ปกติเดือนๆ นึงเราจ่ายค่า Ads ให้กับ Facebook เดือนละเท่าไหร่กันบ้างครับ ?

สำหรับมือใหม่อาจจ่ายหลักพัน พอมั่นใจได้ยอดขายมากขึ้นก็จ่ายกันเป็นหมืนเป็นแสน หรือเป็นล้านก็ยังมี

หลายคนเริ่มปาดเหงื่อ !!! เมื่อเร็วนี้ที่ทาง Facebook ประกาศเปลี่ยนกฏเกณฑ์การลดการมองเห็นแสดงผลของ Fanpage บนหน้า Newsfeed

ผลกระทบคืออัตราการมองเห็นของ โพสที่ลงไปในเพจของเรานั้น จากปกติคนเห็นนับวันยิ่งน้อยอยู่แล้ว มันจะยิ่งทำให้น้อยเข้าไปอีกมากเลยทีเดียวครับ

ทางออกที่จะทำให้คนเห็นมากขึ้น ใน Newsfeed คือเราก็ต้องจ่ายมากขึ้น เพราะเจ้าของกิจการทุกคนก็มุ่งเน้นที่จะให้เกิดการมองเห็นเพื่อเพิ่มโอกาสทางการขาย กลายเป็นแค่ขันกัน “จ่าย” ราคาที่สูงขึ้นเพื่อให้ตัวเองได้เห็นมากและนาน

 

“จ่ายมากขึ้น เพื่อรักษายอดให้เท่าเดิม” หรือเผลอๆ กลับกลายเป็น “จ่ายมากขึ้น เพราะให้ธุรกิจอยู่รอด” เพียงแค่นี้เอง

 

มันเป็นปรากฏการณ์เดียวกับ การที่เราไปเช่าพื้นที่ห้างหละครับ หากต้องการทำเลดีๆ ก็ต้องจ่ายแพงขึ้น  ๆ  อยากให้คนมองเห็นมากก็ยิ่งต้องจ่ายอัดเข้าไปทั้งพื้นที่เช่า การทำโปรโมชั่น เรียกว่ายิ่งเข้าเนื้อเลยทีเดียว

ผมพอมีแนวทาง บริหาร “งบโฆษณา” ที่เราวางไว้ในแต่ละเดือนในการจ่ายให้กับ Facebook เพียงอย่างเดียว เพื่อนำมาใช้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากยิ่งขึ้น

 

มาลุยกันเลย !!

1.สร้าง Facebook Profile เพิ่มแล้วช่วยกันแชร์

แบ่งงบจาก Facebook Ads มาสร้างอีเมล์ เบอร์โทรศัพท์ เปิดบัญชี Facebook ใหม่เพิ่มสัก 10 บัญชี ลองคิดดูนะครับ 10 บัญชีมีเพื่อนเต็มบัญชีละ 5000 คนนั่นเท่ากับว่าหากเราโพสนำเสนอ คอนเทนต์ในรูปแบบใด ๆ ก็ตามโอกาส

เท่ากับทำให้คนที่เป็นเพื่อนเราเห็นถึง 50,000 คนเลยทีเดียวนะครับ

ซึ่งด้วยวิธีการที่ทาง Facebook ปรับอัลกอริทึ่มนั้นก็มุ่งเน้นให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนครับ การทำธุรกิจบน Profile จึงควรหันกลับมาให้ความสำคัญนะครับ แต่ต้องไม่เป็นการยัดเยียดขายกันจนเกินไปนะครับ

2.แบ่งงบประมาณมาลงที่ Influencer และ Micro Influencer

ผมเคยพูดถึงการทำการตลาดด้วย Micro Influencer ไว้บ้างแล้วก่อนหน้านี้นะครับ ถ้าใครเริ่มทำไปบ้างแล้วผมประเมินว่าคงได้รับผลการตอบรับเป็นอย่างที่น่าพึงพอใจ

ลองคิดดูนะครับหากเราติดต่อให้กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น Blogger (Taokaemai.com ก็เป็นหนึ่งในนั้น)  ,Youtuber หรือ กลุ่มคนที่มีอิทธิพลทางด้านความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งบนช่องทางออนไลน์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Profile ส่วนตัว Twitter หรือ IG ให้เขาเขียนแนะนำสินค้าบริการของเราได้ มันก็เป็นการสร้างการรับรู้ในวงการที่เหมาะสมกับธุรกิจเราได้เช่นกันนะครับ

                ไม่จำเป็นว่าคนเหล่านั้นจะเป็น Net idol หรือ เซเลป ดารา ครับ คนธรรมดา ที่มีความน่าเชื่อถือในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจสินค้าของเราได้ครับ

ลองจัดสรรงบให้กับคนกลุ่มนี้ดูก็เป็นอีก 1 ทางออกที่ได้ผลเกินคาดครับ

3.แบ่งงบ Ads มาจัดกิจกรรมโปรโมชั่น

สร้างความสมดุลระหว่างการจ่ายค่า Ads กับการคืนผลประโยชน์ให้กับลูกค้า เช่นหากเราวางค่า Ads ไว้สำหรับกิจกรรมหรือโพสหนึ่งๆ ไว้ 10,000 บาท หากเป็นการขายธรรมดาค่า Ads 10,000 บาทเราก็จ่ายให้ Facebook เพียงอย่างเดียวเพื่อหวังให้ได้ลูกค้ากลับมาจำนวนหนึ่ง

ให้เราปรับลองปรับลดงบส่วนนี้ 40-60 % มาจ่ายเป็นส่วนลดหรือผลตอบแทนอะไรบางอย่างให้กับลูกค้าที่เข้ามาร่วมกิจกรรม ที่คอมเมนต์  หรือ แชร์ โพสเหล่านั้น

อย่าลืมนะครับว่าการที่ลูกค้าแชร์โพสไปที่หน้า Timeline ส่วนตัวเขาก็เป็นการช่วยเราทำการประชาสัมพันธ์ เราควรตอบแทนเขาด้วย ผมก็ว่ามันแฟร์ดีนะครับ 555 แม้กระทั่งการที่เขาเข้ามา comment ก็มีส่วนทำให้ค่าโฆษณาของเราได้เรทที่ต่ำลงด้วยนะครับ

                เราจ่ายค่า Ads ให้กับเจ้าของพื้นที่ซึ่งก็คือ Facebook และลูกค้าของเรา เป็นการจ่ายที่เท่าเดิมแต่ผลน่าจะออกมาในทิศทางที่ส่งเสริมกันมากขึ้น

4. สร้างเว็บไซต์ตัวเองเสียที

ถึงเวลานี้หากใครยังไม่เป็นเจ้าของเว็บตัวเองแล้วละก็ ธุรกิจคุณเดินเข้าสู่ทางตันทุกทีครับ หากฝากธุรกิจไว้แค่ Facebook Fanpage เพียงอย่างเดียว

หลายคนจ่ายเงินเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อลงโฆษณา Facebook แต่ไม่กล้าที่จะจ่ายเงิน 1-2 หมื่นเพื่อสร้างบ้านหรือออฟฟิตออนไลน์เป็นของตัวเองเสียที

ผมไม่แน่ใจหรือเปล่านะครับว่า การที่เราโพส Content ดีๆนั้นลง Facebook มันเป็นการทำงานแบบ One Time ได้ผลแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว หมายความว่า เราโพสไปหากใครเห็นก็เห็น ณ. เวลานั้น แต่ถ้าไม่เห็นก็แทบจะไม่มีโอกาสเห็นอีกเลยนะครับ เป็นการทำงานครั้งเดียวที่เสียเปล่า

                ในทางกลับกันหากเรามีเว็บเป็นของเรา ทุกอย่างที่อยู่ในพื้นที่ของเรา มันมีโอกาสที่จะเห็นได้อีกหลาย ๆ ครั้งเลยทีเดียวนะครับ

ได้เวลาที่จะต้องแบ่งเงินโฆษณา มาทำบ้านเราเองแล้วหละครับ !!!!

5. ให้น้ำหนักเพิ่มกับการทำ Content ลงในเว็บอย่างต่อเนื่องหวังผล SEO

                ถ้าเราเปรียบ  โฆษณาคือการ “ขาย”  การทำ Content Management ก็คือการทำ “การตลาด”

การขาย สร้าง รายได้ชั่วคราว การตลาด สร้าง รายได้ต่อเนื่อง

ก็ต้องย้อนกลับมาถามเพื่อน ๆ หละครับว่า วันนี้เราได้ทำทั้งสองอย่างแล้วหรือยัง ?

การแค่เรามีเว็บ ลงสินค้า กิจกรรมของร้าน เท่านั้นมันไม่เพียงพอสำหรับการจะทำมาค้าขายธุรกิจบนโลกออนไลน์ครับ

เราต้องสร้าง “สภาวะแวดล้อม” หรือ Ecosystem บรรยากาศในเว็บไซต์ของเราให้ “น่าเข้ามาเยี่ยมชม” ด้วยนะครับ

ความใหม่ สดของ Content ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ VDO สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิดความน่าสนใจให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาหาเรา ยิ่ง Content เหล่านั้นตอบโจทย์ แก้ปัญหาให้เขาได้ยิ่งจะเป็นแรงดึงดูดและบอกต่อ

ทำ Content ดีเท่าไหร่โอกาสในการเพิ่มยอดขายก็มากขึ้น

อย่าตระหนี่ที่จะลงทุนกับส่วนนี้นะครับ เพราะมันคือความมั่นคงของธุรกิจบนโลกออนไลน์

6.จ้างทีม Out source ทำ SEM,SEO

ถ้าเรามองพื้นที่ทำธุรกิจในตลาดออนไลน์แบ่งเป็น 3 ส่วนหลักคือ

1.ช่องทางการค้นหาหรือ Search Engine ต้องถามตัวเราครับว่า เราให้ความสำคัญกับจุดนี้มากน้อยขนาดไหน

2.ช่องทางโซเชียล โดยเฉพาะคนไทยเราจมอยู่แค่ Facebook ใช่หรือไม่ เราเคยใช้ช่องทางอื่นหรือเปล่า

3.ช่องทาง Market Place เราได้นำสินค้าเหล่านั้นไปลงในช่องทางเหล่านี้บ้างหรือเปล่า

ประเด็นในข้อนี้คือ แนะนำว่าเราควรให้ความสำคัญกับการทำ SEM,SEO (คำศัพท์เหล่านี้ลองค้นหาดูใน google ไว้มีโอกาสจะนำมาเล่าให้ฟังในเว็บในครั้งต่อ ๆ ไป) หรือการทำให้ธุรกิจเราค้นหาเจอใน google ด้วยอันดับที่ดีๆ ค้นหาอะไรที่เกี่ยวกับธุรกิจเรา ต้องเจอเราในอันดับที่ 1-3

นอกจากการทำ Content ของเราให้ดีมันมีผลกับเรื่อง SEO แล้ว

ยังมีปัจจัยภายนอก ที่ต้องทำ และส่วนนี้ผมแนะนำว่าเราต้องหาความรู้ ทำเองได้ก็ลอง หรือไม่มีเวลาการจ้างเป็นสิ่งที่ควรลงทุนครับ

7.กระจายสินค้าไปที่ Marketplace ให้มากที่สุด

ปัจจุบันมี Marketplace ดังให้เราสามารถนำสินค้าไปลงขายได้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น Lazada ,shoppee,11street หรือ พวกเว็บ เว็บ classified หรือลงประกาศฟรีมากมายครับ ช่องทางเหล่านี้เป็นการเชื่อมต่อการขายอย่างเป็นจริงเป็นจัง

                ลองคิดเล่น ๆ นะ หากแต่ละช่องทางสร้างออเดอร์ให้วันละ 1 ออเดอร์เราลงใน Marketplace ไว้อย่างละ 2-3 ร้าน มันก็สร้างยอดขายได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียวใช่ไหมหละครับ

หากไม่มีคนหรือเวลาที่จะดูแลส่วนนี้ก็ลองลดเงินโฆษณา Facebook มาจัดสรรเพื่อส่วนนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นก็น่าที่จะทำนะครับ

8.เพิ่มช่องทางเก็บ List ลูกค้าเช่น Line@,Email,เบอร์ติดต่อ และมีการติดต่อสร้างสายสัมพันธ์อย่างจริงจัง

เราเคยส่งเมล์ ส่ง line หาลูกค้าด้วยการส่งข้อมูลความรู้ ข่าวสารดี ๆ ให้กับเขาด้วยการทำอย่างเป็นระบบ ต้องการที่จะสานความสัมพันธ์กันแบบจริงจังหรือเปล่า

หรือว่าทำเพียงแค่การขาย ๆ ๆๆ ทุกครั้งที่ Broadcast ไปในแต่ละช่องทาง รับรองได้ว่าอย่างนี้ลูกค้าหนีหมดอย่างแน่นอนครับ

การสานสัมพันธ์ด้วย ความรู้ ข้อมูล ที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา กิจกรรมส่งเสริมการขายบ้าง, FAQ บ้าง ,สัพเพเหระบ้าง นี่คือรูปแบบความสัมพันธ์ในเชิงความเป็น “เพื่อน” กับลูกค้านะครับ

                จัดงบมาลงและดูแลส่วนนี้อย่างจริงจัง ต้นทุนการดูแลลูกค้าเก่า ต่ำแต่ได้ผลมากกว่าการวิ่งหาลูกค้าใหม่นะครับ

ดูแลพวกเขาให้ดีแล้วพวกเขานี่แหละครับจะเป็นกระบอกเสียงให้กับสินค้าของเรา

9.แบ่งงบ Ads ทำกิจกรรมช่องทางออฟไลน์ เข้าหาตัวแทนที่มีหน้าร้าน

ลองออกไปวิ่งตลาดดูเองบ้าง !!! ไม่ใช่มัวแต่นั่งอยู่หน้าจอคอม หรือ มือถือ กระบวนการขายและนำเสนอสินค้าแบบการพบปะพูดคุยยังคงได้ผลนะครับ

แม้จะมีช่องทางออนไลน์เข้ามาอำนวยความสะดวก ก็ใช่ว่าจะไม่มีกลุ่มลูกค้าที่นิยมหาซื้อตามร้านค้า ห้าง ที่มีสินค้าตรงตามที่เขาต้องการ

                ช่องทางการขายออฟไลน์ ทำได้ง่ายแค่เติมน้ำมันรถ แล้วออกไปตระเวนหาพูดคุยกับร้านค้าที่เหมาะสมกับสินค้าของเรา การได้พบปะพูดคุยจะเป็นการยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า หรือตัวแทนขายสินค้าของเรานะครับ

 

ต้องทำอะไรกันต่อไปดี

ทั้ง 9 ข้อเป็นแนวทางให้เพื่อน ๆ ได้ลองนำไปปรับจูนกับธุรกิจของเรานะครับ ข้อไหนทำได้ก่อนก็ทำ ข้อไหนมียังไม่พร้อมก็อาจจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมก็ต้องทำครับ การหาที่ปรึกษา ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะมาช่วยเสริมทัพให้กับธุรกิจของเรา หัวเดียวกระเทียมลีบ มันไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก หากมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยโอกาสอยู่รอด ขยายธุรกิจย่อมทำได้ง่ายและเร็วกว่าครับ

อย่าวางไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว การทำธุรกิจก็เช่นกันอย่าฝากธุรกิจไว้เพียงแค่ Facebook เพราะวันที่เราทุกข์ พี่มาร์คไม่ได้มาทุกข์กับเราด้วย