ทำแบรนด์ครีมเขาว่ารวยข้ามคืน คำพูดนี้ยังใช่ได้อยู่ไหมนะ ?

ตอนนี้หันซ้าย แลขวา ใคร ๆ เขาก็มาทำแบรนด์ครีม เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางกันทั้งนั้น หน้าเด้งหน้าใสเต็มหน้าฟีด หน้า Time line ไปหมดเลย (แต่ขายได้หรือเปล่าไม่รู้นะ ?)

พี่ฝนอยู่ในตลาดนี้มาร่วม ๆ 10 ปี ทำมาตั้งแต่ขายสินค้าด้วยเงินทุนเพียงหลักพันเป็นตัวแทนเขา จนสามารถปั้นแบรนด์เป็นของตัวเอง สินค้าทำมาก็บอกตามตรงว่าขายไม่ได้ดั่งที่ตั้งเป้าหมายเท่าไหร่นัก เจ็บตัวบ้าง กำไรบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติในการทำธุรกิจ

ยิ่งตอนนี้นะคะ ใคร ๆ ก็เป็นเจ้าของแบรนด์ครีมได้ ต้องบอกว่าง่าย และง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะคะ เป็นเจ้าของหนะง่ายนะคะ แต่ให้ขายได้ ขายดิบขายดี ต้องบอกว่า หิน เลยจ้า

วันนี้เลยอยากจะขอมาร่วมแบ่งปันกับคนที่ต้องการเป็น “เถ้าแก่ใหม่” หรือ “เถ้าแก่เนี๊ยะ” ในสายความงาม ว่าหากจะเข้าตลาดนี้ต้องเตรียมตัวอะไรกันบ้าง มาดูกันเลยดีกว่า

ทำแบรนด์เครื่องสำอางค์ลงทุนเท่าไหร่

1.ศึกษาตลาด ลองเป็นตัวแทนคนอื่นก่อนดีไหม

ถ้ายังไม่เคยใช้ก็อย่าเพิ่งขาย ถ้ายังไม่เคยลองขาย ก็อย่างเพิ่งคิดสร้างแบรนด์ แนะนำว่าจริง ๆ แล้วเราควรที่จะเรียนรู้พฤติกรรมหรือรูปแบบตลาดของธุรกิจนี้ให้คุ้นชินสักระยะนะ

อาจจะลองเริ่มจากการลองใช้สินค้าสักแบรนด์ และขอเป็นตัวแทนสินค้าในกลุ่มที่ไม่ได้เป็นกระแสอะไรมากมาย ไม่เป็นที่รู้จักมากนักดูก่อน อาจจะใช้เวลาสักครึ่งปีหรือหนึ่งปี หากเราเป็นตัวแทนแล้วสามารถช่วยดันครีมตัวนี้เป็นที่รู้จักขึ้นได้ มันก็เหมือนกับว่าเราได้ลองทำการตลาดด้วยต้นทุนที่เราไม่ต้องลงทุนมากจนเกินไปไงคะ

ทำได้เราก็มีฐานลูกค้าระดับหนึ่ง ถึงตอนนั้นค่อยคิดกันอีกทีว่าควรจะทำแบรนด์ครีมของตัวเองดีหรือเปล่านะ หากทำก็อย่างน้อยเรามีฐานลูกค้าไง

แต่ถ้าเราเป็นตัวแทนแล้วขายสินค้าไม่ได้ ขายไม่ดี ก็นั่นไง หากเป็นสินค้าเราหละ !!! เราไม่ต้องเสียค่าทำแบรนด์ครีมไปเป็นหมื่นเป็นแสนไง ดีกว่าไหมละ

                อย่าเพิ่งใจร้อนนะคะ ถ้าไม่รู้ว่ามีเงินแล้วจะทำอะไร เอามาฝากพี่ฝนไว้ก็ได้คะ รับรองไม่หายจ้า

2.รู้หรือยังว่าลูกค้าเราเป็นใคร

คำถามนี้ง่ายมาก ถามเด็กอนุบาลก็ตอบได้คะ จะทำแบรนด์ครีมลูกค้าก็ต้องเป็นผู้หญิงสิ !!! ใช่คะคำถามนี้ง่ายแต่ถ้าตอบแบบเด็กอนุบาลง่าย ๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงสูงที่เริ่มต้นด้วยคำว่า “เจ๊ง” เป็นแน่แท้คะ

ไม่ง่ายนะคะ !!! กับคำว่าลูกค้าเป็นใครเนี้ย คิดน้อยไปก็ไม่ดีนะคะ

ต้องบอกว่าคำว่าแค่ “ผู้หญิง” มันไม่พอคะ ต้องทำให้เห็นชัดกว่านั้น ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร อายุเท่าไหร่ การศึกษาเป็นอย่างไร รายได้เท่าไหร่ ทำมาหากินอะไร บ้านช่องห้องหออยู่ที่ไหน ภาระการเงินเป็นอย่างไร เธอชอบการแต่งตัวแบบไหน หรือเป็นแฟนคลับศิลปินคนไหน เธอใช้เวลาว่างทำอะไร ไปไหน ไปกับใคร แล้วเวลาที่เธอจะซื้อครีมนี่เธอมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะเลย ฯลฯ

เยอะไหมหละ ยากไหมหละ นั่นแหละ มันถึงไม่ค่อยมีใครทำกันอย่างจริงจังไง ก็ทำกันเพียงแค่ว่า ลูกค้าฉันมีปัญหาสิว มีปัญหาฝ้า ต้องการหน้าใส บลาๆ เป็นการเข้าข้างตัวเองเสียส่วนใหญ่ว่ารู้จักลูกค้าจริงๆ

พอสินค้าออกมาขายกลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เราคิดว่า “ลูกค้าเราเป็นใคร” นั้นมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ไงคะ และมันก็ขายไม่ได้ จบกันไปตามระเบียบนะคะ

                คิดให้ดี คิดให้ละเอียดนะคะ เห็นหน้าตาลูกค้าแม่นเท่าไหร่ โอกาส “เจ๊ง” น้อยเท่านั้นคะ

3.รู้แล้วใช่ไหมว่าสินค้าเรามีความแปลกและแตกต่างอย่างไร

ลูกค้าไม่ชัวร์ ขอมาดูสินค้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวได้ครีมออกมาลูกค้าก็วิ่งมาหาเองแหละ !! คิดอย่างนี้จริงๆ หรือคะ

แบรนด์ครีม ตัวเนื้อครีมมันเหมือนกับหุ่นนะคะ ส่วนแพคเก็จ กล่องมันก็เหมือนเสื้อผ้าที่นำมาใส่คู่กะหุ่น เสื้อผ้าเปลี่ยนแต่หุ่นตัวเดิมนะคะ

ความแตกต่างในตลาดมีน้อยมาก ส่วนผสม เนื้อครีม สีครีม รวมทั้งคุณสมบัติต่างๆ ยิ่งแล้วใหญ่นะคะก็เหมือน ๆ กันหมด มันเป็นความยากอีกขั้นหากจะสร้างความแตกต่างทางด้านสินค้า เพราะแค่แพ็คเก็จ กล่องมันคงไม่พอ

หากเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้ การที่จะเอาชนะตลาดก็ยิ่งจาก จะทำให้คนหันมามองก็ยิ่งยากเข้าไปกันใหญ่นะคะ

อาจจะต้องลองเริ่มจากหางานวิจัยอะไรใหม่ๆ หรือนวัตกรรมการผลิตที่สามารถดึงสารสกัดเข้าสู่ผิวได้เร็ว ได้ไว ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะสร้างความต่าง

ส่วนผสม สารสกัดจากต่างประเทศที่ยังไม่เคยมีใครทำ ก็เป็นอีกอย่างที่ควรเสาะแสวงหา อย่าเพิ่งเชื่อใจ ไว้ใจโรงงานเพียงโรงงานเดียวที่จะทำแบรนด์ครีมให้เรา อาจจะใช้เวลา 2-3 เดือนในการศึกษาเพื่อให้ได้สินค้าที่มีความแตกต่างนะคะ

                ยิ่งเราใส่รายละเอียดกับสินค้า โอกาสที่จะทำให้เราสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้นคะ

4.เตรียมแล้วใช่ไหม เตรียมเงินทำการตลาดแล้วใช่ไหม

เรื่องนี้สำคัญมาก สำคัญที่สุด สำคัญจริงๆ คะ เพราะส่วนใหญ่แล้วมือใหม่ทำแบรนด์ครีมที่ไม่สามารถไปต่อได้ก็เพราะว่าเมื่อได้ตัวผลิตภัณฑ์มาแล้วก็ “หมดเงิน” หนูมีทุนน้อย ทำได้แค่ตัวสินค้า แต่มีปัญหาไม่มีงบที่จะทำการตลาดเพื่อให้คนรู้จัก ได้เห็น ได้ลองใช้ ให้เขาได้มีโอกาสติดใจ และซื้อใช้สินค้าเรา

90 กว่าเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างนี้จริงๆ คะ มีเงินซื้อมอเตอร์ไซต์ แต่ไม่มีเงินเติมน้ำมันรถ ครั้นจะเข็นไปก็เข็นไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องจอดมอเตอร์ไซส์ทิ้งไว้ แล้วก็บอกว่าไอ้รถคันนี้มันไม่ดีใช้งานไม่ได้ ไม่น่าซื้อมาเลย

ต้องเตรียมนะคะ เรียกง่ายว่าเตรียมเงินหมุนไว้ก็ได้คะ ถามว่าเท่าไหร่ดี ตอบยากนะแล้วแต่ขนาดธุรกิจ และเป้าหมายที่เราจะไปด้วย หากเราลงทุนตัวสินค้าสัก 5 หมื่น ก็ควรจะมีเงินเรื่องการตลาดสักแสนถึงแสนห้าคะ ถึงจะพอมีหวังนะ

แต่จะขายได้มากน้อยนี่ยังตอบไม่ได้เพราะทุกวันนี้มันแข่งกันหนักมาก ใครมีความรู้มีเทคนิคการทำการตลาดที่ดีกว่าก็มีโอกาสไปถึงเส้นชัย ส่วนคนที่ทุนน้อยด้วย ทำการตลาดไม่เป็นอีก ต้องบอกว่าเตรียมโบกมือลาได้เลยคะ ไม่รอดแน่นอน

ถ้าคิดจะจริงจัง ต้องเตรียมตังก์ไว้ทำการตลาด พี่ฝนคอนเฟริ์มคะ

ทำแบรนด์เครื่องสำอางค์ลงทุนเท่าไหร่

5.ใจทำหรือยัง ว่าถ้าธุรกิจพังขึ้นมาไม่คิดฆ่าตัวตาย

มีเงินสักสองแสน ทำแบรนด์ครีมพอทำได้ทั้งเรื่องสินค้าและการตลาดนะคะ แต่ก็ยังต้องถามต่ออีกว่าหากเงินสองแสนนี้มันละลายหายไปกับสินค้าที่มากองอยู่เต็มบ้านเราจะรับมันได้ไหม เป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตหรือเปล่า เป็นเงินที่ไปกู้ไปยืมเขามาหรือเปล่า เป็นเงินที่ร่วมหุ้นร่วมทุนกันหรือเปล่า ขายไม่ได้แล้วจะทะเลาะเบาะแว้งกันไหม หรือ เงินนี้ปลิวไปแล้วถึงขั้นต้องคิดฆ่าตัวตายหรือเปล่า

ถ้าบอกว่า รับได้สบายมาก พร้อมที่จะลุยเต็มที่ แม้ทำเต็มที่แล้วยังไม่ได้ เงินส่วนนี้ที่ลงทุนไปก็ไม่ได้เสียดาย ถือว่าเป็นประสบการณ์ ไม่ตายก็หาใหม่ได้ อย่างนี้สนับสนุนให้เดินต่อคะ

หากบอกว่า ไม่ได้คะ เงินก้อนนี้หายไปต้องแย่แน่ๆ ก็คงต้องบอกว่า “วางมือ” ให้ “เปลี่ยนความคิด” ที่จะทำธุรกิจแบรนด์ครีมไว้ก่อนได้เลยคะ อย่าเอาเงินนั้นมาเสี่ยงกับธุรกิจนี้เลย เก็บเงินไปลงทุนอย่างอื่นดีกว่านะคะ

                เราอาจจะเห็นคนสำเร็จในธุรกิจนี้มากมายนะคะ แต่อย่าลืมนะค้นที่ล้มตายไปเยอะกว่าคะ คนที่เขาทำได้ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยล้ม ไม่เคยเจ๊ง คุณคุณอาจจะเห็นตอนเขาสำเร็จไง มีเงินไง

แต่ตอนนี้เขาลำบาก เขาสู้ เราไม่เห็นไง เราพร้อมที่จะสู้อย่างนั้นไหมหละ บางคนทำมาเป็น 10 ปี 20 ปี กว่าจะมีวันนี้วันที่เรามองเห็นเขาสบาย แต่เรากลับตุ๊ต๊ะไปว่า “มันง่าย” เราเองก็ทำได้ อย่าชะล่าใจไปนะคะ คนคิดแบบนี้ “เจ๊ง” มาเยอะหละคะ

ขอให้คนที่สนใจธุรกิจนี้ ศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริงให้ดีก่อนที่จะลงทุนนะคะ หากสนใจจริงๆ ก็ลองทักมาพูดมาคุยกันก่อนได้คะ ยินดีที่จะพูดคุยตอบข้อซักถามจ้า