สำคัญคือต้องทำให้ธนาคารมีความเชื่อมั่นในธุรกิจ เชื่อมั่นในตัวเจ้าของ โดยมีเอกสารและหลักฐานประกอบ เพราะธนาคารไม่มารับรู้ด้วยว่าธุรกิจของเราขายดีแค่ไหน การพูดปากเปล่าไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เชื่อถือได้

เมื่อถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนแปลง เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งเจ้าเก่าและมือใหม่ต่างพากันช่วงชิงพื้นที่บนโลกออนไลน์ สินค้าแทบทุกสิ่งถูกบรรจุไว้รวมกัน เพียงแค่สไลด์นิ้วมือลงบนมือถือก็จะพบกับร้านค้าออนไลน์จำนวนมหาศาล ในขณะที่ลูกค้ากำลังช้อปง่ายๆชิลๆอยู่นั่น อีกฝากฝั่งที่สู้ศึกกันอย่างดุเดือดถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่ขายดีจนหาสินค้ามาขายแทบไม่ทันก็ล้มหายไปจากวงการเลยก็มี ในขณะที่ธุรกิจกำลังไปได้สวยต้องมีการขยับขยายแต่ไม่มีเงินลงทุนเพิ่ม ที่น่าหงุดหงิดใจไปกว่านั้นคือ ไม่สามารถกู้ได้ทั้งๆที่ขายดีมาก เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

คำถามที่ต้องเจอ  เมื่ออยากกู้ธนาคาร

·         ทำธุรกิจอะไรอยู่

เจอคำถามแรกเข้าไป ฟังดูเหมือนจะตอบไม่ยาก ถ้าให้อธิบายอย่างเดียวคงไม่พอ ต่อให้ธุรกิจดีแค่ไหนแต่ไปต่อไม่ได้ เพราะไม่มีเอกสารหรือหลักฐานเพื่อใช้ประกอบคำพูดในการนำเสนอพิจารณาสินเชื่อ ธุรกิจของเรามีคนรู้จักมากน้อยแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับมีหลักฐานมายืนยันว่ามีตัวตนอยู่บนโลกออนไลน์จริง และยังส่งผลต่ออนาคตหากต้องการชวนผู้อื่นมาร่วมลงทุน

·         ธุรกิจที่ทำอยู่เป็นอย่างไร

ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับการวางแผนธุรกิจ การขายออนไลน์ช่วงแรกๆอาจจะยังงงๆอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องผิดที่โฟกัสอยู่กับยอดขาย เมื่อเล็งเห็นว่าธุรกิจเริ่มมีการเติบโตจำเป็นต้องคิดเผื่ออนาคต จะหาเงินทุนเพิ่มเติมมาจากไหนถ้ามีไม่พอ คำว่า ไม่พอ หมายถึง ขายดีจนต้องลงทุนเพิ่มหรือขาดทุนจนไม่เหลืออะไร สองอย่างนี้แตกต่างกัน การปล่อยกู้ธนาคารต้องเล็งเห็นแล้วว่า เมื่อปล่อยกู้ออกไปต้องได้เงินกลับคืนมา แม้แต่ขั้นตอนการยื่นเอกสารหากมีการติดขัด ไม่ผ่าน (ตรงนี้ไม่นับรวมประวัติการเงินในอดีต) กลายเป็นว่าการยื่นครั้งต่อไปจะทำได้ยากขึ้น ต้องยื่นเมื่อพร้อมเท่านั้น ลองเปลี่ยนเป็นการขอข้อมูลแทนจะดีกว่า ดังนั้นจังหวะเวลาในการขอกู้จึงมีความสำคัญมาก

3 เหตุผล ที่ทำให้ธนาคารไม่พิจารณาสินเชื่อ

หลายคนที่ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการถูกปฏิเสธเมื่อขอกู้ธนาคาร ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่ากิจการของเราขายดิบขายดีแค่ไหน เหตุผล คือ

1.ไม่แยกกระเป๋า

ไม่ว่าธุรกิจจะอยู่ในรูปแบบบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ต้องแยกเงินส่วนตัวกับธุรกิจออกจากกันอย่างเด็ดขาด กว่าร้อยละ 90 จะปะปนกันในด้านรายจ่าย พบบ่อยมากในบุคคลธรรมดา เช่น ใช้บ้านเป็นออฟฟิศ แต่นำเงินจากธุรกิจมาจ่ายค่าเช่าบ้าน รวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่างๆ ในนามนิติบุคคลถ้ามีค่าเช่าสถานที่ก็ต้องทำสัญญาเช่าให้ถูกต้อง แม้แต่เงินเดือนของตัวเองก็ให้แยกออกมาเลย เพราะรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่างๆหากไม่มีหลักฐานธนาคารจะไม่เชื่อเด็ดขาด ต้องทำบัญชีให้ถูกต้องชัดเจน ท่องไว้ในใจเลยว่า “ถ้าไม่แยกกระเป๋า อย่าคิดที่จะกู้”

2.ไม่เข้าบัญชี

ที่เห็นชัดเจนคือ การค้าขายผ่านเงินสด จุดแรกที่พลาดคือ พอได้เงินมาก็ไม่นำเข้าบัญชี  ถัดไปคือ นำเงินไปใช้จ่ายสำหรับการซื้อวัตถุดิบหรืออะไรก็ตามแต่ บางครั้งก็ไม่มีบิลรายการมายืนยัน เมื่อไม่มีทั้งเงินเข้าและออก พอธนาคารถามหาเอกสารจึงไม่มีให้  กิจการไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม ให้เปิดบัญชีสำหรับการทำธุรกิจแยกออกไปต่างหาก สิ่งที่ควรระวังโดยเฉพาะนิติบุคคล คือ ห้ามเอาเงินเข้าบัญชีส่วนตัวเด็ดขาด นอกจากจะพิสูจน์ตัวเลขไม่ได้แล้ว ยังเป็นการหมุนเงินออกจากกิจการ ถือเป็นความผิดร้ายแรงและหมดความน่าเชื่อถือ

3.ไม่มีหลักฐาน

การทำธุรกรรมการเงินต่างๆต้องเก็บหลักฐานไว้เสมอ ซึ่งการขายออนไลน์ดีตรงที่มีหลักฐานการโอนเงินผ่านแอปพลิเคชั่น เพียงแค่ต้องจัดระเบียบให้ดี สำหรับบางคนที่อยากทำให้ Statement ดูดีก่อนยื่นขอสินเชื่อ ได้มีการนำเงินเข้า-ออกภายในบัญชี  ตัวเลขที่ปรากฏอยู่นั้นธนาคารจะตรวจสอบโดยสุ่มเรียกดูใบสั่งซื้อ ใบแจ้งหนี้ และบิลต่างๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าจำนวนเงินที่หมุนเวียนมาจากการซื้อขายทางธุรกิจจริง เพราะทุกอย่างตรวจสอบได้ และต้องมีการขอบิลทุกครั้งเมื่อมีการใช้จ่ายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมียอดซื้อเท่าไหร่ก็ตาม เลือกร้านค้าที่ออกบิลให้จะดีที่สุด

นอกจากเหตุผลที่กล่าวมานั้น ธนาคารก็ยังมีความคาดหวังต่อธุรกิจของเราในการขอสินเชื่อ คือ

·         อยากเห็นยอดขายที่สม่ำเสมอ

มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เดือนนี้ขายได้ 3 ล้าน เดือนถัดไปลดเหลือ 6 แสน ธุรกิจลักษณะนี้ค่อนข้างอันตราย แสดงให้เห็นถึงการค้าขายที่ไร้แบบแผน หรือผูกติดกับลูกค้าบางราย เจอแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้กู้

·         กำไรสุทธิ

หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วต้องเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ หากเหลือกำไรนิดเดียวอาจมีบางอย่างผิดปกติ เช่น คิดต้นทุนผิด มีค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจ หรือการตกแต่งตัวเลขเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ

สำคัญคือต้องทำให้ธนาคารมีความเชื่อมั่นในธุรกิจ เชื่อมั่นในตัวเจ้าของ โดยมีเอกสารและหลักฐานประกอบ เพราะธนาคารไม่มารับรู้ด้วยว่าธุรกิจของเราขายดีแค่ไหน การพูดปากเปล่าไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เชื่อถือได้

ทางที่ดีควรวางแผนตั้งแต่ตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ เป็นเหมือนการปูทางเพื่อพาให้เข้าสู่ระบบต่างๆ หากไม่ทำตอนนี้ ก็ต้องทำวันหน้า นอกจากว่าไม่อยากทำ อย่าให้สถานการณ์เป็นตัวบีบบังคับ เมื่อถึงคราวจำเป็นการขอความเห็นใจอาจไม่ช่วยอะไร

บทความเกี่ยวกับการเงิน สินเชื่อ