วิธีหนึ่งในการทำการตลาดในสมัยก่อนและยังคงถูกนำมาใช้ในปัจจุบันแม้ว่ารูปแบบของการทำการตลาดจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นการตลาดออนไลน์แล้วก็ตาม วิธีนั้นก็คือการทำ Viral หรือการตลาดแบบบอกต่อ ซึ่งก็คือการสร้างกระแสบางอย่างขึ้นมาเพื่อหวังผลให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากเพื่อให้แบรนด์ติดกระแสและเป็นที่รู้จักในชั่วข้ามคืน ในอดีตการทำการตลาดแบบนี้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากสามารถทำให้เกิด Brand awareness สร้างความสนใจให้แก่ผู้คนได้เป็นวงกว้าง และสร้างยอดขายให้กับสินค้าได้อย่างมากในระยะเวลาไม่นาน แต่แล้วเมื่อไม่นานนี้มีบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์ออกกำลังกายรายหนึ่งตัดสินใจที่จะออกโฆษณาชุดใหม่เพื่อหวังให้เป็นโฆษณา Viral สร้างกระแสให้ได้รับการบอกต่อ แต่หลังจากโฆษณาถูกปล่อยออกมาได้ไม่นานกลับเกิดกระแสตีกลับในทางลบเกิดขึ้น จนทำให้นักการตลาดหลายคนมองว่า นี่อาจจะเป็นสัญญาณของจุดสิ้นสุดยุคของการตลาดแบบ Viral ก็เป็นได้ เกิดอะไรขึ้นกับโฆษณาชุดนี้และแนวทางที่เหมาะสมในการทำการตลาดออนไลน์คืออะไร เราจะมาศึกษาไปพร้อม ๆกันครับ

ทำความรู้จักกับ Peloton บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์ออกกำลังกาย: start-up สุดเจ๋งกับแนวคิดในการใช้เทคโนโลยีสร้างบรรยากาศของคลาสออกกำลังกายแม้อยู่ที่บ้าน

Peloton เป็นบริษัท start-up ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ช่วงปี 2012 กับแนวความคิดที่จะผสานเทคโนโลยีเข้ากับเครื่องออกกำลังกายทำให้เครื่องออกกำลังกายนั้นสามารถติดต่อกับคลาสออกกำลังกายได้แม้อยู่ในบ้านโดยไม่ต้องเดินทางไปออกกำลังกายถึงในคลาส ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีมากจากผู้ที่สนใจการออกกำลังกายครับ ผู้คนสามารถเลือกได้ว่าจะออกกำลังกายในรูปแบบ Live-stream สด ๆหรือโหลดวิดีโอบรรยากาศในคลาสมาออกกำลังกายย้อนหลังก็ได้ ซึ่งต่อมาทางบริษัทได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับลูกค้าเพื่อให้เลือกได้ว่าต้องการจะออกกำลังกายในรูปแบบใดโดยมีการเก็บค่าบริการเพิ่มเติม จากรูปแบบของธุรกิจดังกล่าวทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจนบริษัทมีมูลค่าสูงถึง 1.36 แสนล้านบาทในปี 2018 ที่ผ่านมา

การทำ Viral Marketing โฆษณาเจ้าปัญหาเป็นอย่างไร

โฆษณาที่เป็นกระแสนั้นถูกปล่อยออกมาในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาครับ โดยเนื้อหาของโฆษณาบอกเล่าเรื่องของผู้หญิงที่รูปร่างดีและมีฐานะดีกำลังใช้จักรยานของ Peloton ซึ่งเธอได้รับเป็นของขวัญจากสามีของเธอในช่วงคริสต์มาสในอิริยาบทต่าง ๆเช่นการถ่ายภาพเซลฟี่ แต่เมื่อโฆษณาถูกปล่อยออกมาโลกโซเชี่ยลได้แสดงออกถึงความอึดอัดใจและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย

ในขณะที่หลายรายบอกว่ามันดูเป็นรูปแบบที่เป็นแบบแผนมากเกินไปว่าคนที่จะใช้เครื่องออกกำลังกายนั้นจะต้องมีรูปร่างที่ดีรวมไปถึงปฏิกิริยาในขณะที่ใช้เครื่องออกกำลังกายก็ดูจะแสดงออกถึงเจตนาที่มากเกินไป และมีการสร้างคลิปวิดีโอเพื่อล้อเลียนโฆษณาชุดนี้ขึ้นตามมา ซึ่งทางบริษัทได้แสดงความรู้สึกเสียใจและผิดหวังเป็นอย่างมากที่ผู้ชมเข้าใจผิดและตีความโฆษณาชุดนี้ผิดไปจากประเด็นที่ทางบริษัทต้องการสื่อ

นี้จึงเป็นตัวอย่างและเป็นเครื่องเตือนใจของแคมเปญโฆษณาแบบ Viral ที่อาจทำให้เกิดการแบ่งแยกและทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลกแยกได้ แต่แม้การโฆษณาแบบนี้อาจสร้างความรู้สึกดังกล่าวให้แก่ผู้ชมกระนั้นหลากหลายแบรนด์ก็ยังคงนิยมทุ่มเงินไปกับการโฆษณาในรูปแบบดังกล่าวเพื่อหวังผลให้เกิดกระแสบอกต่อแม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่หวังไว้ก็ตาม

การทำการตลาดที่เหมาะสมในปัจจุบันควรทำอย่างไร

การทำ Viral Marketing

Diaz-Ortiz ที่ปรึกษาทางโซเชี่ยลมีเดียและเจ้าของหนังสือ “Social media success for every brand” ได้เล่าถึงประสบการณ์ viral ที่เธอพบเจอมาด้วยตนเองว่าในช่วงปี 2014 เธอได้ทำการทวีตเกี่ยวกับชีวิตลูกสาวของเธอซึ่งต่อมาได้รับการทวีตต่อจากคนดังทำให้เป็นกระแสในช่วงข้ามคืน แต่ในวันรุ่งขึ้นกระแสนั้นก็ซาลงและโลกโซเชี่ยลก็หันไปหากระแสอื่นที่ถูกพูดถึงต่อไป นั้นทำให้เธอค้นพบว่า การเป็นกระแสดังเพียงชั่วข้ามคืนนั้นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากแบรนด์ไม่ได้รับการติดตามอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้คือความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ของแบรนด์ที่ทำการตลาดโดยใช้ช่องทางของโซเชี่ยล

Diaz-Ortiz กล่าวว่าแทนที่แบรนด์จะมุ่งเน้นการนำโซเชี่ยลมาช่วยเพิ่มการรับรู้ในตัวแบรนด์ (Brand Awareness) แต่หลายแบรนด์กลับใช้ช่องทางโซเชี่ยลในการทำการตลาดทางตรงที่มุ่งเน้นไปที่การพยายามจะปิดการขายในทันทีมากกว่าการพยายามสร้างการรับรู้แบรนด์ ซึ่งการโฆษณาทางตรงในโซเชี่ยลไม่ได้สร้างรายได้ให้แก่แบรนด์แต่อย่างใดแต่กลับกลายเป็นการสร้างความรับรู้ในตัวแบรนด์ต่างหากที่จะสร้างรายได้ให้แก่แบรนด์อย่างยั่งยืน

ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดที่จะสร้างการรับรู้แบรนด์ขึ้นมาก็คือ คุณจำเป็นต้องสร้างเนื้อหาสาระที่มีประโยชน์รวมถึงเสนอหนทางแก้ไขปัญหาที่คุณมีให้แก่ลูกค้าหรืออาจเสนอตัวเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาให้แก่ลูกค้า วิธีการนี้คือการสร้างคอนเทนต์คุณค่า (Value Content) ที่มีเนื้อหาตอบโจทย์การสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ครับ

2 วิธีการดึงดูดใจให้ลูกค้าหันมาให้ความสนใจในแบรนด์โดยไม่ต้องพึ่งพา Viral

1. เสาะหาว่าลูกค้าของคุณต้องการอะไรหรือมีปัญหาอะไรเพื่อให้ได้ข้อมูลทางตรงที่แม่นยำ

วิธีการที่จะทำให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้ดีที่สุดก็คือการรู้ความต้องการของลูกค้าครับว่าพวกเขาต้องการอะไรหรือมีปัญหาอะไรที่คุณพอจะช่วยเหลือหรือสินค้าของคุณสามารถตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้ไหม วิธีการที่จะทำให้คุณได้ข้อมูลเหล่านี้มีด้วยกันหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนที่มีปัญหาในเรื่องต่าง ๆแล้วเก็บข้อมูลปัญหาที่มีคนพูดถึงซ้ำ ๆกันหรือคุณอาจใช้วิธีการตั้งคำถามโดยตรงหรือสอบถามความคิดเห็นของพวกเขาเพื่อเก็บข้อมูล วิธีเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณเรียนรู้ถึงปัญหาและความต้องการของลูกค้าโดยตรง

2. เน้นการตอบคำถามและอธิบายเกี่ยวกับสินค้าของคุณให้ลูกค้าเข้าใจ

วิธีการที่แสนง่ายแต่หลายแบรนด์กลับมองข้ามไปนั่นก็คือการตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณเมื่อลูกค้าตั้งคำถามเข้ามา ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการของแบรนด์ได้ง่าย ในส่วนนี้ก็คือการให้บริการทั้งบริการก่อนการขาย บริการระหว่างการขายและบริการหลังการขาย ซึ่งบริการเหล่านี้นอกจากจะทำให้ลูกค้าเข้าถึงแบรนด์ของคุณก็ยังเป็นการสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าของคุณด้วยเช่นกัน

ที่สุดแล้วในยุคต่อไปของการทำการตลาดโดยเฉพาะการทำการตลาดออนไลน์นั้น การสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) โดยอาศัยการสร้างคอนเทนต์คุณค่า (Value Content) ที่จะช่วยตอบปัญหาและเสนอทางแก้ไขปัญหาให้แก่ลูกค้าจะเป็นวิธีการทำการตลาดที่ได้ผลและยั่งยืนมากที่สุด นอกจากนี้การให้บริการที่ดีและสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าทั้งก่อน-ระหว่างและหลังการขายจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเสริมที่จะทำให้แบรนด์ของคุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาวมากกว่าการทำการตลาดแบบฉาบฉวยอย่างการทำ Viral ครับ

บริการอบรม ให้คำปรึกษา Digital Marketing & Brand Storytelling ทั้งแบบรูปแบบองค์กร กลุ่ม และ ตัวต่อตัวเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์