แถลงการณ์ของเฮียมาร์ค สั่นสะเทือนวงการดิจิตอล มาร์เก็ตติ้ง พอสมควร

สรุปสิ่งที่เฮียมาร์คแกบอกให้คนที่ใช้เฟซบุ๊คอยู่ทราบมี 5 ประเด็นสำคัญๆ ดังนี้

1. เฟซบุ๊คจะกลับมาเป็นสู่พื้นฐาน

ไม่ใช่ก็พยายามให้ใกล้เคียง คือ คนใช้เฟซบุ๊คจะเห็นโพสต์จาก เพื่อน ครอบครัว และคนสนิทมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คล้ายๆ กับการใช้เฟซบุ๊คเมื่อย้อนกลับไปมากกว่า 5 ปี..

แต่อย่าคิดว่ามันจะเป็นเฟบุ๊คใสๆ เหมือนเมื่อครั้งอดีตนะ เพราะคนที่ทำมาหากินบนเฟซบุ๊คมันมหาศาล มากกว่าเมื่ออดีตเยอะ และไม่มีใครอยากแพ้พ่ายออกไปจากเฟซง่ายๆ หรอก คนทำธุรกิจเหล่านี้ต้องทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ธุรกิจยืนอยู่ได้ และอยู่ยาวบนเฟซบุ๊ค เพราะเฟซบุ๊คคือแหล่งที่คนจำนวนมหาศาลใช้งาน และเป็นโซเชียล มีเดีย แพลตฟอร์มอันดับหนึ่งของโลก

แต่นัยยะที่แฝงไว้ลึกๆ ก็คือ เฮียมาร์คแกได้ set zero เริ่มต้นใหม่ โดยบีบให้คนทำธุรกิจต้องจ่ายมากขึ้นเพื่อรักษาธุรกิจไว้ซะมากกว่า แถมไม่ได้บีบให้จ่ายเงินอย่างเดียวนะ แต่ยังบีบให้ต้องทำเนื้อหาที่มีคุณภาพ โดยวัดกันที่การมีปฏิสัมพันธ์ของคนใช้เฟซบุ๊คนี่แหละ มีเงิน แต่ไม่มีคุณภาพ ไม่นานก็จอด..​

เรียกได้ว่าเป็นการเริ่มต้น ศักราชของ B2B สำหรับเฟซบุ๊คอย่างแท้จริง

2. สำหรับคนทำเพจเกี่ยวกับธุรกิจ แบรนด์

หรือสื่อ จะโดนผลกระทบเต็มๆ โดยเฉพาะพวกที่เคยได้เสนอหน้าให้คนใช้เฟซบุ๊คเห็นอยู่แทบตลอดเวลา จนน่ารำคาญสำหรับหลายคนที่ไม่ต้องการเห็นโพสต์เหล่านั้นเลย ซึ่งนั่นจะทำให้ธุรกิจ แบรนด์ หรือสื่อ ดร็อปลงไปทันที และดร็อปเยอะด้วย อันนี้ต้องปรับตัวกันอย่างแรง..

ทางที่จะช่วยได้เบื้องต้นระยะสั้นๆ คือ การเน้นเรื่องการทำธุรกิจผ่าน เฟซบุ๊คกรุ๊ป ที่ยังถูกให้ความสำคัญอยู่ เพราะมาร์คเชื่อว่า กรุ๊ปคือชุมชนที่สนใจเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะ เรียกได้ว่า รวมพลคนคอเดียวกัน น่าจะมีปฏิสัมพันธ์กันไม่น้อย ซึ่งตรงกับสิ่งที่มาร์คต้องการเคือ เรื่อง meaningful interaction แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นกรุ๊ปที่มีคุณภาพในการนำเสนอ แลกเปลี่ยน content และคนที่อยู่เป็นคนที่มีความสนใจในเรื่องนั้นๆ ในระดับหนึ่ง..

แต่เมื่อมามองดูเมืองไทย ผมว่า เฟซบุ๊คกรุ๊ปไม่ช่วยอะไรซักเท่าไหร่เลย เพราะคุณภาพของกรุ๊ปจัดว่าขี้เหร่มาก ไร้คุณภาพ ไร้ content ดีดี ไร้คนมาปฏิสัมพันธ์กันอย่างคึกคัก เพราะบ้านเราเล่นสร้างกรุ๊ป แล้วลากชาวบ้านบนเฟซบุ๊คเข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าว และพฤติกรรมคนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้งานกรุ๊ปในระดับที่เรียกว่า คุณภาพ เลย..

อีกทางเดียวที่น่าจะช่วยได้มากหน่อยคือ คุณต้องจ่ายค่าโฆษณามากขึ้นกว่าเดิม และอาจได้การมองเห็นที่ไม่เท่าเดิมด้วยนะ อันนี้ต้องชั่งใจเอาเอง.. รายไหนพรัอมเรื่องทุนก็สบายหน่อย เพราะลอง และปรับจนเข้าที่เข้าทางได้ แต่รายเล็กๆ เงินไม่ค่อยมี อันนี้คือ

สัญญาณหายนะที่ต้องรีบคิดและหาทางออกที่เหมาะสมกับธุรกิจคุณ..

 

3. โพสต์ใดไม่ว่าจะเป็นโพสต์ส่วนตัว หรือเพจ

ถ้าโพสต์นั้นไม่มีคุณค่าและการปฏิสัมพันธ์กับคนใช้เฟซบุ๊ค โพสต์เหล่านั้นก็จะหายไปจากหน้า feed อย่างรวดเร็ว และอาจหายไปยาวนานเป็นเดือน หรือหลายเดือน และบางกรณีอาจเรียกได้ว่า หายไปแบบไม่กลับมาอีกเลยก็เป็นได้..

ทำให้คนทำเพจต้องปราณีตและครีเอทมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า นำเสนอแบบที่ไม่ซ้ำใคร หรือแตกต่าง และเป็นที่สนใจ จนทำให้คนใช้เฟซบุ๊ค ไม่สามารถอ่านมันแล้วเฉย แต่ต้องมีส่วนร่วม แลกเปลี่ยนโต้ตอบ หรือบอกต่อให้กับเครือข่ายเพื่อนของเค้าด้วยการแชร์ออกไป.. เรียกได้ว่าต้องสร้าง

powerful content เพื่อทำให้เกิด meaningful interaction ไม่งั้นก็เตรียมโบกมือบ๊ายๆ เพจคุณได้เลย

 

4. สำหรับคนทำธุรกิจบนเฟซบุ๊ค ต้องถอยออกมาแล้วย้อนมองดูธุรกิจตัวเอง

และสิ่งที่ทำอยู่ ถ้าธุรกิจคุณยังแขวนไว้กับเฟซบุ๊คเกือบทั้งหมด.. ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้แล้ว..

ถ้าคุณยังเอาแต่โพสต์ขายของ ไม่ว่าจะขายดีจริงๆ หรือเคยขายดี หรือมโนว่าขายดี ต่อไปนี้มันคือการทำงานที่ไร้ผลตอบกลับ ชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำไม่ได้แล้ว

โดยเฉพาะการโพสต์ขายของตรงๆ แบบตะบี้ตะบัน อันนั้นยิ่งทำไม่ได้เลย เพราะเพจคุณจะหายวับอย่างรวดเร็ว.. และอย่างคิดว่าไม่เป็นไร โพสต์หน้าโปรไฟล์ด้วยก็ได้ โพสต์คุณก็จะหายไปจากสารบบหน้า feed ของคนใช้เฟซบุ๊คในเวลาอันรวดเร็วเช่นกันเพราะเฟซบุ๊คเค้าจับเรื่อง passive experience ถ้าคนเห็นแล้วอ่านแล้วผ่านไป ต่อไปคือเห็นแล้วไม่อ่าน..​ และก็ไม่เห็นอีกเลย..

 

5. บทสรุปคือ เฟซบุ๊คเค้าไม่เน้นจำนวน ไม่ให้โอกาส ไม่สนใจพวกมือสมัครเล่น

เค้าจะคัดๆๆๆ แล้วก็เลือกเฉพาะตัวจริง คนที่ใช่ (ถ้าเป็นหน้า feed คือเลือกเก็บ เพื่อน ครอบครัว และคนสนิท นอกจากนี้คือ คุณต้องสร้าง meaningful interactiive contents)

ถ้าเป็นเพจธุรกิจต้องสร้าง powerful contents ที่มาพร้อมตังค์ที่มากขึ้นกว่าเดิม และไม่ควรหวังกับเฟซบุ๊คมาก หลายคนบอกให้ไปแพลตฟอร์มอื่น ผมบอกอีกครั้งว่า คุณต้องไปตลาดออฟไลน์แล้ว เพราะนั่นคือปลายทางที่ทุกคนต้องไป

ถ้าอยากให้ธุรกิจคุณอยู่รอดต่อไป คือต้องทำออนไลน์ และออฟไลน์ และทำให้ดีด้วย

นี่คือสิ่งที่คาดว่าจะเป็นผลที่ตามมาจากสิ่งที่เฟซบุ๊คจะทำนับจากนี้ เฟซบุ๊คปรับแล้ว คุณล่ะปรับหรือยัง?

 

— วิริทธิพล —