เพิ่มยอดขายออนไลน์ทำอย่างไร ? เป็นคำถามที่ผมพบบ่อยมากทั้งวงการพูดคุยหลังจากการฝึกอบรม หรือ แม้กระทั่งการพูดคุยกันบนโลกออนไลน์ คำถามเหล่านี้มีคำตอบไม่ได้ตายตัวว่าควรต้องทำอย่างไร เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา เปลี่ยนแปลงไปตามเครื่องมือ (Tools) ที่เราใช้ในการทำการตลาด

แต่พื้นฐานที่ผมมักจะแนะนำให้กับผู้ประกอบการ SME หรือ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่ได้เข้าใจคือ “คุณต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าเขาหาสินค้าเราอยู่ช่องทางไหน ?” โดยสังเกตจากพฤติกรรมของตัวเอง พฤติกรรมคนรอบข้าง คำตอบที่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ “ลูกค้าค้นหาสินค้า บริการ ใน Google”

เมื่อลูกค้าหาเราใน Google แล้วเราจะทำอย่างไรให้เขาหาเราเจอหละ !!! เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ทำให้หลายคนเริ่ม “ถอดใจ” เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ต้องใช้เทคนิคอะไรอย่างไรบ้าง และต้องรอนานแค่ไหนกว่าสินค้าของเราลูกค้าจะหาของเราเจอ และสิ่งที่ผมมักแนะนำเพื่อตอบข้อสงสัยกับวิธีการทำอย่างไรให้สินค้าเราหาเจอบน Google คือ 4 ข้อพื้นฐานต่อไปนี้ครับ ที่ SME ต้องทำ

1.ต้องรู้ว่าลูกค้าจะ “ค้นหา” ด้วยคำว่าอะไร

เราขายอะไรว่าสำคัญแล้วนะ แต่เรารู้ความต้องการของลูกค้ายิ่งสำคัญกว่ามาก ใครรู้จักลูกค้ามากกว่า ใครตอบสนองความต้องการลูกค้าได้มากกว่า คนนั้นชนะ

Google เป็นเครื่องมือในการค้นหาความต้องการลูกค้าชั้นดีเลยในยุคปัจจุบัน คุณลองคิดดูสิครับว่าหากคุณต้องการสินค้า หรือ บริการอะไรสักอย่างทุกวันนี้คุณทำอะไรเป็นอันดับต้น ๆ ….

ค้นหาใน Google ใช่ไหมหละครับ ?

คุณค้นหาคำว่าอะไรกันบ้าง บางคนอาจจะกำลังหาร้านอาหารใกล้ๆ บ้านก็อาจจะพิมพ์คำว่า “ร้านส้มตำ รามอินทรา” แน่นอนครับ Google ก็จะนำร้านค้าที่อยู่ในย่านรามอินทราขึ้นมาโชว์

บางคนอาจจะต้องการซื้อสมุนไพรสำหรับคนเป็นเบาหวานมาทานเองหรือให้ญาติ โดยที่ไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อยี่ห้อไหน เขาก็อาจจะพิมพ์คำว่า “สมุนไพรรักษาโรคเบาหวานยี่ห้อไหนดี”

บางคนอาจจะกำลังมองหาช่องทางการลงทุน มองหาแฟรนไชส์ ก็อาจจะพิมพ์ว่า “แฟรนไชส์น่าลงทุน ปี 2018” เป็นต้น

ถ้าเรารู้ว่าลูกค้าเราเขาจะค้นหาคำอะไรที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของเรา นั่นเท่ากับว่าเรารู้ความต้องการเบื้องต้นของเขาแล้ว นี่เป็นก้าวที่สำคัญในการที่จะทำธุรกิจออนไลน์นะครับ

ลูกค้าเราเขาจะ “ค้นหา” คำว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สินค้า หรือ บริการของเรา

และที่มากไปกว่า “คำค้นหา” แล้วเราต้องลงรายละเอียดเพิ่มเข้าไปเพื่อที่จะโฟกัสไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่เขาต้องการซื้อจริงๆ ด้วย

เช่นหากเราเปิดร้านขาย รองเท้า คำค้นหาที่จะบอกว่าเขาต้องการซื้อจริงก็มักจะเป็นคำค้นหาที่ว่า “ซื้อ รองเท้า nike air max” เป็นต้น จะสังเกตเห็นได้ว่า คนที่ค้นหาคำนี้เขา โฟกัสไปเลยว่า “ซื้อ” และยังมีการระบุ “ยี่ห้อ Nike” รวมทั้งรุ่น Air max ของรองเท้าอีกด้วย ความเป็นไปได้เกินกว่า 80% เขาซื้อแน่ๆ แต่จะซื้อกับใครเท่านั้นแหละ หากเราวางแผนการเรื่องนี้ดีๆ ลูกค้ารายนี้ก็อาจจะเป็นของเราก็ได้

สิ่งที่ท่านต้องทำตอนนี้ก็คือลองลิส “คำค้นหา” ที่คาดว่าลูกค้าเขาจะซื้อสินค้าของเราครับ ลองลิสมันออกมาสัก 50-100 คำครับ

2.สร้างร้านออนไลน์เพื่อเป็นแหล่งรวม “สินค้า” และ “คำค้นหา” ที่ลูกค้าต้องการ

เราต้องมีหน้าร้านออนไลน์ที่เป็น แพลตฟอร์มของเราเอง !!!  เพื่อสร้างโอกาสในการขายสินค้า และที่สำคัญคือการเก็บข้อมูลลูกค้าเป็นข้อมูลหรือดาต้าของเราเอง

ร้านค้าออนไลน์ของเราเอง เป็นเสมือนหนึ่งสำนักงานใหญ่ของธุรกิจ เป็นโชว์รูมออนไลน์ขนาดใหญ่ เป็นชุมชนออนไลน์ที่กลุ่มเป้าหมายเข้ามาค้นหาข้อมูล สินค้า

ร้านค้าออนไลน์จะใช้แบบสำเร็จรูปทั่วไป หรือ จะเป็นการสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเองอย่าง WordPress ก็ได้ ทว่าต้องพิจารณาโครงสร้างของเว็บไซต์สักหน่อยด้วยว่า เว็บสำเร็จรูปเหล่านั้นมันรองรับวิธีการค้นหาของ Google ไหม มีหลายเว็บสำเร็จรูปที่มีปัญหาทางด้านนี้ หากจะให้ผมแนะนำการทำเว็บของเราเองเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคนจะจริงจังกับธุรกิจออนไลน์ ระบบ WordPress เป็นคำตอบ ส่วนใครที่อยากลองดูก่อน การใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปก็เป็นช่องทางที่เหมาะสมครับ

การทำเว็บไซต์จาก WordPress ก็ไม่ได้ยุ่งยากจนเกินไปนัก และเจ้า WordPress เองก็มีธีมให้เราเลือกใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของเรา รวมทั้งมี Pluginให้เราเลือกนำมาใช้ในการทำร้านค้า การปรับแต่งระบบให้เหมาะกับ Google และระบบ Mobile  ตัวอย่างเว็บ Taokaemai.com หรือ Finchances.com ก็ใช้ WordPress ในการทำเว็บขึ้นมา

คราวนี้ถึงตาท่านที่จะต้องลงมือสร้างร้านค้าออนไลน์ของท่านเอง สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ

1.จดโดเนมชื่อร้านของท่าน อาจจะเป็นชื่อแบรนด์สินค้าท่าน แต่ต้องสั้น กระชับ จำง่าย

2.หาเช่า Hosting สำหรับเป็นที่วางระบบเว็บ

3.ลงมือทำเว็บ หากต้องการทำด้วย WordPress หรือ ติดต่อผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป

หากท่านทำเองได้ก็ทำนะครับ หรือหากทำเองไม่ได้แนะนำให้หา Outsource มาช่วยทำให้ครับ หรือ หากต้องการให้ทีม Taokaemai.com ช่วยเหลือเรื่องนี้ทางเราก็มีบริการทำเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ SMEs

3.สร้างความเคลื่อนไหว เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ในร้านค้าออนไลน์เราตลอดเวลา

 

การเปิดร้านออนไลน์ ใช่ว่าเปิดร้านตกแต่ง มีสินค้าแล้วจบนะครับ สิ่งที่เราต้องให้น้ำหนักมาก ๆ คือ ความเคลื่อนไหวภายในร้านของเรา ยกตัวอย่างการทำร้านออนไลน์ก็ไม่ต่างจากหน้าร้านจริงบนโลกออฟไลน์นะครับ หากเปิดร้านแล้วไม่มีคนเข้าร้าน ถามว่าร้านเราจะอยู่ได้ไหม คำตอบคือ “เจ๊ง” อย่างแน่นอน

   จะทำอย่างไรให้ร้านค้าออนไลน์เรามีความเคลื่อนไหว ?

1.ต้องสร้างเนื้อหาหรือ Content ที่เป็นประโยชน์ ตรงกลุ่มเป้าหมายและ “ตรงกับคำค้นหา” ในเว็บเราอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบของ Google เข้ามาเก็บข้อมูลของเราเพื่อไปจัดอันดับเว็บให้ดียิ่งขึ้น

2.สร้างระบบการมีส่วนร่วมของผู้อ่านหรือกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง Plugin สำหรับการคอมเมนต์จาก Facebook หรือ การทำ Webboard ต่างๆ

3.กิจกรรมโปรโมชั่น ระบบสมาชิก ที่เข้ามาในเว็บไซต์ร้านค้าของเรา

เมื่อเว็บเรามีความเคลื่อนไหว ระบบ Google เข้ามาเก็บข้อมูล ก็จะเริ่มมีคนเข้ามาในเว็บไซต์ของเรา

แต่ช้าก่อน !!! การเปิดเว็บใหม่จะให้ผลแบบทันใจให้คนเข้ามาเว็บไซต์เราวันละเป็นร้อยเป็นพัน หรือ เป็นหมื่นไม่ใช่เรื่องที่สร้างกันภายในวันสองวัน แต่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ นะครับ ผมแนะนำว่าให้มองเรื่องการทำเว็บทำคอนเทนต์เป็นเรื่องของการลงทุน 3-6 เดือนที่ต้องทำต่อเนื่องแม้จะยังไม่มีรายได้ ยังไงเราก็ต้องทำ (จริงๆ มันก็มีตัวเร่งให้มีรายได้นะครับ ไว้จะเล่าให้ฟังในบทความต่อๆ ไป)

สิ่งที่คุณต้องทำต่อไปคือ กำหนดหัวข้อเนื้อหาบทความคอนเทนต์ที่จะนำมาลงในเว็บไซต์ของท่านจำนวน 50-100 หัวข้อที่มีความสัมพันธ์กับ “คำค้นหา” ที่เราได้เตรียมไว้ในข้อ 1

4.สร้างป้ายบอกทางเพื่อเชิญชวนระบบ Google เข้ามาเก็บข้อมูล

เมื่อร้านค้าเราสร้างเรียบร้อย มีเนื้อหาสาระในเว็บที่น่าสนใจ มีสินค้าที่หน้าซื้อน่าใช้แล้ว ลำดับต่อไปที่เราต้องทำคือการสร้างแผนที่ ทำป้ายบอกทางให้ระบบ Google เข้ามาเก็บเนื้อหาข้อมูลในเว็บของเราไปจัดลำดับ

ป้ายบอกต่อ เป็นภาษาง่ายๆ ที่ผมพยายามอธิบายให้เข้าใจเหมือนกับการที่เราจะเดินทางไปที่ไหนซักที่หากเราไม่มีแผนที่เราก็อาจจะไปไม่ถูก เราจะขับรถไปเชียงใหม่ เราก็ต้องรู้ว่าควรขับรถไปทางไหน ผ่านจังหวัดอะไรบ้าง มีป้ายบอกทางที่จะผ่านไปทีละจังหวัด อำเภอ ตำบล จนไปถึงเชียงใหม่

แต่ประเด็นไม่ใช่ว่ามีเพียงเรื่องของป้ายบอกทางอย่างเดียวนะ ความน่าเชื่อถือของคนถือป้ายบอกทางก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเช่นว่า

หากคุณไปถึงสระบุรี หากเลี้ยวขวาไปโคราช แต่ป้ายดันบอกว่าไปสงขลา แสดงว่าป้ายนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ

ป้ายบอกทางบนระบบออนไลน์ คือการที่เรานำ ลิ้งค์เว็บไซต์ของเราพร้อมกับ “คำค้นหา” ไปบอก ไปแปะไว้ในเว็บต่างๆ เขาเรียกกันสั้นๆ ว่า “สะพานบอท” หรือ ตัวเชื่อมเว็บเก่าที่ Google ได้ทำการเก็บข้อมูลแล้วให้มาเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ของเราด้วย

ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ที่เรานำ “คำค้นหา” และ “ลิ้งค์” ของเราไปวางนั้นเป็นเรื่องสำคัญ หากเว็บมีปัญหาไม่มีความน่าเชื่อถือ ก็จะส่งผลกับเว็บไซต์ของเราด้วย เช่น เว็บลามก เว็บการพนัน เว็บเหล่านี้จะส่งผลให้เว็บเราไม่น่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน เผลอๆ นอกจากจะไม่เก็บข้อมูลในเว็บไซต์เราแล้ว ยังจะ “ฝัง” เว็บเราแบบไม่ให้ผุดให้เกิดอีกด้วย

การนำลิ้งค์เว็บไซต์เราไปแปะในเว็บอื่นๆ มีทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย ซึ่งมีคนที่รับทำ “ป้ายบอกทาง” หรือการทำ “Backlink” เป็นกิจจะลักษณะ สำหรับเว็บฟรีที่เราสามารถนำเว็บไปวางได้เช่นพวก Social ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook,Twitter หรือ แม้กระทั่ง Youtube หรือเว็บบอร์ดเช่น pantip (แต่ก็ต้องเนียนพอสมควรนะครับ) ยังมีเว็บฟรีที่เราสามารถนำลิ้งค์เว็บของเราไปวาง ไว้เรามาเจอกันในคลาสเรียนแล้วผมจะแนะนำให้กับทุกท่านนะครับ

สิ่งที่ท่านต้องทำต่อไป นำลิ้งค์เว็บไซต์ของท่านพร้อมกับ “คำค้นหา” ไปวางทำป้ายบอกทางยังเว็บไซต์ฟรี 5-10 เว็บไซต์

4 สิ่งพื้นฐานที่เจ้าของกิจการต้องทำเพื่อให้สินค้าหรือบริการของเราหาเจอบน Google  แล้วโอกาสในการสร้างยอดขายบนโลกออนไลน์ของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ลงทุนในสิ่งที่ควรลงทุน แล้วผลตอบแทนก็จะคุ้มค่ากับสิ่งที่คุณได้ลงทุนมันไป

สำหรับท่านเจ้าของกิจการที่ต้องการเพิ่มยอดขายด้วย Google Marketing แล้วยังไม่ทราบว่าควรใช้ “คำค้นหา” อะไร เชิญลงทะเบียนไว้นะครับ ทางทีมงาน “สถาบันพัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการ SME” จะวิเคราะห์คำค้นหาให้ท่าน 3 คำที่ควรนำไปใช้กับธุรกิจ >> ลงทะเบียนวิเคราะห์คำค้นหา

หรือท่านที่ต้องการเรียนรู้แบบจับมือทำพร้อมกับ Homework อีก 45 วัน ทำครบ คืนเงินเต็มจำนวนพร้อมแถมโบนัสให้อีก รวมได้กลับไปกว่า 5,500 บาท >> อ่านรายละเอียดหลักสูตร เพิ่มยอดขายด้วยคอนเทนต์เน้น SEO