——————————

ตั้งสติก่อนสตาร์ทธุรกิจ

——————————

  1. กลับสู่โลกความเป็นจริง – หมดยุคการทำธุรกิจ แบบตีหัวเข้าบ้าน ทำงานวันละ 2-3 ชั่วโมง บนโลกออนไลน์แล้วจะมีรายได้วันละเป็นพัน แบบง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว.. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหวังพึ่งพิง เหล่ากูรู ที่มาพ่นเคล็ดลับ เพราะตอนนี้หายไปไหนหมดแล้วไม่รู้.. เรียนรู้ได้ แต่ห้ามก็อปปี้.. ต้องคิด คิด แล้วก็คิดรูปแบบเฉพาะตัวสำหรับธุรกิจของตัวเอง

คีย์สำคัญคือ อะไรๆ ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่า กฎข้อเดียวที่เป็นบิดาของกฎทุกกฎบนโลกธุรกิจใบนี้ นั่นคือ กฎแห่งการลงมือทำ.. ทำโดยไม่คิด.. ก็คือลองผิดลองถูก.. ศึกษาให้เข้าใจ คิดให้แตกฉาน ลงมือทำงานอย่างจริงจัง ตั้งใจ ด้วยแผนงานที่สอดคล้องกับตลาดเป้าหมาย รายได้มากมาย ก็ไม่ยาก.. สุดท้ายที่จะกระซิบให้ฟัง.. คำพระท่านว่า.. อัตตาหิ อัตโน นาโถ..​ ถ้ามัวแต่โม้ มโนสร้างภาพ ชีวิตจะลำบากโดยอัตโนมัติ.. เอ๊ยไม่ใช่สิ.. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน..

—————————–

คิดเรื่องพื้นฐานการทำ

—————————–

  1. สูงสุดคืนสู่สามัญ – การตลาดออนไลน์แบบอิงกระแส ใช้เทคนิค ทริคในการทำโฆษณา แบบวูบวาบฉาบฉวย มันหมดไปจะ 2 ปีแล้วครับ.. ณ ตอนนี้มีแต่ลงเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ยอดขายแกว่งไปแกว่งมา และออกไปในแนวแกว่งลงซะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เปรียบเสมือนว่าตลาดลูกค้าดื้อยา เทคนิคอะไรๆ ก็มักไม่ค่อยได้ผล และไม่นานก็จะไม่เวิร์ค มิหนำซ้ำ จะไม่เวิร์คแบบไม่รู้ว่าทำไมมันไม่เวิร์คซะด้วยสิ

คีย์สำคัญคือ สูงสุดคืนสู่สามัญ ก็คือ การตลาดแบบพื้นฐาน สะสมฐานลูกค้า สร้างจุดเชื่อมโยงให้ลูกค้าเห็น และรู้จักเรา ที่นิยมทำกันอยู่ยามนี้ คือ การตลาด SEO ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลา และการสร้างคอนเท้นท์ที่ทรงคุณค่า เป็นงานสร้างแบบละเอียดละเมียดละไม แต่ได้ผลลัพธ์ในระยะยาว ผ่านจุดเชื่อมโยงก็คือ คีย์เวิร์ด ที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเจอเราได้ที่ทางช้างเผือก..

อีกแนวทางหนึ่งคือ การสร้างช่องทางการขาย และความน่าเชื่อถือด้วย เว็บไซต์ เพื่อให้เป็นแหล่งติดต่อ ซื้อขาย อย่างเป็นทางการ เปรียบดั่งเราเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เราอยู่.. ข้อดีของมันคือ มันไม่มีพรมแดน และขีดจำกัดเรื่องเวลา โอกาสทางธุรกิจมีได้ 24/7 ขอเพียงเราสร้างระบบการทำงานรองรับ.. แต่ก็เป็นงานสร้างและต้องใช้เวลารอคอยอีกเช่นกัน..

———————

กำหนดทิศทาง

———————

  1. โฟกัส โฟกัส โฟกัส – นี่คือจุดชี้เป็นชี้ตายแห่งความสำเร็จ หรือหายนะ.. หลายคนกำหนดเป้าหมายไม่ชัดเจน หรือกว้างเกินไปทำให้ตลาดเห็นเราไม่ชัด เปรียบเหมือนเรือเล็กออกจากฝั่งสู่ทะเล ก็ยากจะมองเห็นเรือฉันใด.. การทำธุรกิจโดยมีตลาดเป้าหมายที่กว้างเกินไป ผลลัพธ์ที่ตลาดเป้าหมายจริงๆ ของเราจะมองเห็นก็ยากเช่นกันฉันนั้น..

หลายคนอาจสงสัยว่า.. ถ้าเราโฟกัสตลาดให้แคบลง มันจะไม่ยิ่งทำให้ยากต่อการสร้างยอดขาย และอาจเลยเถิดไปถึงขั้นสร้างยอดขายได้ไม่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ สุดท้ายธุรกิจก็อาจไปไม่รอดหรือ..

ยกตัวอย่างสัก 2-3 เคสพอให้เห็นภาพ ตลาดนม ส่วนมากพูดถึงกลุ่มเป้าหมายเด็กเล็กเป็นหลักไปจนถึงก่อนวัยรุ่น.​ แต่เมื่อร่วม 20 ปีที่แล้ว.. นมแบรนด์หนึ่ง โฟกัสตลาดนมของตัวเองไปที่กลุ่มคนสูงอายุ ด้วยการชูเรื่อง แคลเซียม.. นั่นคือแบรนด์ “แอนลีน” ที่เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อ.. สุดท้าย ณ บัดนาว กลายร่างมาจับตลาด กลุ่มผู้หญิงวัยกลางคน ซี่งทำให้ฐานตลาด และโอกาสการขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก.. ในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะยุคปัจจุบัน.. ถ้าเข้าตลาดแล้วยืนไม่อยู่ คนไม่รู้จัก อย่างหวังรอดไปได้ เรื่องจะเติบโต ไม่ต้องพูดถึง..

อีกสักตัวอย่างคือ ยาสีฟัน ที่ยุคก่อนโน้น ก็จะแข่งขันโดยชูเรื่อง ฟันผุเป็นหลัก.. ต่อมาก็ดูแลเหงือกด้วย.. ต่อมาก็ฟันขาว.. วนเวียนอยู่กับฟันและเหงือก.. จนมีแบรนด์หนึ่ง ชูจุดขายเรื่อง ลมหายใจสดชื่น ตอนตื่นนอน.. แล้วก็ยืนระยะ แจ้งเกิดได้จนถึงทุกวันนี้.. ใช่ครับนั่นคือ แบรนด์ เดนทิสเต้.. ที่แตกต่างอย่างเท่ๆ

คีย์สำคัญของการโฟกัสคือ.. ต้องชัดเจนกับกลุ่มเป้าหมาย และประเด็นที่จะสื่อสาร.. ข้อดีคือ ถ้าทุกอย่างลงล็อค มันจะช่วยเรื่องการจดจำ และสร้างแบรนด์ให้กับสินค้าเราเป็นอย่างมาก

อีกเรื่องที่เป็นคีย์สำคัญเช่นกันคือ.. ความแม่นยำ.. ในการสื่อสาร และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่โฟกัสตลาด แต่สื่อสารแบบเหวี่ยงแห.. นอกจากจะสิ้นเปลืองทั้งเงินและเวลาแล้ว ประสิทธิผล และประสิทธิภาพที่ได้ก็จะไม่ดีเอาเสียด้วย

—————————

สร้างความแตกต่าง

—————————

  1. ต้องมีกลยุทธ์ของตัวเอง – เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และซับซ้อนมากพอสมควร โดยเฉพาะคนที่ไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจมาก่อน.. พูดถึงเรื่องกลยุทธ์ คีย์สำคัญของมันคือ การสร้างความน่าสนใจ ที่จะนำมาซึ่งความได้เปรียบเทียบในการแข่งขัน และทุ่นแรง และเงินได้มาก.. สามารถทำผ่านประเด็นต่างๆ ได้หลากหลาย อาทิ กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ด้วยการชูเรื่อง นวัตกรรม / ส่วนประกอบ ส่วนผสม ที่มีคุณภาพหรือประสิทธิภาพ.. บางครั้งไม่จำเป็นต้องจบที่ตัวสินค้าเสมอไป..​ ในบางสินค้า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ดูแปลกตา น่าสนใจ ก็ส่งผลต่อการสร้างความสนใจ และการตัดสินใจซื้อได้ดีไม่น้อย

 

หลุมพราง 2 บ่อที่หลายคนมักพลาดในเรื่องการสร้างความน่าสนใจคือ

 

1) การเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ทำให้สินค้าถูกออกแบบมาตามความชอบ หรือมุมมองของเจ้าของ โดยที่ไม่ตรงกับ ความชอบ หรือมุมมองของกลุ่มเป้าหมายซักเท่าไหร่เลย และอาจเป็นภูเขาลูกใหญ่ที่ยากแก่การก้าวผ่านไปได้

2) แตกต่าง หรือ แปลกประหลาด บางครั้งก็แค่เส้นบางๆ คั่นกลาง.. ถ้ามองแบบกว้างๆ คิดแบบง่ายๆ แบบที่ว่า ทำให้ต่างจากคู่แข่งที่มีในตลาดก็พอ.. ก็ไม่ต่างอะไรกับการปิดตา ตีหม้อ.. ถูกก็ดีไป ไม่ถูกก็เสียเวลาเปล่า แถมเจ็บตัว.. จุดที่ตัดสินว่าสิ่งที่เราทำ สื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย คือ ความแตกต่าง หรือ แปลกประหลาดคือ ผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย.. ดังนั้นก่อนคิดเรื่องความแตกต่าง.. ต้องแตกฉานกับเรื่องตลาดเป้าหมายอย่างถ่องแท้ในทุกมิติ เท่าที่จะสามารถทำได้ซะก่อน.. เมื่อนั้นความเสี่ยงที่จะผิดพลาดล้มเหลวก็ลดลงไปได้เยอะทีเดียว

———————————

เปิดกว้างช่องทางการขาย

———————————

  1. อย่าวางไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว – ณ ตอนนี้ใครคิดจะเริ่มต้นด้วยออนไลน์ ไม่ผิด แต่จะพลาดหนักมาก หากไม่คิดเรื่องการตลาดช่องทางอื่นไว้เลย.. การทำธุรกิจช่องทางอื่น ไม่เพียงต้องอาศัยเรื่อง ไอเดีย กลยุทธ์ แผนงาน คอนเนกชั่น แต่ยังต้องมีการคำนวณต้นทุนการจำหน่ายผ่านช่องทางแต่ละประเภทอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนมาร์จิ้น ต้นทุนค่าการตลาด ต้นทุนสินค้าเสียหายรับคืน ต้นทุนการขายเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย หรือระบายสต็อกสินค้า ต้นทุนทีมงานบุคลากร ทั้งฝ่ายหน้า (ขาย) กับฝ่ายสนับสนุน (บริการ / ปฏิบัติการ) ฯลฯ ถ้าโครงสร้างราคาไม่สะท้อนสิ่งเหล่านี้ บอกเลยว่าเสร็จตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น

การวางไข่ไว้ในตะกร้าหลายใบแม้เป็นสิ่งที่ควรทำ.. แต่ต้องทำอย่างมีแบบแผน และเป็นขั้นเป็นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนทำธุรกิจที่มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก เช่นเรื่อง เวลา (มีงานประจำ หรือมีธุรกิจอื่นที่ทำอยู่แล้ว / ทีมงาน (ไม่ได้มีพาร์ตเนอร์ หรือพนักงานมากมายมาช่วย) / เงิน (ไม่พร้อมเรื่องการลงทุนทีเดียวมากๆ)

คีย์สำคัญคือ การเลือกตะกร้าที่จะวาง ว่าเราจะเริ่มต้นวางตะกร้าใบไหน กี่ใบ และลำดับก่อนหลังอย่างไร.. อันนี้ต้องดูความพร้อม ความถนัด คอนเนกชั่นที่เรามี อะไรที่เริ่มได้เร็ว ทำได้ก่อน บริหารจัดการได้ดี หรือมีต้นทุนที่ต่ำกว่า หนึ่งในตะกร้าที่ต้องเลือกวางแน่ๆ ในยุคปัจจุบันนี้คือ ตะกร้าออนไลน์ แต่ย่อมไม่ใช่ตะกร้าออนไลน์ใบเดียวแน่ๆ

 

การวางตะกร้าออนไลน์ ถ้าเป็นเมื่อ 3-5 ปีก่อน แค่กล้าวางตะกร้าออนไลน์ที่เรียกว่า โซเชียล มีเดีย เงินทองก็ไหลมาเทมาแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เพราะ 1) เอาแน่เอานอนไม่ได้ มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา 2) เป็นช่องทางที่มีคนเข้ามาแข่งด้วยมากมาย และมากขึ้นทุกวัน ตามกฎ demand vs. supply ไม่ต้องอธิบายก็คงพอนึกภาพออก 3) ปัจจุบัน โซเชียล มีเดีย กลายเป็น paid media แบบเต็มตัว แถมตัวใหญ่ กินจุซะด้วยสิ

1-2 ปีที่ผ่านมาคนก็หนีมาสื่อใหม่ อย่าง Line@ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน และไม่ได้เปิดกว้างแบบ โซเชียล มีเดีย อย่างเฟซบุ๊คซะด้วยสิ ทำให้กระแส สื่อทางเลือก อย่าง Line@ แผ่วลงไปพอสมควร

ระยะหลังมานี้ ก็นิยมไปทางการทำคอนเท้นท์ และเน้นเรื่อง SEO + เว็บไซต์ที่เป็นช่องทางการขายอย่างเป็นทางการ อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว.. สิ่งที่เป็นทางเลือกอื่นอีก อย่างพวก e marketplace ก็ดูจะร้อนแรง แข่งเดือด และทำลายแบรนด์ให้เสียหายอย่างมากอีกด้วย เพราะกลยุทธ์หลักที่พวก e marketplace ใช้กันคือ deal & discount ทำให้แบรนด์เสียหาย และรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ยากอีกด้วย

ช่องทางเลือกอื่นที่เห็นก็เช่น ขายผ่าน mobile app ซึ่งก็เป็นเพียงรูปแบบแพลตฟอร์มคนละอย่าง แต่ก็ไม่ต่างจาก e marketplace แบบเดิมซักเท่าไหร่ แถมพวก e marketplace ก็เพิ่มช่องทาง mobile app แล้วด้วย ทำให้ช่องทาง mobile app เพียวๆ เป็นได้เพียงช่องทางเสริมมากกว่าที่จะหวังผลใหญ่ กำไรเยอะได้

สุดท้ายคือการเลือกตะกร้าที่เรียกว่า ตลาดออฟไลน์ ซึ่งก็มีหลายประเภท ที่เป็นช่วงทางหลักในยุคปัจจุบัน มีเพียง 2 ประเภทคือ

1) Specialty Store – ร้านค้าเฉพาะอย่าง เช่น ร้านบิวตี้ ร้านขายอาหารเสริม ร้านขายยาเวชภัณฑ์ และเวชสำอาง ร้านขายเครื่องไฟฟ้า ศูนย์รวมเสื้อผ้าแฟชั่น เป็นต้น คีย์สำคัญคือ ความครบครัน และการันตีความพึงพอใจ เพราะมีสินค้าหลายแบรนด์ หลายรูปแบบ หลายคุณภาพ ทุกระดับราคาให้เลือกตามความพอใจ

2) Convenience Store – ร้านสะดวกซื้อ เช่น 7-11 แฟมิลี่ มาร์ค ลอว์สัน หรือแม้แต่การสร้างเน็ตเวิร์คร้านค้าโชว์ห่วยและมินิมาร์ท ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย แม้ใช้เวลามากหน่อย แต่ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าพวก Chain Convenience Store มากเลย คีย์สำคัญคือ ความสะดวก ประหยัดเวลา และคล่องตัว ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก

สรุปให้เห็นภาพคือ ยุคปัจจุบัน แม้เอื้อต่อการทำธุรกิจ และเปิดกว้างกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ก็เปิดกว้างกับคนจำนวนมากเช่นกัน แถมความสำคัญของการตลาดออนไลน์มีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่สวนทางแบบ 180 องศาก็คือ การตลาดออนไลน์ ยิ่งทำยิ่งยาก ย่ิงซับซ้อน ยิ่งยากแก่การคาดหวังผลลัพธ์ ชนิดที่เรียกว่า ไม่ต้องคิดเรื่อง ยิ่งขาย ยิ่งโต เอาแค่รักษาได้เท่าเก่า ยังยากเลย..

ดังนั้น 5 สิ่งที่ควรทำคือ

“ตั้งสติก่อนสตาร์ทธุรกิจ”

“คิดเรื่องพื้นฐานการทำ”

“กำหนดทิศทาง”

“สร้างความแตกต่าง” และ

“เปิดกว้างช่องทางการขาย”

 

สิ่งที่ว่ายาก ก็กลับมาเป็นง่ายขึ้นเยอะเลย..

 

ขอบคุณบทความดี ๆ จากพี่ – วิริทธิพล –

ติดตามข้อคิดเห็นการทำธุรกิจ แนวทางการตลาดจากมืออาชีพ พี่วิริทธิพล ได้เพิ่มเติม > คลิ๊ก