Baskin Robbins ถือกำเนิดครั้งแรกในปี 1945 โดย Burt Baskin และ Irv Robbins ซึ่งเป็นคู่เขยกัน ร้านแรกตั้งอยู่ในเมืองเกล็นเดล รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา   

ไอศกรีมคือหนึ่งในของหวานยอดนิยมที่เข้าไปนั่งครองใจใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเด็กเล็ก เด็กโต ผู้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้สูงวัย หากจะต้องเลือกขนมหวานสักหนึ่งชนิด หนึ่งในคำตอบจะต้องมีไอศกรีมรวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นก็เพราะนอกจากความเย็นอันเป็นสัมผัสแรกแล้ว ยังมีรสชาติให้เลือกอย่างหลากหลายซึ่งโดนใจใครหลาย ๆ คนให้หลงรักในมนต์เสน่ห์ของไอศกรีมได้ไม่ยาก นับตั้งแต่จุดกำเนิดอันยาวนานแต่หาตำนานการถือกำเนิดที่แน่นอนไม่ได้ จนถึงปัจจุบันไอศกรีมได้เปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์ รูปแบบ รสชาติ และชนิดไปมากมาย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตอบสนองและเอาใจคนรักไอศกรีมทั้งสิ้น จึงถือได้ว่าอุตสาหกรรมการผลิตไอศกรีมมีการแข่งขันที่ดุเดือดอยู่พอสมควร หากนำตลาดไอศกรีมทั้งโลกมาพิจารณา จะเห็นได้ว่ามีแบรนด์ไอศกรีมกระโดดเข้ามาเป็นผู้เล่นอย่างมากมาย โดยมีทั้ง Global brand และ Local brand ในแต่ละภูมิภาค และที่สำคัญคือ “ไม่มีผู้เล่นรายใดที่เป็นเจ้าตลาดหรือผูกขาดได้สำเร็จเลย” ฉะนั้นแต่ละแบรนด์จึงพยายามแข่งกันชูจุดเด่นของตน เพื่อเรียกแขกหรือลูกค้าให้หันมาสนใจสินค้าของตนเอง วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับไอศกรีมแบรนด์ดังระดับโลกแบรนด์หนึ่ง ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครและเป็นแฟรนไชส์ที่ขยายไปทั่วโลก นั่นก็คือ “ไอศกรีม Baskin Robbins” ครับ

จุดกำเนิดสุดคูล การรวมกันของร้านไอศกรีมคู่เขย

Baskin Robbins ถือกำเนิดครั้งแรกในปี 1945 โดย Burt Baskin และ Irv Robbins ซึ่งเป็นคู่เขยกัน ร้านแรกตั้งอยู่ในเมืองเกล็นเดล รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่ก่อนที่จะมาเป็นชื่อร้าน Baskin Robbins ทั้งสองก็มีร้านไอศกรีมเป็นของตนเองอยู่แล้ว โดย Burt Baskin เปิดร้านของตนก่อนในชื่อว่า “Burton’s ice cream shop” ในปี 1945 และ Irv Robbins เปิดร้านของตนเองบ้างในปี 1946 ในชื่อ “Snowbird” และร้านของ Irv มีจุดเด่นอยู่ที่การมีไอศกรีมให้เลือกกว่า 21 รสชาติ ซึ่งจัดว่าเยอะมากในสมัยนั้น

แม้ว่าจะมีร้านของตนเองคนละร้าน แต่ทั้งสองก็ทำงานร่วมกันมาโดยตลอด โดยในปี 1948 Burt และ Irv เปิดสโตร์ถึง 6 แห่ง และสามารถเปิดแฟรนไชส์แรกได้ในวันที่ 20 พฤษภาคม 1948 ในเมืองเกล็นเดล

ภายหลังในปี 1953 ทั้งสองจึงตัดสินใจรวมร้านเข้าด้วยกันในชื่อ Baskin Robbins และใช้ชื่อนี้มาจวบจนปัจจุบัน

ความโดดเด่นอยู่ที่เป็นร้านไอศกรีมที่มีเรื่องราว

หลังจากการรวมร้านเกิดขึ้น Baskin Robbins ได้ดึงเอาจุดเด่นของร้านเดิมทั้งสองร้านเข้าไว้ด้วยกัน โดยได้ว่าจ้างให้บริษัท Carson-Roberts Advertising บริษัทเกี่ยวกับโฆษณาที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้นให้ช่วยผลิตโลโก้ให้ และก็ไม่ทำให้ Baskin Robbins ผิดหวัง เมื่อโลโก้แรกถูกออกแบบมาเป็นตัวย่อของร้านที่ภายในมีเลข “31” ปรากฏขึ้น เป็นการดึงเอาจุดเด่นภายหลังการรวมร้านว่ามีไอศกรีมให้เลือกถึง 31 รสชาตินั่นเอง

เรื่องราวของ Baskin Robbins ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่โลโก้ เพราะสโลแกนที่ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักก็คือ “ลูกค้าจะได้รับรสชาติที่แตกต่างกันในแต่ละวัน และในทุก ๆ เดือน” สโลแกนนี้ถูกคิดขึ้นมาเพื่อรองรับว่าทำไม Baskin Robbins จึงมีไอศกรีมให้เลือกมากมายกว่า 31 รสชาติ

นอกจากสโลแกนที่บอกเล่าเรื่องราวของร้าน แนวคิดหนึ่งที่ทำให้ Baskin Robbins ประสบความสำเร็จก็คือ ทางร้านจะมีช้อนเล็ก ๆ ให้ลูกค้าเลือกชิมรสชาติไอศกรีมก่อน เพราะ Baskin Robbins ให้ความสำคัญกับคำที่ว่า “ลูกค้าควรจะได้ลิ้มลองรสชาติเสียก่อน จนกว่าจะได้เจอกับรสชาติที่ชื่นชอบและถูกใจมากที่สุด”

นับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา Baskin Robbins ผลิตรสชาติไอศกรีมไปแล้วมากกว่า 1,000 รสชาติ และสลับหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน

ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อโอกาสในการเติบโต

กลยุทธ์หนึ่งที่ Baskin Robbins ใช้เพื่อเพิ่มการเติบโตคือการร่วมกันกับพันธมิตรเป็นคู่ค้าร่วมกัน โดยในปี 1949-1962 ร่วมมือกับบริษัท Huntington ice cream company ในชื่อ Baskin Robbins Partnership ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น Baskin Robbins, Inc. ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 1962

ทั้ง Burt และ Irv ร่วมกันบริหารร้าน จนกระทั่งในปี 1967 จึงขายบริษัทให้กับ United Brands Company (United Fruit) จากสาเหตุการเสียชีวิตของ Burt Baskin

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 Baskin Robbins เป็นแบรนด์ที่เติบโตมากและสามารถขยายแฟรนไชส์ได้ในระดับอินเตอร์เนชั่นแนลไปยังประเทศญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และเป็นเจ้าแรกที่คิดค้นการผลิตไอศกรีมเค้กได้สำเร็จ

ในปี 1972 Baskin Robbins เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรก โดยขายหุ้นกว่า 17% ในตลาด

ต่อมาบริษัทอาหารสัญชาติอังกฤษที่ชื่อบริษัท J.Lyons and Co เข้าซื้อกิจการ Baskin Robbins ทั้งหมดจาก United Brands และรวมกิจการเข้ากับ Allied Breweries กลายเป็น Allied Lyons ในปี 1978 และรวมกิจการอีกครั้งกับ Pedro Domecq S.A. กลายเป็น Allied Domecq ในปี 1994

ภายหลังในปี 2006 Baskin Robbins ได้รวมกิจการเข้ากับ Dunkin’ Donuts และอยู่ภายใต้ชื่อ Dunkin’ Brands Group, Inc. จนถึงปัจจุบัน

พัฒนาคุณภาพสินค้าสู่ความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์

นับแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน Baskin Robbins ยังไม่เคยหยุดพัฒนาคุณภาพสินค้าของตนเอง รวมถึงยังไม่เคยหยุดคิดค้นรสชาติใหม่ ๆ นั่นจึงทำให้ปัจจุบัน Baskin Robbins จึงมีรสชาติมากกว่า 1,000 รสสลับหมุนเวียนกันไป

แต่อีกจุดเด่นหนึ่งคือการไม่ปิดกั้นโอกาสของแฟรนไชส์ เพราะแฟรนไชส์ที่ตั้งอยู่ตามประเทศต่าง ๆ จะมีการคิดค้นรสชาติหรือเพิ่มเติมรสชาติ ซึ่งเป็นที่นิยมและชื่นชอบตามแต่ละพื้นที่ที่แฟรนไชส์ไปตั้ง จึงช่วยขยายฐานลูกค้าไปได้อีกมาก

นอกจากนี้ Baskin Robbins ยังเปิดตัวอาหารเต็มรูปแบบในปี 2008 ในชื่อ “BRight Choices” ซึ่งนำเอาไขมันทรานส์ออกจากส่วนประกอบทั้งหมด รูปแบบของ BRight Choices เป็นอาหารมื้อเบา ๆ หลากหลายทางเลือกให้แก่ลูกค้า

ทางเดินที่ไม่ได้ราบเรียบ ฝ่าฟันวิกฤติจนพบโอกาส

ในช่วงปี 2000 เป็นต้นมา Baskin Robbins เองก็เจอวิกฤติที่ต้องพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อรักษาธุรกิจเช่นกัน โดยการมาของคู่แข่งอย่างร้านโยเกิร์ตแช่แข็ง รวมถึงแบรนด์ไอศกรีมอื่น ๆ ล้วนแต่เขย่าให้ Baskin Robbins ต้องซวนเซอยู่ไม่น้อย

แต่แล้วการมาของ Dunkin’ Donuts ก็ช่วยพลิกฟื้นให้ Baskin Robbins กลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ภายหลังการควบรวมกันในปี 2006 โดยกลยุทธ์ที่คาดไม่ถึงมาก่อนคือ การร่วมมือกันระหว่างร้าน Dunkin’ Donuts และ Baskin Robbins ในการนำเอาสินค้าของแต่ละร้านมาจำหน่ายร่วมกัน ส่งผลให้ในปี 2013 Baskin Robbins จึงเริ่มฟื้นตัวและเปิดสาขาใหม่ 4 แห่งในอเมริกา

ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ

ภายหลังการฟื้นตัวของธุรกิจ Baskin Robbins วางแผนที่จะขยายสาขาเพิ่ม 5-10 แห่งในปี 2014 แต่สุดท้ายกลับขยายได้ถึง 17 ร้าน

ในปี 2015 สามารถเปิดสาขาใหม่ได้ถึง 15 ร้าน

นอกจากนี้ยังสามารถวางขายไอศกรีมในร้าน supermarket เป็นครั้งแรกทั่วประเทศอเมริกาในปี 2014

ปัจจุบันเป็นร้านแฟรนไชส์ไอศกรีมที่ใหญ่ที่สุดในโลกกว่า 7,500 สาขาใน 50 ประเทศทั่วโลก

ถอดกลยุทธ์ Baskin Robbins : บทเรียนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

1. เริ่มต้นด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ

จุดเริ่มเรื่องราวของ Baskin Robbins ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จก็คือ “การมีเรื่องราว” และ “สโลแกน” สินค้าที่ดีและมีคุณภาพคือปัจจัยหลักของความสำเร็จ แต่สินค้าที่มีเรื่องราวคือตัวดึงดูดให้สินค้ามีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น อย่าลืมว่าแม้สินค้าจะดีเพียงใดก็ไร้ความหมายถ้าไม่มีใครเหลียวแล Baskin Robbins เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เราเห็นแล้วว่า เรื่องราวที่น่าสนใจมีอิทธิพลต่อแบรนด์เพียงใด

2. พันธมิตรที่ดีคือลมหายใจของธุรกิจ

ในไทม์ไลน์ของ Baskin Robbins เราจะพบความร่วมมือจากพันธมิตรมากหน้าหลายตา ทั้งในรูปแบบของพาร์ทเนอร์หรือการควบรวมกิจการซึ่งทำให้ Baskin Robbins เติบโตอย่างรวดเร็ว หรือแม้กระทั่งช่วงเวลายากลำบากก็ได้พันธมิตรเข้ามาช่วยดึงธุรกิจให้พ้นจากเหวได้อย่างไม่น่าเชื่อ พันธมิตรจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาของธุรกิจ การมีพาร์ทเนอร์ที่ดีก็เปรียบได้กับกองทัพที่มีกองหนุนชั้นเลิศ การมีพันธมิตรแม้เพียงหนึ่งเดียว ย่อมดีกว่าการทำธุรกิจอย่างเดียวดายในโลกของธุรกิจครับ

3. เดินหน้าไม่ถอย ไม่หยุดอยู่กับที่

“อุตสาหกรรมไอศกรีม” เป็นธุรกิจที่แข่งขันรุนแรงและไม่มีใครสามารถกุมตลาดได้ทั้งหมด สิ่งที่ Baskin Robbins ทำมาโดยตลอดคือ การพัฒนาคุณภาพของตนเองและรักษาเอกลักษณ์ของตนเองให้สูงอยู่ตลอด ในทุก ๆ ธุรกิจ การพัฒนาตนเองอยู่เสมอเป็นทางรอดที่คลาสสิคที่สุด และการหยุดนิ่งอยู่กับที่ก็คือหนทางสู่หายนะอย่างแท้จริง “จงอย่าพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่” วลีนี้ตรงกับความเป็นจริงแห่งโลกของธุรกิจครับ อย่าหยุดที่จะพัฒนาแล้วสิ่งที่คุณทำจะดำรงอยู่ได้

Baskin Robbins คืออีกหนึ่งตัวอย่างของการดำเนินธุรกิจในตลาดที่มีการแข่งขันสูง กลยุทธ์และวิธีการดำเนินการของบริษัทนี้คือสิ่งที่น่าสนใจในการศึกษา โดยเฉพาะในสถานการณ์การเจียนอยู่เจียนไปคือสิ่งที่ยิ่งต้องเรียนรู้ เพราะไม่แน่ว่าอนาคตข้างหน้าธุรกิจที่กำลังไปได้ดีของคุณ อาจต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้บ้างก็ได้ อย่าลืมว่าวัคซีนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกของธุรกิจคือ “การเรียนรู้จากความล้มเหลวของผู้อื่น”

เจ้าของแฟรนไชส์ที่ต้องการ ทำการตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ ขยายสาขาให้เติบโต ทักเลย

เพิ่มเพื่อน