ในสังคมที่นิยมความ “ครบ” ของเครื่องหน้า เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจความสวยความงามโตวันโตคืน เรียกว่าใครจะเจ๊งก็เจ๊งไปเถ๊อะ…ลองคนไหนได้จับธุรกิจแนวๆ นี้ไว้ให้อยู่หมัดล่ะก็ มีแต่รวยเอาๆ กันทั้งนั้นแหละ
และที่เห็นกันชัดๆ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี่ ก็คือธุรกิจ ‘ร้านสักคิ้ว’ ที่ต่างก็ประกาศศักดา พร้อมเพิ่มความครบให้เครื่องหน้าด้วยการเนรมิตรคิ้วเส้นงามๆ ให้แก่บรรดาสาวๆ ที่ขาดความมั่นใจใบหน้าโล้น
โดยร้านสักคิ้วมีให้เลือกใช้บริการกันตามกำลังทรัพย์และความพึงพอใจ ตั้งแต่ตลาดนัดไปจนถึงร้านหรูในศูนย์การค้า แต่ไม่ว่าจะเป็นร้านไซส์ไหน ต้องยอมรับเลยว่ารายได้ที่ไหลเข้าในแต่ละวันนั้นช่างหอมหวลชวนลงทุนเสียไม่มี

และก็ด้วยแนวคิดที่ดูเหมือนง่ายเช่นที่กล่าวไปนั้นแล ทำให้คนตาโตเท่าไข่ห่าน ด้วยคิดว่า แค่ไปสมัครเรียนฝึกปรือฝีมือเพียงไม่กี่วัน ฉันก็ออกมาเปิดร้าน สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้แล้ว ว่าแล้วก็ขอทุบกระปุกทุ่มเงินเก็บหมดหน้าตักไปเรียนให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ฝึกจนมั่นใจก็เปิดร้านให้บริการลูกค้าคิดค่าทำสวยชิลๆ คนละสี่ซ้าห้าพัน แรกๆ ก็ฟู่ฟ่า รายได้ไหลมาเทมายังกะสังข์ทองเรียกเนื้อ

แต่เอ…แต่ทำไปทำมามันชักไม่ใช่อย่างที่คิดเสียแล้วสิ เพราะเจ๊แดงร้านเสริมสวยแถวบ้านเขาก็ไปเรียนมา แล้วก็มาเพิ่มเป็นบริการในร้านเขา ไหนจะลูกสาวป้าดาข้างบ้านนั่นอีกเล่า เห็นว่าดูจากยูทูปแค่ไม่กี่วัน มันก็สักเป็นแล้ว ถือกระเป๋าใบเดียวเดินสักให้คนโน้นคนนี้สนุกสนานเชียว

แล้ววันนั้น เดินไปซื้อของตลาดนัด แม่เจ้า…แม่ค้ามันเอาเตียงมานอนสักกันเห็นๆ เก็บค่าทำถูกกว่าของฉันตั้งครึ่ง นับไปนับมา แค่ละแวกบ้านฉันนี่มีทั้งร้านสักคิ้ว ทั้งสักคิ้วเดลิเวอรี่ปาเข้าไปเป็นสิบๆ เจ้าแล้ว !!!

แม้จะมั่นใจว่าฝีมือดี ทำไปกี่ทีๆ ลูกค้าก็สวยปิ๊ง แต่เริ่มจะทดท้อหมดกำลังใจเพราะเจ้าใหม่ๆ มันตัดราคาเสียเหี้ยนเตียน ลูกค้าที่ไม่เข้าใจเขาก็ไปเลือกทำเจ้าที่ถูกกว่า ไม่สนใจใคร่รู้หรอกว่าแต่ละเจ้ามันมีข้อดีข้อเสียต่างกันตรงไหน ขอร้านที่ทำถูกๆ เข้าไว้ เพราะอนุมานว่าก็แค่คิ้ว มันจะอะไรกันนักหนาว๊า…

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว งานสักคิ้ว ถือเป็นงานบริการระดับกึ่งศัลยกรรมด้วยซ้ำ มันไม่ใช่เหมือนเอาดินสอวาด ไม่พอใจก็ปาดออกแล้วเขียนใหม่ แต่มันก็คือใช้ของแหลมจุ่มสีจิ้มเข้าไปในเนื้อ แล้วฝังสีเหล่านั้นเข้าไปบนหน้าของเรา ทำจบส่องกระจก สวยแล้วก็คือสวย

แต่จะซวย!! ถ้าคิ้วมันเบี้ยว มันแหว่ง มันใหญ่ มันไม่ใช่อย่างที่คิด ตานี้ถ้าไม่พอใจจะทำอย่างไรล่ะ? ก็บอกแล้วว่าเขาฝังสีลงไปในเนื้อ คิ้วพังอย่างไรมันก็ติดหราอยู่บนหน้าอย่างนั้นแหละ รอเวลาไปเถอะ เป็นปีสองปีได้กระมังกว่ามันจะจืดจางหายไป

เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ร้านสักคิ้วทุกร้านต้องมีคือความเป็น “มืออาชีพ” ไม่ใช่นึกอยากจะสักก็จับเครื่องไม้เครื่องมือมาสัก ช่างสักที่ดีต้องวาดคิ้วสวย คนหน้าแบบหนึ่ง คิ้วก็ต้องแบบหนึ่ง ไม่ใช่ร้อยหน้าพันหน้า แม่ก็วาดมันทรงเดียวตามแต่ที่ฉันถนัด ไหนจะเรื่องวัตถุดิบในการให้บริการนั้นอีกเล่า สีก็ต้องศึกษา แหล่งผลิตมีที่มาที่ไป ปลอดภัยหรือไม่ ทำแล้วนานๆ ไปสีจะผิดจะเพี้ยนหรือเปล่า อุปกรณ์ทุกชิ้นต้องได้มาตรฐาน ทำเสร็จแล้วทิ้งคนต่อคน

สถานที่ก็สำคัญ มันต้องจัดวางเป็นสัดเป็นส่วน ดูแลสะอาดราวกับเป็นคลินิกทำฟันด้วยซ้ำ เพราะมันมีเลือด มีน้ำหนอง มีการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ไหนจะบริการอื่นๆ ที่ช่างต้องทำให้ได้ เช่นว่า ช่างอธิบายได้ไหมว่าดูแลรักษาหลังสักลูกค้าต้องอย่างไร

หากทำไปแล้วมีอาการเช่นนี้ต้องแก้ไขอย่างไร ช่างคลายความกังวลให้ลูกค้าได้หรือไม่ สร้างความประทับใจให้เขาได้หรือเปล่า ถ้าทำได้ครบตามนี้ ถึงจะเรียกว่าเป็นช่างสักคิ้วระดับโปรเฟสชันนอล

แต่ในเมื่อโลกของการทำธุรกิจไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันได้ ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับมัน และหันมาถามตัวเองสิว่า…ในเมื่อธุรกิจนี้มันยังฮอตอยู่ คนยังมีความต้องการที่จะมีคิ้วสวยๆ อยู่ เราจะทำอย่างไรกับโอกาสตรงนั้น และถ้ามั่นใจในฝีมือ ขอให้คงความเป็นมืออาชีพเอาไว้อย่าตัดทอนสิ่งสำคัญใดๆ ลงไป เพราะที่สุดแล้วผู้รับบริการจะเลือกสรรเองว่า เขาจะใช้เงินในกระเป๋าอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด

หากเลือกทำร้านถูกๆ แต่ดูกระเร้อกระรัง ผลงานไม่เด่นชัด ถามอะไรก็ตอบไม่ตรงคำถาม สู้เขายอมจ่ายแพงอีกนิด นอนทำสวยให้กับช่างที่เชื่อถือได้ ตื่นมาแล้วสวยได้ดังใจมันไม่คุ้มกว่าหรือ? ราคาเคยตั้งไว้สูงอย่างก็ยังทำเท่านั้นแหละ ไม่ต้องไปลดแข่งกับใคร ทำงานให้น้อยๆ แต่ได้เงินมากๆ เหนื่อยน้อยกว่าสักถูกๆ เน้นปริมาณลูกค้าไม่ใช่หรือ?

ส่วนใครจะเม้ามอยว่า โอ้ย…ทำแพงจัง ร้านนั้นทำแค่ห้าร้อยพันนึง อันนั้นปล่อยเขาไป ถือเสียว่าเขาไม่ใช่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเรา อยากทำถูกๆ เชิญเลยจ้า ผิดหวังขึ้นมาก็มาแก้คิ้วที่ร้านฉัน ฉันก็บวกเพิ่มเข้าไปอีกสองเท่า สามเท่า เพราะงานแก้มันเป็นงานยาก บอกให้ทำร้านฉันแต่แรกก็ไม่เชื่อเองนี่

และหากมีคำถามต่อมาอีกว่า…แล้วจะสร้างการรับรู้ไปสู่ลูกค้าได้อย่างไรเล่า ไอ้เรื่องฝีมือที่ไม่เป็นสองรองใครน่ะมั่นใจอยู่แล้ว แต่ลูกค้าจะเชื่อฉันไหม ฉันจะทำอย่างไรให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกฉัน เหล่านี้ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

คราวนี้ล่ะที่เขาเรียกกันว่า “การทำการตลาด“ ทำธุรกิจสมัยนี้จะหยิ่งยโส นั่งอยู่บนหิ้งรอลูกค้าอย่างเดียวไม่ได้นะ คู่แข่งดักหน้าดักหลังเต็มพรืดไปหมดอย่างนี้ เรามีดีอย่างไรก็ต้องทำให้ลูกค้ารับรู้ ต้องทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ต้องเด่น ต้องดัง ทำให้เขาพูดปากต่อปาก

กลยุทธ์ใดๆ งัดมาใช้ได้ เอามาให้หมด เรื่องไหนไม่เคยเรียนรู้ ถ้ามันจำเป็นก็ต้องเรียนให้รู้ สังเกตซิ…อะไรยังเป็นช่องว่าง อะไรยังเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ อะไรที่เรามีแต่ร้านอื่นไม่มี นำเสนอออกมาให้หมด เฟซบุ๊กน่ะ จากที่เคยแค่มีไว้ระบายความในใจ ถ่ายรูปจานข้าว เล่าความหลัง ฟังแล้วมาบอกต่อ…ลองเปลี่ยนให้เป็นจุดกระจายข่าวสารของร้านเราสิ คิ้วร้านฉันทำแล้วสีสวย ทรงสวยแบบนี้ ลายเส้นชัดแจ๋วระดับ HD

ลูกค้าเคยมาสักแล้วก็มาเพื่อนมาอีก ถ่ายรูปบรรยากาศร้าน ถ่ายหน้าลูกค้าสวยๆ สร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง บอกแต่เรื่องดีๆ ทำให้ร้านเราดูเลอค่าเข้าไว้ เรื่องตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กหยุดโพสต์ หยุดโพนทะนา คนมันเห็นบ่อยๆ มันก็อยากรู้ อยากถาม อยากใช้บริการ

เชื่อเถอะว่า ธุรกิจร้านสักคิ้วมันไม่มีทางเสื่อมความนิยม ก็เหมือนๆ กับร้านตัดผมนั่นแหละ มีใครหยุดตัดผมได้ล่ะ คิ้วก็เช่นเดียวกัน เกิดมามีใครคิ้วเพอร์เฟคเลยบ้างล่ะ ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยจะรู้เลยว่าการเขียนคิ้วน่ะยากและเสียเวลาเป็นที่สุด

ดังนั้น ร้านสักคิ้วจึงเป็นสิ่งจำเป็น!! ยิ่งร้านไหนสร้างฐานลูกค้าได้แน่นหนา ก็มีแต่จะยิ่งสร้างรายได้เข้าร้านได้มหาศาลเท่านั้น อาชีพนี้จึงไม่ใช่อาชีพฉาบฉวย

ขอเพียงแต่ช่างสักคิ้วรักษามาตรฐาน พัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งตลอดเวลา ไม่ละเลยการทำการตลาด บริการลูกค้าด้วยหัวใจ บอกเลยอาชีพนี้มีแต่จะยิ่งทำยิ่งรวย!!!

บทความโดย Puttitep Happyness