เป็นที่ฮือฮาพอสมควรกับข่าวการจับมือทางธุรกิจกันของ ยักษ์ใหญ่ global coffee chain อย่างสตาร์บัคส์ กับ no.1 local dessert chain อย่าง อาฟเตอร์ ยู โดยลูกค้าที่ชื่นชอบ ชิบูยา ฮันนี่ โทสต์ ของอาฟเตอร์ ยู สามารถ หาทานได้แล้วที่ร้านกาแฟ สตาร์บัคส์ เริ่มที่ สาขาเมกะ บางนา แล้วกำลังขยายไปสาขา สยาม สแควร์ วัน เร็วๆ นี้.. และเชื่อว่าจะมีในอีกหลายสาขาในอนาคตอันใกล้ค่อนข้างแน่

 

ดีลฟีเจอร์ริ่งนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงเกิดขึ้น เกิดแล้วมีใครได้ และมีใครเสียหรือไม่อย่างไร จะขออนุญาตแชร์มุมมองส่วนตัวผ่านเคสนี้..

ส่วนตัวมองว่า ดีลนี้ ต่างฝ่ายต่างได้เต็มๆ ชนิดที่เรียกว่า เติมเต็มซึ่งกันและกัน สามารถแยกเป็นประเด็นได้ดังนี้

 

สตาร์บัคส์.. ได้ประโยชน์ 2 ด้านคือ..

1. เสริมไลน์ของหวานให้น่าสนใจ และแข็งแกร่งขึ้น..

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า สตาร์บัคส์เป็นแบรนด์กาแฟ ระดับโลก และเป็นแบรนด์ที่เข้มแข็งและอยู่ในระดับซุปเปอร์พรีเมียม เวรี่ไฮเอนด์ แอนด์ลักชัวรี่สุดๆ แต่จุดอ่อนของธุรกิจร้านกาแฟ ก็คือ เมนูของหวานนี่แหละ.. ซึ่งการได้ สุดยอดเมนูดังอย่าง ชิบูยา ฮันนี่ โทสต์ แบรนด์อาฟเตอร์ยู ไว้รองรับลูกค้า ทำให้เมนูของหวานดูดีขึ้น และน่าจะสร้างยอดขายได้หวือหวาไม่น้อย (ถ้าได้เสิร์ฟในหลายสาขาของสตาร์บัคส์)

 

2. การมาฟีเจอร์ริ่งของ 2 แบรนด์ดังแบบนี้

สตาร์บัคส์ได้กลุ่มลูกค้าเด็กรุ่นใหม่ วัยอ่อนกว่า ฐานลูกค้าเดิมของสตาร์บัคส์มาเต็มๆ ถือเป็นขยายฐานลูกค้าของสตาร์บัคส์ให้กว้างกว่าเดิมเต็มๆ ถือเป็นกลยุทธ์ด้าน recruit new customers ที่ดีไม่น้อยเลย เพราะโปรไฟล์ลูกค้าที่ทานร้านอาฟเตอร์ ยู ก็ไม่ใช่ไก่กา อาราเร่ ถือได้ว่าอยู่ในระดับดีและเหมาะกับแบรนด์สตาร์บัคส์ด้วยเช่นกัน

 

อาฟเตอร์ ยู ได้ประโยชน์อะไร.. มองว่าน่าจะได้ใน 4 ด้านคือ

 

1. เสริมภาพลักษณ์แบรนด์ อาฟเตอร์ ยู

ด้วยความที่เป็น local brand ถึงแม้จะดังแค่ไหน คนภายนอกยังมองว่าอยู่ในระดับที่ดีแค่ระดับหนึ่ง.. แต่การได้ฟีเจอร์ริ่งกับ สตาร์บัคส์แบบนี้ ถือเป็นการยกระดับแบรนด์ อาฟเตอร์ ยู ไปสู่ความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง เพราะการดีลธุรกิจกับแบรนด์ระดับโลกอย่างสตาร์บัคส์นี้ ถ้าไม่เจ๋งจริง คงเกิดขึ้นไม่ได้ นอกจากนี้ยังถือเป็นการเรียนรู้ระบบ มาตรฐานการทำธุรกิจระดับโลก พูดถึงประสบการณ์ถือว่าอาฟเตอร์ ยู ได้เต็มๆ เช่นกัน

2. การได้ประสบการณ์จากการทำงานร่วมกันกับสตาร์บัคส์

ให้ทิศทางการทำธุรกิจของอาฟเตอร์ ยู น่าจะชัด และสดใสมากขึ้นอย่างแน่นอน อาจถือเป็นการจุดระเบิด เปิดศักยภาพทางธุรกิจให้กับอาฟเตอร์ ยูอย่างชัดเจน ชนิดที่เรียกว่าน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

3. โปรเจ็คร่วมกับสตาร์บัคส์ครั้งนี้ ถือเป็น strategic move

ของธุรกิจที่ต้องการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ เพราะการได้วางขายเมนูยอดฮิตที่ถือเป็น signature ของอาฟเตอร์ ยู ในร้านสตาร์บัคส์ ถือเป็นทำ market penetration ที่ฉลาดมาก เพราะเท่ากับว่า อาฟเตอร์ ยูไม่ต้องเสียเวลารอคอยที่จะเปิดสาขา อีกทั้งต้องลงทุนกับสาขาอีกในหลักหลายสิบล้านต่อสาขา ถ้ามัวแต่เปิดสาขาเพียงอย่างเดียว รับรองไม่ทันกินแน่นอน.. ถ้าดีลนี้ไปได้ดี ลองดีดลูกคิดดูเอาเองละกันว่า ถ้ามีเมนูนี้ในสตาร์บัคส์ทุกสาขา

สาขาอาฟเตอร์ ยู มีไม่ถึง 30 สาขา ขณะที่สตาร์บัคส์มีมากกว่า 300 สาขา เท่ากับว่า อาฟเตอร์ ยู จะมีช่องทางการขายเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 15 เท่า

ซึ่งจะทำให้ธุรกิจอาฟเตอร์ ยูจะเติบโตมากแค่ไหน และถ้าเพิ่มเมนูของหวานอื่นเข้าไปได้อีกล่ะ.. การเติบโตจะยิ่งไปกันใหญ่ ชนิดที่เรียกว่าฉุดไม่อยู่กันเลยทีเดียว

4. การจับมือประสานพลังในครั้งนี้ สิ่งที่อาฟเตอร์ ยู ได้เป็นของแถมอีกอย่างคือ ราคาหุ้นพุ่งพรวด

หลังจากข่าวการจับมือกับสตาร์บัคส์ถูกเผยแพร่ออกไป หุ้นอาฟเตอร์ ยู ปรับตัวขึ้นไปถึงเกือบ 20% มูลค่าหุ้น กดทะลุกว่า หมื่นล้านไปแล้ว.. ยิ่งถ้าความคืบหน้า และผลลัพธ์ดีขึ้นเรื่อยๆ โปรเจ็คนี้จะส่งผลให้มูลค่าหุ้นอาฟเตอร์ ยู จะยิ่งสูงขึ้นกว่านี้อีกได้ไม่น้อยเลย

สรุปแล้วดีลนี้ ถือว่าได้ทั้งฝ่ายแบบสมประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่

ต้องติดตามดูต่อไปว่า พลังประสานของ 2 แบรนด์นี้จะส่งผลให้แต่ละแบรนด์เติบโตได้มากแค่ไหน.. และอาจเป็นไปได้ว่าเราอาจได้เห็นกาแฟสตาร์บัคส์ขายในร้านอาฟเตอร์ ยู ในอนาคต ถึงแม้จะโอกาสน้อยมากก็ตาม