วันเวลามันจะว่าผ่านไปเร็วมันก็เร็ว ผ่านไปช้ามันก็ช้านะครับ !!!

หากอายุเฉลี่ยคนทั่วไปยืนยาวถึง 80 ปี ตอนนี้ชีวิตผมก็เริ่มก้าวเข้าสู่ครึ่งทางของชีวิตแล้วหละครับ

39 ปีผ่านไปแปรบเดียว….กำลังจะย่างเข้าสู่ “หลักสี่” ซึ่งเป็นอีก 1 เส้นทางที่ผมบอกไม่ได้เลยว่าอนาคตแท้จริงจะเป็นอย่างไร สิ่งเดียวที่ทำได้คือ วางแผน คาดคะเน และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเท่านั้น

วันคล้ายวันเกิดปีนี้ มีโอกาสได้มานั่งทบทวน นี่กรูจะ 40 ปีแล้วหรอวะเนี่ย !!!

แล้ว 39 ปีที่ผ่านมากรูได้เรียนรู้อะไร บ้างนะ ?

คำตอบคือมีเป็นร้อยเป็นพันเรื่องราว เป็นล้าน ๆ เหตุการณ์จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้เรียนรู้บ้าง หรือ ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยก็มี

บางเรื่องกลับมานั่งคิดก็ขำตัวเอง บางเหตุการณ์ก็บอกกับตัวเองว่า “กูไม่น่าทำเลย”

ถ้าย้อนเวลาได้คงมีหลายเรื่องที่ผมต้องกลับไปแก้ไข….แต่ ไม่มีใครแก้ไขอดีตได้ครับ

เพราะมีอดีต จึงมี ปัจจุบัน และ ปัจจุบัน นี่แหละที่จะพาเราไปสู่อนาคต

ผมจึงใช้โอกาสนี้นั่งเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อ เป็นการทบทวนตัวเองในประเด็นแรก ส่วนประเด็นรองหากเพื่อน ๆ อ่านแล้วได้ประโยชน์ก็ยกความดีงาม ผลบุญนี้ให้กับ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษที่ให้กำเนิดผมมาครับ

10 ปีแรก : ชีวิตคือการเรียนรู้

ต้องบอกว่าเป็นช่วงเด็กเป็นอะไรที่ค่อนข้างเลือนลาง แต่หลายสิ่งผมยังจำแม่นจำได้ดี หลายเหตุการณ์ยังรู้สึกสัมผัสได้ถึงอุ่นไอ ของความเป็นเด็กบ้านนอก

1.โอกาสเด็กบ้านนอก กับ เด็กในเมืองมันต่างกันมาก

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี ความรู้ ครูอาจารย์ที่มาสอนหนังสือ โรงเรียนบ้านนอกมีครูไม่กี่คนแต่ต้องสอนหลายวิชาเลยทีเดียว ต่างกับเด็กในเมือง ความรู้ ทุกอย่างเข้าถึงได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า ผมว่าเหตุผลนี่เองที่ยังทำให้บ้านเมืองเรายังเป็นแบบ “รวยกระจุก จนกระจาย” มาตั้งแต่อดีต มาจวบจนปัจจุบัน

2.เรียนพิเศษไม่ใช่เรื่องจำเป็นมากนัก หากตั้งใจเรียนในห้อง

ตอนเด็กผมไม่ได้เรียนพิเศษอะไรเลย มีอย่างเดียวที่เรียนคือ วิชาพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ไปเรียนกับพระ สอนนั่งสมาธิ การที่เรามีสมาธิจะทำให้เรา อ่านเข้าใจ ฟังเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจ และตั้งใจเรียนในห้องเรียนมันก็น่าจะพอเพียงแล้วที่จะทำให้เราได้ความรู้

3.ลำดับที่สอบได้ในชั้นเรียน ไม่ได้มีผลกับอนาคต

ตอนเด็กเราอาจจะเสียใจหากสอบได้ที่โหล่ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จำได้ว่าตอน ป.6 นี่ผมสอบได้ที่โหล่ของห้องเลยทีเดียว แต่ลำดับมันก็แค่นั้น มันอาจจะทำให้เราประหม่าบ้าง แต่มันไม่ใช่เครื่องชี้วัดว่าอนาคตเราจะเป็นที่โหล่ตลอดครับ ผมนำความผิดพลาดในครั้งนั้นมาเป็นบทเรียน ส่งให้ตัวเองสอบเข้าเรียนได้ วิศวะ !!! เห็นไหมครับ ที่โหล่ก็ มีอนาคตที่ดีได้

4.การ์ตูน คือเครื่องมือสร้างจินตนาการ ทำให้เราเป็นฮีโร่

เด็กกับการ์ตูนเป็นเรื่องที่ควรส่งเสริมครับ เพราะมันช่วยผลักดันให้เกิดจิตนาการ และที่สำคัญคือ เป็นแบบอย่างให้เขาอยากเป็นฮีโร่ จำได้เลยตอนผมเด็ก ๆ นี่ โฮกุล จาก Dragon Ball  คือวฮีโร่ ในการต่อสู้เลยครับ เราไม่รู้หรอกว่า การ์ตูนมันได้ซึบซับให้เราได้เรียนรู้ความอดทน และ การรู้จักการตั้งเป้าหมายไปแบบ น้ำซึมบ่อทราย แล้ววันหนึ่งเราก็ได้เป็นฮีโร่ ได้ตามเป้าหมายดังที่เราหวัง เพราะ ฮีโร่จากตัวการ์ตูนนี่แหละครับ

5.เล่นให้สนุก ทุกครั้งที่มีโอกาส

ทำไมต้องบอกว่าเล่นให้สนุก ทุกครั้งที่มีโอกาส ก็เพราะว่าเด็กบ้านนอกไม่ค่อยได้มีโอกาสเล่นอะไรสนุกแบบนาน ๆ นะครับ หลายคนต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน ทำมาหากิน กันตั้งแต่ตัวเล็ก  ๆ เมื่อมีโอกาส ก็ให้สนุกกับมันให้เต็มที่ พอโตมา เราเองก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานมากขึ้น เมื่อมีโอกาสเอ็นเตอร์เทรน ก็มักจะคิดถึงตอนเด็ก ๆ คือเล่นให้มันเต็มที่ไม่ต้องห่วงเรื่องภาพพจน์ ทำตัวให้เป็นเด็ก เล่นให้สนุก

6.ควรได้เรียนรู้ความลำบากด้วย

ตอนเด็ก ๆ นี่รู้สึกว่าขี้เกียจ ไม่ค่อยอยากตื่นไปช่วยพ่อแม่เก็บน้ำยาง ห่วงเรื่องการ์ตูน หน่วงเรื่องเล่น แต่ก็ต้องออกไปทำงาน เพราะไม่ทำก็ไม่มีเงิน ไม่มีเงินก็ไม่มีข้าว ไม่มีหนังสือเรียน การที่ผมได้เรียนรู้ความลำบากตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เข้าใจว่า มันไม่ได้มีอะไรได้มาโดยง่าย ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ แรงงาน ความรู้ความสามารถ และที่มากไปกว่านั้นคือต้อง รู้จักการอดทน และ รอคอยความสำเร็จ

7.การเก็บออมฝึกได้ตั้งแต่เด็ก

ด้วยฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ดีอะไร เงินแต่ละบาทกว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็น ดังนั้นเงินทุกบาทมีค่าเสมอ เมื่อหามาได้ยาก ก็ต้องรู้จักเก็บรู้จักใช้ แม่ให้ผมกับน้อง ๆ เก็บเงินแล้วไปเปิดบัญชีธนาคาร ฝากเดือนละไม่กี่สิบบาท รวม ๆ เข้าเป็นปีก็หลักร้อย เงินร้อย เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้วของเด็ก นี่ถือว่าเยอะนะครับ นิสัยนี่จึงติดตัวผมมา จนปัจจุบัน

8.พ่อแม่คือแรงบันดาลใจ และกำลังใจที่ดีที่สุดของลูก

นอกจากฮีโร่ในการ์ตูนแล้ว ก็มี พ่อกับแม่นี่แหละ ที่เป็นฮีโร่ให้กับลูก ๆ ได้ ผมโชคดีที่มีพ่อแม่เป็นคนขยันทำมาหากิน ทำให้เห็น ทำให้ดู พูดไม่มาก แต่ลงมือทำเลย ทำให้เห็น เรียกว่าเป็นแบบอย่างให้ลูก ๆ ได้เดินตาม ที่สำคัญอีกอย่างคือการคอยเป็นกำลังใจให้ลูกในการ ต่อสู้ชีวิต ดูแลอยู่ห่าง ๆ แบบห่วง ๆ ผิดพลาดบ้างอะไรบ้าง ก็ยินดีที่จะเป็นกำลังใจ

9.ครูช่วงประถม เป็นครูที่จะปลูกเมล็ดพันธ์ที่ดีในตัวเด็ก

เด็กจะดีหรือไม่ดีนอกจากครอบครัวแล้ว โรงเรียนก็เป็นอีก 1 บ้านที่จะต้องคอยสั่งสอนเด็ก ผมโชคดีที่ชั้นประถมได้ครูดี ๆ ช่วยสอนช่วยปลูกฝังสิ่งดี ในชีวิต มีบทกลอน บทกลอนที่ผมต้องท่องก่อนเข้าห้องเรียนสมัยประถม จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังจำได้ และยังใช้เตือนตัวเองอยู่สม่ำเสมอคือ

“อันลิงค่างกลางป่า เอามาหัด

สาระพัดหัดได้ ดังใจหมาย

เกิดเป็นคนพ่อแม้เลี้ยง มาแทบตาย

เอาดีไม่ได้ ก็อายลิง”

10.อย่าถามแค่ว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร ให้ถามเพิ่มว่าจะทำอย่างไรให้เป็นได้

ผมว่าหลายคนก็คงเคยถูกถามในตอนเด็ก ๆ โตขึ้นอยากเป็นอะไร จำได้เลยว่า ผมตอบว่าอยากเป็นตำรวจ ถามว่าทำไม ตอบไม่รู้ครับ ก็ใคร ๆ เขาอยากเป็นมั้ง แต่ถ้าถามเด็กสมัยนี้คงอยากเป็นดารา เป็นนักร้องก็ว่าไป ถามว่าทำไม เด็กหลายคนคงตอบได้เป็นเรื่องเป็นราวครับว่าทำไม

ผมมาพบคำตอบบางอย่างว่าตัวเองอยากเป็นวิศวะเมื่อตอน 8-9 ขวบตอนรื้อวิทยุทรานซิเตอร์ของพ่อเล่น ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าต้องเป็นวิทยุ แต่ผมมีคำถามที่ผมสงสัยของผมเองเพียงแค่ว่า “มันมีเสียงมาได้อย่างไร ?” แล้วทำอย่างไรมันจึงจะมีเสียง ? มันจึงเป็นเหมือนบันไดให้เราพยายามค้นหาคำตอบ

เราลองถามตัวเองดูสิครับว่า “เราอยากเป็นอะไร แล้วทำอย่างไรให้เป็นอย่างนั้น”

10 ปีที่สอง :วัยรุ่น วัยเรียน

เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น วัยซ่าส์ วัยเรียน เรียกว่าวัยนี้ เป็นช่วงที่มันส์ที่สุดก็ว่าได้ครับ เพื่อน นี่มาก่อนพ่อแม่เลย บางเรื่องก็เลือดร้อน บางเรื่องก็อยากรู้อยากเห็น ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อชีวิต หากพลาดหมายถึงอนาคต และอาจหมายถึงชีวิตด้วยซ้ำไป

11.สนุก เฮฮา แต่พองาม อย่าให้ถึงกับโดนไล่ออก

เพื่อนผมบางคน เล่น กันเกินขอบเขต ต่อยตี ชู้สาว กันจนไม่สามารถดึงตัวเองกลับมาสู่สถานะตัวเองได้ว่ามีหน้าที่ต้องเรียนหนังสือ สุดท้ายก็ต้องโดนไล่ออก เชิญออกจากโรงเรียน แต่ที่รู้หน้าที่ตัวเอง เล่นสนุกกันพอสมควร โดดเรียนบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยายามที่จะเข็นกันไป พากันให้เรียนจบไปในแต่ระดับชั้น สุดท้ายโตมาเป็นผู้ใหญ่ได้ดีทุกคน ส่วนคนที่ใช้ชีวิตผิดพลาด บางคนก็กลับตัวได้ แต่ที่กลับตัวไม่ได้ก็ต้องลำบากกันไป

12.ยิงไม่เข้า ฟันไม่ออก

ผมได้คำพูดนี้มาจากรุ่นน้องที่เรียนสมัย ปวส.ที่กรุงเทพฯ หลังจบแล้วได้มีโอกาสมาทำงานร่วมกัน คุยกันว่าช่วงนั้นเราผ่านมรสุมชีวิตมาได้อย่างไร น้องมันบอกว่า ผมมีของดี “ยิงไม่เข้า ฟันไม่ออก” อธิบายคือ ถ้าเขายิงกัน ก็อย่าเสือกเข้าไปเดี๋ยวโดนลูกหลง ฟันไม่ออก ก็ให้รีบปิดประตูลงกลอนอยู่แต่ในห้อง อย่าทะเล่อทล่า ออกไปหามีดหาดาบจะตายเปล่า สรุปคือ อย่าไปหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็ให้รีบเผ่น รักษาชีวิตไว้ดีกว่า

13.เรื่องเพศเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้ แต่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติ(มาก)

วัยรุ่นกับเรื่องเพศนี่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ หนังเรท R เรท X นี่เป็นเรื่องธรรมดา ผมว่าเป็นเรื่องที่ต้องคุย ต้องให้ความรู้อย่างเปิดอก ผู้ใหญ่ควรบอก ควรสอนครับ อย่าปล่อยให้วัยรุ่นเขาไปคิดเอง ทำเอง (ส่วนเรื่องช่วยตัวเอง ก็ปล่อยไปเป็นธรรมชาติ) เพราะมันมีโอกาสพลาด ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะครับ

14.รักในวัยเรียน มักจบลงด้วยการเสียตัว และ เสียอนาคต

เยอะมากเลยทีเดียว ประเภท ชิงสุกก่อนห่าม แอบได้เสีย เป็นคู่ผัวตัวเมียกันตั้งแต่เสื้อคอซอง กางเกงขาสั้น ความรักในวัยเรียน มันไม่ยั่งยืนหรอกครับ ส่วนใหญ่แล้วเป็นประเภทอยากรู้ อยากลอง อยากโชว์ อยากทำแต้ม เกิดพลาดพลั้งมาก็เสียตัว เสียอนาคตครับ เตือนกันไว้ไม่ว่าชายหรือหญิง

15.เด็กช่างตีกันเพราะเรื่องศักดิ์ศรีที่งี่เง่า ผู้ใหญ่ตีกันเพราะเรื่องการเมืองที่โง่เง่า

จนถึงทุกวันนี้ผมเองก็ยังไม่เข้าใจว่าตอนเรียน ปวช. และ ปวส ทำไมใส่เสื้อช๊อป ต่างสถาบันกันมันต้องตีกัน ต้องทะเลาะกัน ต้องตบหัวเข็มขัดกัน รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าสิ้นดี ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในรั้วการศึกษาเลย แต่ก็อีกนั่นแหละพอโตขึ้นเห็นผู้ใหญ่ทะเลาะกันในบ้านในเมือง หรือในบริษัท เป็นเรื่องของการเมือง นี่ก็เป็นอีกประเด็นที่ผมว่าโง่เง่ากว่าเด็กตีกันด้วยซ้ำ เด็กตีกันพอให้อภัยกันได้ แต่ผู้ใหญ่ตีกัน…….ไม่รู้จะว่าอย่างไร

16.อย่าเรียนอย่างเดียว ให้หางานพิเศษทำไปด้วย

ถ้าอยากได้เกรดดี ๆ ก็ให้ก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างเดียว แต่ถ้ามองว่าเกรดเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้นในการเรียน แต่ต้องการหาประสบการณ์ สร้างรายได้ ผมนั่งยัน นอนยันเลยครับว่า “เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย” เราจะได้มากกว่า ได้เกรด A ทุกวิชาอย่างแน่นอนครับ เพราะ A ที่เราได้มันไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้มากนัก (อาจจะสมัครงานได้เงินเดือนเยอะกว่า คนได้เกรดต่ำลงมา ไม่มากเกินจนเว่อร์แน่นอน) แต่ประสบการณ์ ทำงานไปด้วย มันสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ ณ. ขณะนั้น มันสามารถสร้างโอกาสได้ ณ.ขณะนั้น และสิ่งเดียวที่เราจะสร้างขึ้นมาได้คือ “โอกาส” โดยที่เราไม่ต้อง “รอ” ให้เรียนจบ

17.เด็กหลังห้องมักจะได้ดีกว่าเด็กที่เคร่งแต่วิชาการ

คงไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดสำหรับความเห็นข้อนี้ของผมนะครับ แต่จากประสบการณ์ จากคนที่ผมได้พบปะ พูดคุย ทั้งที่เป็นเจ้าของกิจการ มนุษย์เงินเดือนระดับผู้จัดการ พวกเขาเหล่านั้น ไม่ได้เป็นคนที่เคร่งแต่เรื่องวิชาการ โดยส่วนใหญ่เขาเป็นนักกิจกรรมตัวยง เรียกว่า ครูสอนหน้าห้อง ก็แอบว่างแผนกิจกรรมกันหลังห้องเลยทีเดียว

ทำไมเด็กหลังห้องจึงได้ดีกว่า สำหรับความเห็นผมคือ การรู้จัก “เอาตัวรอด” ในสถานะการณ์ต่าง ๆ รู้จักที่จะ “เข้าสังคม” นั่นเป็นบทเรียนที่ไม่ต้องสอนกันในเรื่องของการ สร้าง “Connection” นะครับ ส่วนพวกเคร่งวิชาการ พวกนี้ไม่คบใคร เพื่อนน้อย ดังนั้นโอกาสสำเร็จก็น้อยตามไปด้วย

18.เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว อยู่เมื่อเราสุข เพื่อนแท้อยู่ตอนเราลำบาก แต่เพื่อนแท้ก็เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวได้

เพื่อนที่ไปไหน ไปกัน เมาไหนเมากัน เที่ยวไหนเที่ยวกัน แต่พอเราลำบาก หรือ เพื่อนลำบากกลับหายหัวไม่เห็นหน้า พวกนี้คบไว้เที่ยวอย่างเดียวนะครับ อย่าได้ไปพึ่งอะไร แต่เพื่อนแท้มันมักจะอยู่ตอนเราลำบาก แม้ตอนเราสุข สนุก เมามาย มันก็ยังอยู่กับเรา นี่แหละ เขาเรียก เพื่อนแท้ เพื่อนเที่ยว ผมว่าหลายคนมีเพื่อนแบบนี้ครับ และเพื่อนแบบนี้หาได้ตอนที่เราเรียนเท่านั้นครับ จบออกมาแล้วบอกเลย…หายาก

19.ปริญญา 1 ใบคือเครื่องมือบอกถึงความรับผิดชอบชีวิตเราเอง และ ความภูมิใจของครอบครัว

ปริญญา ไม่ใช่เป็นเพียงแค่บอกว่าเราเรียนจบแล้วเท่านั้นนะครับ แต่มันยังเป็นใบรับรองเบื้องต้นว่าเราสามารถรับผิดชอบชีวิต รับผิดชอบงานของเราได้แล้ว นอกจากนั้นยังเป็นกระดาษเพียงใบเดียวที่สามารถสร้างความภูมิใจได้ให้กับคนในครอบครัว คนในตระกลู กว่า 20 ที่พ่อแม่พร่ำสอน ลงทุนเรื่องการศึกษากับเรา ผมว่าเราไม่ควรที่จะทำลายความฝันของท่านด้วยการ “ไม่ตั้งใจเรียน” อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต นำใบปริญญามาติดฝาบ้าน เป็นของขวัญให้กับพ่อแม่นะครับ

20.ความรู้ในรั้วมหาลัยแค่ติ่งหนึ่งของความรู้นอกมหาลัย เรียนต้องประยุกต์เป็น

สิ่งที่เราควรได้เรียนรู้มากที่สุดในรั่วมหาลัย ไม่ใช่แค่เพียงตัวหนังสือในตำรา แต่มันควรจะเป็นเรื่องของการที่เราสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ให้เป็น แม้บางเรื่องที่มหาลัยไม่ได้สอน (แต่ผมยืนยันว่ามหาลัยสอนเราทุกเรื่อง) เราก็ควรนำทักษะหรือ กระบวนการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้ในการ สืบค้น และพัฒนาเรียนรู้ด้วยตนเอง แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็น

ผมโชคดีที่ได้เรียนรู้กระบวนการคิดอย่างวิศวะ จึงไม่ค่อยลำบากใจนัก และไม่เคยคิดแย้งว่า มหาลัยไม่ได้สอนอะไร กลับกัน ผมกลับมองเห็นว่า มหาลัยพยายามสอนให้เราได้ “เรียนรู้ที่จะเรียนรู้” สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา และรู้จักที่จะนำสิ่งที่เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน การใช้ชีวิต

เมื่อออกจากรั้วมหาลัย หากรู้สึกว่าไม่ได้อะไร ก็ขอให้ได้ วิธีการ “เรียนรู้” เพื่อนำมาใช้นอกรั้วมหาลัยนะครับ

10 ปีที่สาม : ก่อร่างสร้างตัว

เมื่อชีวิตเข้าสู่วัยทำงาน อะไรต่อมิอะไรมันก็เป็นโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น ไม่มีคนมาคอยติวให้สอบ ไม่คะแนนจิตพัสัย ไม่อะไรทั้งนั้น ทุกอย่างเราต้อง “เรียนรู้” กันใหม่ จะเดินไปอย่างไร เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน

21.อีโก้น้อย เติบโตเร็ว อีโก้มาก เติบโตน้อย

เฮ่ย !! กูจบมหาลัยโน้น กูเกรดวิชานี้ A บลา กูเด็กนอก กูด็อกเตอร์ ฯ  บลา ๆ กูเป็นอย่างโน้น กูเป็นอย่างนี้ อีโก้สูงปรี๊ด อย่างนี้อยู่ได้ไม่นานครับ ไม่ว่าไปทำงานที่บริษัทไหนครับ หรือถ้าอยู่ได้ก็โตยากครับ ผมพบปะกับ ผู้บริหารมาพอสมควรแต่ละคนเป็นคนอ่อนน้อมอีโก้ต่ำเรี่ยราด ผิดกับเด็กจบใหม่อีโก้สูงยังกะตึก มหานคร  สิ่งแรกที่ควรทำก่อนสมัครงาน คือ “ลดอีโก้” ตัวเองลงครับ แล้วชีวิตจะดีขึ้นอีกเยอะ

22.ทำงานไม่ตรงที่เรียนจบเรื่องธรรมดา

ตอนสมัครเข้าทำงานก็ได้ทำงานตรงอยู่หรอก แต่พออยู่ไป ๆ เฮ่ย ๆ ทำไมไม่ตรงสายงานหวะ ไอ้ที่เรียนมาก็ไม่เห็นได้ใช้ บางคนหนักไปกว่านั้น จบมาสาขาหนึ่งแต่ดันได้ทำงานอีกตำแหน่งหนึ่ง….อย่าไปซีเรียสนะครับ มันเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่ต้องทำคือ “ทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด” คนเราไม่จำเป็นที่จะต้องจำกัดตัวเองว่าจบด้านนี้แล้วทำอย่างนี้ได้อย่างเดียว ไม่จำเป็นครับ ถ้าจบวิศวะ ทำงานได้แค่วิศวะ ผมว่ามันธรรมดา ถ้าจบการตลาดแล้วทำงานวิศวะได้ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ควรยกย่อง

อย่าไปรู้สึกว่าเสียดายวิชาที่ได้เรียนมาครับ เพราะผมบอกแล้วว่า มหาลัยสอนให้เรา “เรียนรู้ว่าควรเรียนรู้อะไร” ดังนั้นถ้าเราทำได้ ประยุกต์เป็น นั่นหละครับใช่แล้ว

23.MLM เป็นโรงเรียนสอนการทำธุรกิจที่ดี

ถ้าทำงานแล้วอยากเรียนรู้การทำธุรกิจ ฝึกความอดทน ฝึกทักษะการยอมรับการปฏิเสธ ฝึกทักษะการนำเสนอ ฝึกที่จะเป็นเจ้าของกิจการ ผมมองว่า ระบบของ MLM ช่วยเรื่องนี้ได้ดีเลยทีเดียวครับ ผมไม่ลงรายละเอียดว่าจะสำเร็จอะไรหรือไม่นะครับ เพราะถ้านับเรื่องตัวเงิน ตำแหน่งในธุรกิจ MLM ที่ผมมีโอกาสได้เข้าไปเรียนรู้ ผมนี่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย นอกจากความรู้ที่นำกลับมาพัฒนาต่อยอดให้กับการทำงาน การทำธุรกิจส่วนตัว

เรียกว่า MLM เป็นโรงเรียนสอนการทำธุรกิจอย่างดีเลยก็ว่าได้ครับ แต่สิ่งหนึ่งที่พึงระวังหากคุณเข้าไปไม่ถูกที่ไม่ถูกลุ่มคือ เสียเงิน เสียเวลา เสียเพื่อน ดังนั้นเลือกกลุ่ม เลือกธุรกิจที่คิดว่าจะเป็นพี่เลี้ยงเป็นโรงเรียนสอนธุรกิจให้คุณได้นะครับ

24.ทักษะในการนำเสนอ เป็นตัวชี้วัดว่าคุณพร้อมเป็นหัวหน้างานหรือไม่

ถ้าคน 2 คนทำงานได้เก่งพอ ๆ กันคนที่จะได้รับการโปรโมทคือคนที่พูดรู้เรื่อง คนที่สามารถย่อยสิ่งยาก  ๆ ให้เป็นเรื่องที่ฟังแล้วเข้าใจง่ายได้ คนที่สามารถนำเสนองานให้กับผู้จัดการเข้าใจได้ในระยะเวลาที่จำกัด คนที่สามารถที่จะโน้มน้าวลูกน้องได้ในเวลาที่พวกเขาห่อเหี่ยว หมดกำลังใจ

ทักษะการนำเสนอจึงเป็นตัวชี้วัดอันดับต้น ๆ ในการที่เราจะเจริญเติบโตในหน้าที่การงานนะครับ แต่ใช่ว่าจะเป็นพวกเอาแต่หน้า แต่งานไม่ทำนะครับ ต้องมีผลงานที่ประจักษ์ก่อน ส่วนทักษะการนำเสนอมันพัฒนากันได้

25.หวย การพนัน ไม่เคยทำให้ใครรวย

ผมเคยซื้อหวยงวดละ 3-5 พันบาท และเดือนหนึ่งก็หมดไปเป็นหมื่น เป็นอยู่อย่างนี้เกือบปี เรียกว่าอยากรวย ติดหวยจนงอมแงม เลยก็ว่าได้ สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย ถูกบ้างเล็กน้อยฉลองมื้อเดียวก็หมด แต่ไอ้ที่หมดไปทุกเดือนกับหวยไม่สามารถเอาคืนมาได้ รวยก็ไม่รวย แถมยิ่งจนลงอีกต่างหาก

เชื่อผมเถอะ !!! ซื้อไปยังไงก็ไม่รวย คิดได้ผมก็เลิก อยากซื้อหวยผมก็ซื้อฉลากออมสิน ฉลาก ธกส.แทน ต้นไม่หายแถมได้ลุ้นเหมือนกัน

26.เก่งอย่างเดียวเป็นแค่ลูกจ้าง เก่งหลายอย่างเป็นเจ้าของ

ถ้าคิดว่าจะเติบโตในหน้าที่การงาน หรือวางแผนจะเป็นนายตัวเอง ตอนทำงานควรเป็นประเภท ใช้อะไรกูทำหมดครับ ทำไปเรียนรู้ไป ถ้าเรียนรู้ได้ว่าแต่ละแผนกเขาทำอะไร ทำอย่างไร ฝังตัวอยู่ในแผนกนั้นสักระยะจะทำให้เราเข้าใจธุรกิจมากยิ่งขึ้น

สังเกตุไหมครับ องค์กรใหญ่ ๆ มักส่งลูกหลานมาทำงานเล็ก ๆ ก่อน ไม่ว่าจะเป็นเด็กถ่ายเอกสาร เสมียน บัญชี แล้วค่อย ๆ ย้ายตำแหน่งไปเรียนรู้แผนกโน้นทีนี้ที ก็เพราะว่าเขาต้องการให้ทายาทธุรกิจเขาได้เรียนรู้และเข้าใจธุรกิจอย่างแท้จริง

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเราควรที่จะ เรียนรู้ทำให้เป็น พัฒนาให้เก่งในหลาย ๆ ด้านนะครับ อย่าจำจดว่าเราจะเก่งแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

27.ใช้บัตรเครดิต ต้องคิดถึงความคุ้มค่า ไม่ใช่ฟุ่มเฟือย

บัตรเครดิตเป็นอีก 1 เรื่องที่ผมเคยใช้แบบพร่ำเพรื่อ ใช้เงินอนาคตมาผ่อน เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ดังเพลงคาราบาวที่เขาว่า “ราชาเงินผ่อน” ผมว่ามนุษย์เงินเดือนหลายคนเป็น จะทำไงได้ก็เงินมันน้อย อยากได้อยากมี (จนลืมไปว่า บางอย่างไม่มีก็ได้) สุดท้ายเต็มวงเงิน บัตรกี่ใบก็เต็ม จ่ายขั้นต่ำยั่งไม่พอที่จะหักเงินเดือน ต้องใช้กดเงินสดออกมาโบะบัตรโน้นทีนี้ที เรียกว่าย้ายเจ้าหนี้

พอเถอะครับ !! ใช้บัตรเครดิตให้ดูความเหมาะสม ความคุ้มค่า ไม่ใช่เพื่อความฟุ่มเฟือย อวดร่ำอวดรวยให้ใครเห็น ไม่มีก็บอกไม่มี เก็บเงินไว้กินไว้ใช้ในสิ่งของที่จำเป็น เก็บเงินไว้ลงทุนในเรื่องที่ควรลงทุนจะดีกว่าครับ

28.เป็นหนี้แล้วต้องใช้ ไม่อย่างนั้นจะติดบูโร มีผลกับเรื่องเครดิตในเรื่องการทำธุรกรรมอื่น ๆ

เมื่อบัตรเต็ม ก็เป็นหนี้ เมื่อเงินไม่พอก็ไม่มีปัญญาจ่าย คราวนี้เป็นเรื่องเมื่อถึงคราวต้องใช้เงินจริง ๆ จะไปกู้เงินในระบบ ก็ทำไม่ได้นะครับเพราะมันติดบูโร เครดิตไม่ดีในระบบที่ไหนเขาจะให้ กลายเป็นว่าต้องเดือดร้อนไปหาเงินนอกระบบมาโบะในระบบ เรียกว่า “เป็นหนี้แบบซ้ำซ้อน” ยิ่งกว่าคนพิการซ้ำซ้อน

อย่างไรก็แล้วแต่ครับ เป็นหนี้ก็ต้องใช้ครับ แม้ต้องลำบาก อดมื้อกินมื้อ ก็ต้องทำครับ เพราะหากไม่ใช้หนี้ถ้าเป็นในระบบเขาก็ตามทวงกันภายใต้กฏหมาย ขึ้นโรงขึ้นศาลก็แค่ยึดทรัพย์ แต่ถ้านอกระบบอาจจะโชคร้ายถึงขั้นเอาชีวิตกันเลยทีเดียวครับ ดังนั้นพยายามอย่าเป็นหนี้ เป็นดีที่สุดครับ

29.คนจะลาออกจะไม่แสดงอาการ คนแสดงอาการมักไม่ลาออก

ครั้งที่ผมตัดสินใจออกจริง ๆ นี่ผมไม่พูดไม่จา ไม่แสดงอาการอะไรว่าผมจะลาออกนะครับ วางแผนเรียบร้อย เคลียร์งานบางส่วนก็เดินไปบอกหัวหน้า แล้วก็ลาออกเลย แต่ครั้งที่ผมไม่พร้อมลาออกแต่เล่นแง่ว่าจะลาออกนี่ ผมบ่นทู๊กวัน พอเขาขึ้นเงินเดือนให้เล็กน้อยก็ทำงานได้สบายใจ

คนจะลาออกจริงเขาไม่พูดพร่ำทำเพลงครับ วางแผน ว่าออกไปแล้วเขาทำอะไร ไม่ได้ลาออกกันด้วยอารมณ์แต่ออกด้วยเหตุผลและมีงานหรือกิจการที่รองรับเอาไว้แล้ว

สำหรับใครที่บ่น เบื่องาน คุณยังไม่ออกหรอก จนกว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรม ไปหาอะไรรองรับอนาคตตัวเองเรียบร้อย เมื่อพร้อมก็ไม่บ่น ลาออกเลย !!

30.ทำงาน เก็บประสบการณ์ เก็บเงิน เพื่อสานต่อเป้าหมาย

ผมสนับสนุนให้คนที่มีฝัน มีเป้าหมายอยากเป็นเจ้าของกิจการ ทำงาน เก็บเงิน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในงานประจำให้ได้มากที่สุด อาจจะใช้เวลา 2-3 ปี อยากให้มองว่าบริษัทเป็นศูนย์บ่มเพาะธุรกิจให้กับตัวเรานะครับ

ให้ตั้งใจทำงาน ทำสุดกำลัง สุดความสามารถ ทำให้เป็นนิสัย คิดว่ากำลังทำงานนี้เป็นธุรกิจของเราเอง มันจะทำให้เรามีพลัง และเราจะได้ประสบการณ์ที่มากพอ ที่จะนำมาใช้ในการสร้างธุรกิจ สร้างอนาคตเป้าหมายของเราเอง

10 ปีที่สี่ : สร้างครอบครัวให้อบอุ่น

เมื่อการงานเริ่มเข้าที่ การเริ่มสร้างครอบครัวใหม่ก็เป็นเรื่องที่ควรกลับมาดู ได้เวลาที่จะสานต่ออนาคตมนุษยชาติกันแล้วครับ

31.สามีที่ให้ภรรยาดูแลเรื่องเงิน (แม้ไม่เต็มใจ) เจริญทุกคน

เป็นจริงดังโบราณว่าไว้ครับ ผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ทุกประการ สามี มีหน้าที่หาเงิน ส่วนภรรยา มีหน้าที่บริหารเงินที่หามาได้ครับ รับรองเจริญแน่นอน

32.ภรรยาที่ใช้เงิน โดยไม่มีสามีคอยปรามฉิบหายทุกราย

สิ่งที่อยากให้ช่วยกันดูมากที่สุดก็เรื่องเงินที่หามาได้นี่แหละครับ ใช่ว่าหามาแล้วภรรยาดูแลแล้ว จะจ่ายอะไรตามอำเภอใจนะครับ ควรมีการวางแผน ทำบัญชีการใช้งานแบบครัวเรือนให้มันดี ไม่ใช่ว่าจ่ายกันแบบไม่ลืมหูลืมตา อย่างนี้คนหาเงินไม่หากันจนตาย ก็ตัดบทไม่หาให้ก็จบกันนะครับ ครอบครัวมันก็จะไม่เป็นครอบครัว กลายเป็นเตียงหักกันไป

33.การแต่งงานไม่ต้องรอความพร้อม ช่วยกันสร้างความพร้อมจะดีกว่า

ผมก็ไม่ทราบว่าพร้อมในเรื่องการแต่งงานมันต้องมีอะไรบ้าง มีเงิน มีบ้าน มีรถ หรือมีความั่งคง เรามาสร้างไปด้วยกันได้ไหม เรามาทำกันไปด้วยกันได้ไหม เอาหละมันก็คงมีบ้างในเรื่องอายุ ในเรื่องของความรับผิดชอบชีวิตตัวเอง และรับผิดชอบชีวิตคนอื่น รับผิดชอบครอบครัว นี่อาจจะเป็นเรื่องความพร้อมทางด้านจิตใจ สภาวะทางอารมณ์มากกว่า การที่จะมาบอกว่าเป็นความพร้อมในเรื่องของวัตถุนะครับ

34.มีลูก 1 คนจะทำให้เรามีความสามารถเพิ่มขึ้นอีก 1-3 เท่าตัว

เมื่อมีลูกจะทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้นครับ ตอนไม่มีลูกเราอาจจะใช้ชีวิตกันแบบสบาย เป้าหมายโดยส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อตัวเอง แต่เมื่อมีลูก เป้าหมายในชีวิตมันขยายขึ้น ทำเพื่อตัวเองน้อยลง แต่ทำเพื่อลูกมากขึ้น คราวนี้หละเมื่อเป้าหมายชีวิตขยาย ทำให้ความสามารถเราก็ขยายขึ้นด้วย เวลาเท่าเดิมทำงานได้มากขึ้น ทำเงินได้มากขึ้น ผมรู้เลย คนเราทำอะไรได้มากกว่าที่ตัวเราคิดจริง ๆ กลายเป็นว่าลูกมาทำลายความเชื่อเดิม ๆ ว่าเราทำได้แค่นี้ แค่นิดเดียวเป็นทำได้มากยิ่งขึ้น

35.Born To Be ลูกแต่ละคนเกิดมามีนิสัยของเขามาแล้วใช้วิธีเดียวกันดูแลไม่ได้

โตมาเพิ่งเข้าใจก็ตอนมีลูกคนที่ 2 คนที่ 3 นี่แหละครับว่า คนแต่ละคนเกิดมามีพื้นฐาน มีบุคคลิก นิสัยของตัวเอง มันแสดงออกได้ตั้งแต่เด็ก ผมพยายามใช้วิธีการเดียวกันในการเลี้ยงลูกคนโตมาใช้กับคนที่ 2 ที่ 3 ใช้ได้แค่บางส่วน แต่ส่วนใหญ่ต้องปรับให้เข้ากับตัวลูก กลายเป็นว่าเราต้องเรียนรู้ลักษณะในนิสัยแต่ละคน เพื่อที่จะเลี้ยงดูเขาให้เป็นไปในนิสัยทางที่เขาควรจะเป็น

เราไม่สามารถใช้ ไม้บรรทัด มาตรฐาน ใด ๆ นำมาเปลี่ยน ตัวตนของเขาได้เลย อย่าทำให้ตัวเขาให้เหมือนใคร เพราะมันทำไม่ได้ ตัวเขาก็คือตัวเขา ทุกคน Born To Be ผมเชื่อเลยว่า ทุกคนมีของดีอยู่ในตัวครับ ถ้าโตขึ้นแล้วเราลืมเลือนไปบ้าง พยายายามที่จะทำแบบคนนี้ อยากเป็นคนนี้ อยากให้ลองหันมาลองสำรวจตัวเอง คุยกับตัวเอง ผมเชื่อว่าเราอาจจะพบสิ่งมหัศจรรย์ ในตัวเราก็เป็นได้นะครับ

36.ความเงียบคือการทะเลาะกันที่น่ากลัวที่สุด เปิดอกที่จะคุย เปิดใจที่จะฟัง

สามี ภรรยา เกิดเรื่องไม่เข้าใจกันบ้าง ลิ้นกับฟันยังกัดกันเลย นับประสาอะไรกับคนอยู่ด้วยกัน ทะเลาะกัน หรือ ขัดแย้งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่สิ่งที่ต้องทำคือการที่จะต้อง เปิดอก เปิดใจ ที่จะคุย ที่จะรับฟังซึ่งกันและกัน (โปรดอย่าคิดลึก นึกถึงเรื่องอื่น) คนหนึ่งร้อน อีกคนต้องเย็นไว้ก่อน เมื่อพายุสงบ ก็ต้องมาคุยกัน ถึงปัญหาข้อขัดแย้ง แล้วหาทางออกร่วมกัน

ทะเลาะกันผมว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราเข้าใจกันนะครับ แต่ทะเลาะกันแล้วต้องคุยกัน อย่าเงียบ เพราะความเงียบ คือการทะเลาะกันที่น่ากลัวที่สุด การคุยกันเป็นทางออกที่ดีที่สุดในทุกสถานะการณ์ ไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเลวร้ายสักปานใดนะครับ ในสังคมเราก็เช่นกันนะครับ เมื่อมีปัญหา อย่าใช้กำลังเป็นเครื่องตัดสิน อย่าใช้ความเงียบ เป็นคลื่นใต้น้ำที่มาคอยทำกลายซึ่งกันและกัน เปิดอกคุยกันดีกว่าครับ

37.ไม่มีความสมดุลย์ ระหว่าง งาน เงิน ครอบครัว จงให้น้ำหนักครอบครัวมากกว่า

มันไม่ง่ายเลยที่จะจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้เกิดความสมดุลย์ ระหว่าง งาน เงิน สังคม ครอบครัว จะจับมาหารเฉลี่ยเป็นคณิตศาสตร์คงทำไม่ได้หรอกครับ

สำหรับผมแล้วผมให้น้ำหนักกับคำว่า “ครอบครัว” เป็นประเด็นสำคัญ เพราะผมเชื่อว่าหาก ครอบครัวดี ที่เหลือมันจะตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง งาน เงิน หรือ สังคม เราต้องลองตั้งคำถามดูสิครับว่า เราทำงาน หาเงินไปทำไม ถ้าคำตอบเพื่อครอบครัว แล้วเราทุ่มเทกับงาน หาเงิน จนลืมครอบครัว แล้วบอกว่าทำเพื่อครอบครัว มันเป็นสิ่งที่สมควรไหม

หาเงินแต่พอมี พอเก็บ รู้จักใช้ จัดลำดับความสำคัญให้กับครอบครัวเป็นอันดับต้น นั่นหละครับถึงจะบอกได้ว่าทุกอย่างที่ทำเป็นการทำเพื่อครอบครัว แล้วครอบครัวนี่แหละจะทำให้ชีวิตสมดุลย์ในเรื่องของ เงิน งาน และ สังคม

38.คำว่ารัก คงยังไม่พอ ต้องมีคำว่า รับผิดชอบ ด้วย

คงเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” กันมาบ้าง ผมยังเชื่อในเรื่องของการลงโทษที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการหลาบจำ ไม่กล้าทำผิดในเรื่องนั้น ๆ อีก นี่คือความรัก ที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ และหวังดีต่อลูก แต่ก่อนที่จะตี หรือ ทำโทษ เราต้อง “สอน” และ “บอก” ว่าเขาทำผิดอะไร ไม่ควรทำอะไร ค่อยมาถึงขั้นตอนสุดท้ายว่าทำไมต้องทำโทษ

มันก็เหมือนศาลยุติธรรมนี่แหละครับ ที่เขาไม่ได้ตัดสินคดีบนอารมณ์ เขาตัดสินทุกอย่างบน วัตถุพยาน พร้อมทั้งก่อนลงโทษยังบอกถึงความผิดที่ผู้กระทำผิดได้ลงมือทำไป บทลงโทษเป็นอย่างไร อธิบายเสร็จสรรพ

ถ้าอยากให้ลูกได้ดี คงต้องมีตีกันบ้างครับ !!

39.อย่าหวงลูก เหมือนงูหวงไข่ แต่จงปล่อยให้เขาได้สัมผัสบาดแผลของเขาเองบ้าง

ยุคสมัยที่เราอยู่ ที่เขาเรียกกันว่าเด็ก Gen Z ที่พ่อแม่ยุค Gen x ยอมสปอย หรือ ประคบประงมลูกเป็นอย่างดี เป็น “ลูกเทวดา” อยากได้โน่น อยากได้นี่ พ่อแม่ต้องหาประเคนให้…..คงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกผมเป็นแน่ครับ ผมรักลูก หวงลูกก็จริง แต่จะได้อะไรสักอย่าง ต้องมีสิ่งที่ต้องแลกครับ ต้องใช้ความพยายามของตัวเองบ้าง

ถ้าลูกวิ่งเล่น แล้วเขาล้ม หน้าที่ผมคืน “ยืนดู” ว่าเขาจะลุกขึ้นมาได้อย่างไร พร้อมให้กำลังใจ ให้เขาลุกขึ้นมา สะบัดแข้งสะบัดขาแล้ววิ่งต่อ ปั่นจักรยานต่อ ผมแทบจะไม่เคยวิ่งรี่เข้าไปอุ้มให้ลูกลุกขึ้น หากเหตุการณ์นั้นประเมินดูแล้ว เขาลุกเองได้ ไม่ได้มีบาดแผลอะไรมากนัก เขาต้องมีโอกาสได้เรียนรู้บทเรียนของเขาเองตั้งแต่เล็ก เขาล้มแล้วลุกในตอนเด็ก ๆ มันคือบทเรียนที่จะสอนให้เขาจำเมื่อโตขึ้น เมื่อเขาล้มเขาจะคิดได้ว่า ตอนเด็กเขาล้มยังลุกได้เลย เมื่อโต ก็ต้องลุกได้

แต่หากล้มแล้วมีแต่คนเข้าไปช่วย ถึงตอนเวลาเขาโต พ่อแม่อาจจะไม่ได้อยู่แล้วก็ได้ แล้วเขาจะลุกอย่าง เมื่อลุกไม่ได้เขาก็ละทิ้งทุกสิ่งอย่าง ยอมแพ้ สุดท้ายก็ ฆ่าตัวตัว เพราะเขาไม่เคยได้รับบาดแผลอะไรเลยแม้แต่น้อยเมื่อตอนเล็ก โตขึ้นเขาก็รับความเจ็บปวดไม่ได้……ปล่อยให้ลูกได้มีบาดแผลเล็กๆ ให้เขาได้เรียนรู้ของเขาบ้างเถอะครับ

40.ตัวอย่างที่ดี มีค่ากว่าคำสอน

อย่าสอนลูกด้วยปากจนเกินไป สอนลูกอย่างตัวเองทำอีกอย่าง ไม่มีใครเชื่อหรอกครับ พ่อแม่ผม เป็นคนที่พูดน้อย แต่ทำทุกอย่างให้ดู ผมก็ซึบซับจากสิ่งที่พ่อแม่ทำให้เห็น เขาเห็น เขาเชื่อเขาจึงทำตาม

ตัวอย่างที่ไม่ดีก็ไม่ควรทำให้เขาเห็น หากเขาได้เห็นในสิ่งที่ไม่ดี เช่น ละครที่ตบตีกัน คราวนี้ก็ต้องสอนเขา เปรียบเทียบให้เห็นว่าอะไรดี อะไรไม่เหมาะสม

พ่อแม่คือครูคนแรกของลูก หากพ่อแม่เป็นครูที่ดี เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับลูก ก็คงไม่มีครูที่ไหนแล้วหละครับที่จะทำให้ลูกเป็นคนดีได้

ผมร่ายยาวมาจนครบ 40 เรื่องที่ต้องรู้ ก่อนชีวิตเข้าสู่หลักสี่ เศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่ผมพยายามถ่ายทอดมาเป็นบทความ เส้นทางที่ผมเคยผ่านมาแล้ว และคงไม่มีโอกาสกลับไปแก้ไข แต่สำหรับคนที่ยังเดินมาไม่ถึง อะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์ลองหยิบไปประยุกต์ใช้นะครับ

อนาคตอีก 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี ข้างหน้าผมเองก็บอกไม่ได้ว่าเส้นทางจะเดินต่อไปอย่างไร ทุกอย่างเป็นภาพลาง ๆ เท่านั้น

อนาคตเราไม่อาจหยั่งรู้ อดีตเราไม่อาจกลับไปแก้ไข มีเพียงปัจจุบันขณะ เท่านั้นที่เราควรที่จะ “รู้ตัว รู้ตน รู้หน้าที่” ว่าเราควรทำอะไร……จงทำวันนี้ ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับว่านี่คือวันสุดท้ายของชีวิต