลาด E-commerce ของอินเดียกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการเติบโตและมีโอกาสขยายตัวได้อีกมหาศาลในอนาคต เพราะอินเดียเป็นตลาดใหญ่ที่ยังมีความต้องการในการบริโภคอยู่มาก ขณะเดียวกันด้วยโมเดลธุรกิจและระบบของ Flipkart ทำให้บริษัทยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ด้วยฐานลูกค้าที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนี่องและด้วยพฤติกรรมการซื้อของที่เปลี่ยนไปของคนอินเดียที่หันมาใช้บริการออนไลน์มากขึ้นและอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ ความสามารถของ Flipkart ที่สามารถท้าชนต่อกรกับ amazon ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกออนไลน์อันดับ 1ของโลกได้อย่างอยู่หมัด สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ Walmart ตัดสินใจยื่นข้อเสนอดีลสะท้านวงการนี้ก็เป็นได้ ต้องคอยติดตามดูในอนาคตครับว่าในสมรภูมินี้ภายหลังการควบรวมกิจการแล้วใครจะยังเป็นมือหนึ่งในสนามรบที่ดุเดือดนี้

บทความโดย

ผู้ผ่านรับการฝึกอบรม “ใช้เวลาว่างเขียนบทความสร้างรายได้”

คุณ  นรินทร์พล ตรีรัตน์สกุล

นักกายภาพบำบัด