การทำธุรกิจออนไลน์ในยุคปัจจุบันคนที่สามารถเข้าใจความต้องการและตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ดีที่สุดคนนั้นมีโอกาสประสบความสำเร็จ การทำ Inbound Marketing หรือการตลาดแบบดึงดูดเป็นอีก 1 เครื่องมือที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยยังไม่มีการนำมาใช้เท่าไหร่นัก

จะเริ่มต้นเพิ่มมูลค่าธุรกิจด้วยการทำ Inbound Marketing ได้อย่างไร บทความนี้จะนำบทสรุปเนื้อหาสัมภาษณ์คุณ แบงค์ ผู้ก่อตั้ง Content Shifu มาแบ่งปันให้กับทุกท่าน ศึกษาแล้วลองนำไปปรับใช้กับธุรกิจของท่านเองดูนะครับ 

Inbound marketing คืออะไร

การดึงดูดให้ลูกค้ามีความสนใจเข้ามาหาแบรนด์หรือสินค้าเอง โดยการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าเพื่อส่งมอบคุณค่านี้ให้กับคนที่ใช่ ในที่ที่ใช้ และในเวลาที่ใช่ แล้วนำมาซึ่งผลลัพธ์ทางธุรกิจ

วันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปจากเดิม มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากที่เมื่อก่อนแบรนด์หรือสินค้านำตัวเองสู่ผู้บริโภค จะให้ลูกค้ารับสารอะไรก็ได้ โดยทำการโฆษณาทางวิทยุ ทีวี หรือหนังสือพิมพ์ เป็นต้น ลูกค้าถูกควบคุมอำนาจเพราะไม่มีทางเลือกมากนักในยุคนั้น แต่วันนี้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอรับสารจากสื่อหรือช่องทางเดิม ๆ เท่านั้น ลูกค้าสามารถเลือกดูข้อมูลข่าวสารจากเว็บไซต์ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ อำนาจเปลี่ยนมาเป็นของผู้บริโภค จึงทำให้ต้องทำ Inbound Marketing

วิธีทำ Inbound marketing

วิธีทำ Inbound marketing

สั่งซื้อหนังสือ Inbound Marketing ได้ที่นี่คลิ๊ก

เริ่มต้นทำความเข้าใจกับกรอบแนวคิดใหม่ (Framework) ที่เปลี่ยนมาเป็นกรอบแนวคิดแบบวงล้อ (Flywheel) คือลูกค้าเป็นศูนย์กลาง แล้วทำ 3 เรื่องหลัก

  1. Attract ดึงดูดคนแปลกหน้าให้มาเป็นคนรู้จักหรือ prospect
  2. Engage ทำหน้าที่ให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ เปลี่ยนคนรู้จักให้มาเป็นลูกค้า
  3. Delight ทำให้ลูกค้าพึงพอใจแล้วอยากประชาสัมพันธ์บอกต่อ เป็นขั้นที่คนกลุ่มนี้จะไปดึงดูดคนแปลกหน้าคนใหม่ต่อไป

Attract กับ Engage อย่างไรให้ลูกค้าพึงพอใจ

การที่จะดึงดูดคนที่ใช่มาหาเรา เพื่อที่จะได้รู้จักและมีปฏิสัมพันธ์จนพัฒนาต่อเป็นลูกค้าได้ เราต้องทำให้คนมาเจอเราบนโลกออนไลน์ให้ได้ ทำให้ตัวเราถูกค้นหาเจอเป็นอย่างแรก เรื่องสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องทำคือการมีเว็บไซต์ เปรียบเสมือนหน้าร้าน หน้าเว็บไซต์จะเป็นลำดับแรก ๆ ในการถูกค้นหาเจอ ในส่วนแพลตฟอร์ม Social Media อื่น ๆ จะถูกค้นหาเป็นลำดับถัดไป ถึงแม้จะต้องมีการทำเพจเฟสบุ๊ค หรือทวิตเตอร์ หรืออื่น ๆ ก็สามารถทำได้แต่ไม่ควรใช้เป็นหลัก เพราะอาจถูกจำกัดการมองเห็นคอนเทนต์ของเราบนแพลตฟอร์มนี้ ประกอบกับเป็นการใช้ข้อมูลจาก Third Party Data อาจไม่เป็นผลดีในระยะยาว เราจึงควรมีเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะสร้างคอนเทนต์ให้มีผู้ติดตามอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เวลาผ่านไป ก็ยังมีคนเข้ามาอ่านคอนเทนต์ผ่าน Search Engine ได้

เมื่อไหร่ที่ควรใช้ Topical Content และ Evergreen Content

การทำ Inbound Marketing เน้นการทำคอนเทนต์ที่สามารถแก้ปัญหาและตอบโจทย์ให้กับผู้คนได้ โดยทั่วไปจะมีคอนเทนต์อยู่ 2 ประเภท ดังนี้

  1. Topical Content เป็นลักษณะคอนเทนต์ที่ทันตามกระแสในช่วงเวลานั้น มีข้อดีคือเป็นที่พูดถึงกันมากแต่มีข้อเสียที่จะเสื่อมค่าตามกาลเวลา
  2. Evergreen Content เป็นลักษณะคอนเทนต์ที่ไม่เสื่อมค่าตามกาลเวลา เวลาผ่านไปผู้คนก็ยังสามารถใช้ประโยชน์ตอบโจทย์ได้จากบทความประเภทนี้

แล้วผู้ประกอบการธุรกิจควรเลือกทำคอนเทนต์ประเภทไหนดีนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ แต่ถ้าต้องการให้ส่งผลระยะยาว ให้ทำ Evergreen Content มากกว่า ถึงแม้ว่าการทำช่วงเริ่มต้นในระยะแรกจะไม่มีคนเห็นเยอะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนจะเห็นมากขึ้น

Content matrix

การสร้างคอนเทนต์ควรใช้เครื่องมือหรือวิธีการให้ตอบโจทย์ตามประเภทธุรกิจ พิจารณาว่าธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่อยู่ฝั่งที่ลูกค้าใช้ความคิดหรือใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ

เช่น ถ้าธุรกิจขายเครื่องจักรเป็นประเภทที่ต้องใช้ความคิด (Think) จะเริ่มต้นให้ลูกค้าเกิดการรับรู้ต้องให้ความรู้ (Educate) เมื่อมีความรู้แล้วจะให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจต้องมีการโน้มน้าว (Convince) เป็นต้น

หรืออีกหนึ่งตัวอย่างธุรกิจขายอาหารเป็นประเภทที่ต้องใช้ความรู้สึก (Feel) ต้องเริ่มด้วยการทำให้ลูกค้าตื่นตาตื่นใจ (Fascinate) จากนั้นต้องสร้างแรงบันดาลใจ (Inspire) เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เป็นต้น

ธุรกิจอะไรที่ควรทำ Inbound Marketing

วิธีทำ Inbound marketing เหมาะกับธุรกิจ 3 รูปแบบ

  1. ธุรกิจ B2B ที่เป็นการทำการค้าระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ ไม่ใช่ผู้ใช้หรือลูกค้าทั่วไป
  2. ธุรกิจที่แก้ไขปัญหาให้คนได้ เช่น เรื่องการเงิน การศึกษา และสุขภาพ เป็นต้น
  3. ธุรกิจที่ขายของต่อชิ้นในมูลค่าที่สูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ เฟอร์นิเจอร์ราคาแพง อัญมณี เป็นต้น

SEO กับการค้นหา

เมื่อสินค้าหรือแบรนด์ของเรามีเว็บไซต์แล้วที่เปรียบเหมือนหน้าร้าน เริ่มมีคอนเทนต์ซึ่งก็เหมือนกับการได้ตกแต่งหน้าร้านของเรา ก็ต้องมีการทำ PR หรือดึงให้คนเข้ามาอ่านเข้ามาเห็นการตกแต่งร้านของเรา ก็คือเป็นการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้สินค้าหรือร้านของเราถูกค้นเจอโดยอัลกอริทึมหรือโดย Google แล้วถูกสืบค้นได้ง่ายเป็นลำดับต้น ๆ การทำ SEO ประกอบด้วย

  1. On – Page มีเว็บไซต์ของเราเอง ที่ต้องมีคุณสมบัติเป็นเว็บไซต์ที่ดี คือ ปลอดภัย โหลดเร็ว แสดงผลได้ดีในทุกแพลตฟอร์ม และคอนเทนต์ต้องโดน คือ สามารถตอบคำถามได้ แก้ไขปัญหาได้ และรายละเอียดต้องไม่ซ้ำกับคนอื่น
  2. Off – Page เป็นการทำนอกเว็บไซต์ เป็น Backlink จากเว็บไซต์ที่คุณภาพเชื่อถือได้ คือต้องมีเว็บไซต์นั้น ๆ เขียนถึงหรือพูดถึงโดยเชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์ของเรา

การเลือก Keyword ที่เหมาะกับการทำ SEO

การทำคอนเทนต์เพื่อให้มีการถูกค้นหาได้ในอันดับต้น ๆ การเลือก Keyword ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ควรคัดเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราที่จะนำมาทำคอนเทนต์ โดยพิจารณา Keyword ที่มีความยาวเพียงพอ หรือมีความเฉพาะเจาะจงในวงแคบลง เพื่อส่งผลให้การค้นหาทำได้ง่ายขึ้น

เครื่องมือที่ช่วยในการพิจารณาว่า Keyword ของเรามีความเหมาะสมกับการทำ SEO หรือไม่นั้น จะทำให้เราสามารถมีข้อมูลว่าคำนั้นมีการค้นหามากน้อยเพียงใด ความยากง่ายในการแข่งขันเวลาซื้อโฆษณาเป็นอย่างไร (PD – Paid Difficulty) รวมถึงการให้คนค้นหาเราเจอมีความยากหรือง่ายในระดับใด (SD – Search Difficulty) โดยสามารถเข้าไปในดูเครื่องมือต่าง ๆ ได้ เช่น app.neilpatel.com , ahrefs.com หรือจะค้นหา  Google Keyword Planner เป็นต้น

Social Media tool

การใช้เครื่องมือ Social Media ของธุรกิจในประเทศไทยที่เหมาะสมในปัจจุบันจะมีหลัก ๆ คือ Facebook,Line Youtube LinkedIn Instagram และ Twitter โดยเลือกใช้ให้เหมาะกับประเภทธุรกิจของเรา และพิจารณาว่ามีแรงในการทำแค่ไหน มีแรงเงินในการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน ส่งผลไปสู่แรงงานหรือทีมงานที่จะมีเพียงพอและสามารถทำได้หรือไม่

แต่อย่างไรก็ตาม เราก็สามารถเลือกเครื่องมือในการบริหารจัดการ Social Media ที่สามารถทำทุกอย่างในครั้งเดียวได้ ไม่ว่าเราจะเลือกใช้ทั้ง Facebook Line และ Twitter ในกรณีที่ธุรกิจของเราเหมาะกับหลาย ๆ Social Media เป็นต้น

Social Media Tool ได้แก่ Social Publishing และ Social Management ที่มีฟีเจอร์ครบครัน บริหารจัดการคอนเทนต์ได้ในคราวเดียว

นอกจากนี้ เรายังสามารถติดตามเทรนด์หรือกระแสในช่วงนั้นของธุรกิจในอุตสาหกรรมของเราได้ โดยเข้าไปที่ trend.wisesight.com สามารถเลือกดูเทรนด์ที่เป็นที่พูดถึง โดยขอบเขตเนื้อหาได้ว่าจะมาจาก Facebook หรือมาจาก Instagram เป็นหลักได้ด้วย

ข้อควรระวังในการทำ Inbound Marketing

วิธีทำ Inbound marketing ไม่ได้เหมาะกับธุรกิจในทุกประเภทอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างธุรกิจ SME ที่เพิ่งเริ่มต้น ไม่มีสภาพคล่องทางการเงินมากนัก ยังไม่ควรมาโฟกัสการทำ Inbound เพราะเป็นการทำการตลาดเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน จึงมักจะใช้เวลา อาจจะ 3 เดือน หรืออาจจะเป็นปีจึงจะเห็นผล จึงควรนำ budget ไปทำ Outbound อาจเป็นในรูปแบบการทำโฆษณาไปก่อน

ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำธุรกิจไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลให้มีความรู้ เพื่อนำมาบริหารความเสี่ยงช่วยในการตัดสินใจได้ดีขึ้นทั้งการทำ  Inbound Marketing และการประกอบธุรกิจ