เช้าวันหนึ่งครับ ขณะที่ผมไปส่งลูกที่โรงเรียนอนุบาล ใน ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน ปกติผมจะทานอาหารที่โรงอาหารบ้าง หรือ ร้านอาหารในตึกจอดรถบ้าง

ร้านค้าประจำเป็นอาหารเกี่ยวกับสุขภาพครับ ทานบ่อย อร่อยด้วย วันนั้นผมเห็นขวดน้ำอะไรสักอย่าง สีม่วง ๆ มีรูปผู้หญิงสวมหมวก ใจผมก็คิด เออนี่มันน้ำอะไร เก๋หวะ… ผมก็ซื้อมาทาน 1 ขวดครับ บอกเลย เปรี้ยว หวาน มีความกลมกล่อมในตัวมันเองครับ

มีโอกาสได้คุยเจ้าหน้าที่ร้าน ว่าเจ้าของน้ำนี่เป็นใครเล็กน้อยครับ บอกเลยตอนนั้นผมก็คิดว่าจะทำอย่างไรได้รู้จัก เจ้าของน้ำนี้นะ น่าสนใจไอเดีย และ การนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้มาก รวมถึงการออกแบบแพ็คเก็ตได้ดึงดูดมากครับ

และแล้วโลกออนไลน์ก็ทำให้ผมได้มีโอกาสได้รู้จักครับ ผ่านทางเพื่อนของผมใน Facebook

คุณหลิน เจ้าของธุรกิจนี้ น้ำมังคุด ในนามของ มาดามมังคุด (Madame Mangouste) ได้มีโอกาสมาแบ่งปันประสบการณ์การทำธุรกิจที่เขายึดในแบบที่เรียกว่า “ทฤษฏี มันต้องคู่กับปฏิบัติ”

นี่เป็นอีก 1 ประสบการณ์ นอกรั้วมหาลัย ที่พวกเราจะได้เรียนรู้จาก อาจารย์นอกรั้วมหาลัยเช่นกันครับ

 คุณหลินแนะนำตัวกับเพื่อน ๆ เถ้าแก่ใหม่หน่อยครับ

ชื่อหลินค่ะ ปิยาณี อรรควุฒิวาณิชย์ ปัจจุบันกาลังศึกษา ปริญญาเอก อยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ด้าน Supply chain management สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค่ะ อาชีพปัจจุบัน ก็เป็นอาจารย์สอน part-time ไปด้วย แล้วก็เริ่มเข้ามาทำธุรกิจ น้ำมังคุดสด 100% ตรา Madame Mangouste เป็นของตัวเองอย่างจริงจัง

ว้าว !! จบ ดร. แล้วเริ่มงานอื่นมาก่อนไหมหรือทำธุรกิจเลยครับ

เราก็จบการศึกษา แล้วก็เข้าทางาน เป็นพนักงานออฟฟิศ ตามบริษัทเอกชนทั่วไป ทำประมาณ 2 ปี จนมาจุดที่เรารู้สึกว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อรับฟังคำสั่งของใคร จึงทำให้เริ่มออกตามหาความฝันค่ะ จนได้มาเรียนปริญญาเอก ก็รู้สึกว่าเราชอบการสอนในระดับนึง แต่มันติดอยู่ตรงที่ว่าเรารู้สึกไม่เต็ม เวลาเราอธิบายลูกศิษย์ แล้วมีแต่ทฤษฎีไปสอนเขา เราจึงเริ่มเสาะหาตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง

ทฤษฏีต้องได้รับการพิสูจน์โดยการลงมือปฏิบัติ

ตามที่บอกไป การที่เราจะเป็นอาจารย์ของใครได้ซักคน

เราควรจะรู้จริงทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ หลินจึงเริ่มต้นทาธุรกิจ เริ่มจาก 0 เลย

ทั้งจดทะเบียนบริษัท จดเครื่องหมายการค้า ทุกอย่างเราทาเองหมด ถึงขนาดเคยยกเครื่องปริ้นเตอร์ ไปนั่งปริ้นเอกสารใหม่ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็เคยทามาแล้วค่ะ จุดเปลี่ยนคือจริงๆแล้ว เรามองเห็นภาพของเราในอนาคตอย่างชัดเจนในอีก 10 ปีข้างหน้า ว่าเราอยากทาอะไร แล้วเราก็เดินตามภาพนั้น ซึ่ง

หลินอยากเป็นอาจารย์ที่ตอบคาถามลูกศิษย์ได้ทั้งในภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ หลินก็ลงมือทำธุรกิจเลย

จุดเริ่มต้น มาดาม มังคุด คืออะไร

ตอนเริ่มต้น เป็นอะไรที่ยากมาก .. ทุกๆอย่าง ยิ่งทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับมังคุด เป็นน้ำมังคุดตรา Madame Mangouste เพราะอากงของหลินมีสวนอยู่แล้ว เราเลยเริ่มจากอะไรที่ใกล้ๆตัวก่อน อยากบอกว่าไม่ง่ายเลย กว่าจะมาถึงจุดนี้ ด้วยความที่ คนไทยชอบคิดว่า ตัวเองมีผลไม้สดทาน แล้วจะทานน้ำมังคุดทำไม ยิ่งภาพลักษณ์ของน้ำมังคุดก็ยิ่งดูเชย สิ่งที่หลินทำก็คือว่า

เปลี่ยนการเล่าเรื่องใหม่

ในเมื่อ มังคุด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันเองอยู่แล้ว และหาได้เฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นราชินีของผลไม้ทั้งปวง

หลินจึงเริ่มหาความคิด ตกตะกอน concept ของผลิตภัณฑ์ ออกแบบรสชาติที่ยังผสมเปลือกมังคุด ซึ่งประโยชน์จริงๆมันอยู่ตรงนั้น แล้วยังดื่มง่าย ดื่มได้ทุกวัน ดึงลงไปจนถึงการออกแบบแพคเกจจิ้ง ให้ดูเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ทำยังไง ให้ผลไม้ชนิดนี้ถูกยกระดับ เป็นความภูมิใจของประเทศเรา เป็นเครื่องดื่มที่มีความเป็นเอกลักษณ์

และที่สำคัญ คุณค่าของมังคุดจะต้องถูกส่งต่อให้ผู้บริโภคได้ทั้งปี ไม่ต้องรอกินเฉพาะฤดู และทิ้งๆขว้างๆ เวลาผลไม้ภาคตะวันออกมันออกมาเยอะ นั่นก็คือที่มาของ Madame Mangouste ค่ะ

กำแพงอุปสรรค์คือ “หัวใจ” ที่ไม่กล้าก้าวออกจาก “ความสบาย”

สำหรับหลิน หลินคิดว่าอุปสรรค หรือ

ปัญหาที่สำคัญนี่คือใจของตัวเองนี่แหละ

ทุกอย่างในการทำธุรกิจเป็นเรื่องใหม่หมด บริษัทก็ใหม่ บุคลากรก็ยังไม่มี ต้องไปติดต่อกับองค์กรมากมาย ต้องให้คนในครอบครัวช่วย แต่เรา ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจ ต้องเป็นคนคิดทุกอย่าง ผลักดันทุกอย่างให้เกิดขึ้น ว่าจะให้มันออกมาในรูปแบบไหน เจออุปสรรคเยอะค่ะ เคยถึงจุดที่ว่า ไม่เอาแล้ว ยากอ่ะ อะไรก็ติดขัดไปหมด ซึ่งหลินคิดว่าทุกคนที่เคยทำธุรกิจมาต้องเคยเจอแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้ผ่านมาได้ คือพลังแห่งการคิดบวก ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเฟลนาน

อาจจะเป็นเพราะการเรียนปริญญาเอกด้วย ที่ทำให้เราล้มลุกคลุกคลานมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ได้เรียนรู้ว่าต้องรีบลุกขึ้นมา เพราะมีเราคนเดียวเท่านั้น ที่จะพาตัวเราผ่านจุดนั้นมาได้

ผลิตแล้ว “ขายไม่ได้” เรื่อง “ธรรมดา” แต่คนที่กล้าเท่านั้นจะผ่านมันไปได้

วิกฤตเหรอคะ (หัวเราะ) ง่ายมากค่ะ ผลิตน้ำมังคุดออกมาแล้วขายไม่ได้ไงคะ หลังจากที่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงช่วยซื้อกันไปหมดแล้ว หลังจากนั้นนิ่งเลยค่ะ ไปไม่ถูก ใครจะกิน Madame Mangouste แล้วที่เหลือนี่ต้องทายังไง ผลิตมาซะเยอะเลย ซัพพลายอื่นๆก็เหลือเยอะ แถมในตลาดมีเครื่องดื่มอื่นๆเต็มไปหมด รายใหญ่เยอะแยะ ราคาของเราก็สูง ดื่มขวดนึงก็ทานข้าวได้มื้อนึงแล้ว ใครจะซื้อ ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คิด จุดนี้แหละค่ะเป็นจุดเริ่มธุรกิจจริงๆของเรา สิ่งที่หลินทาคือ นำน้ำมังคุดเข้าตลาดไปให้ได้มากที่สุดก่อน สำรวจตลาด ไม่ใช่แล้วเปลี่ยน พอเริ่มหาลูกค้าเจอ 1 ราย 2 ราย ก็เริ่มตั้งสมมติฐานต่อไปว่างั้นคนประเภทนี้แหละที่จะดื่มเครื่องดื่มของเรา เขาขาดอะไร แล้วของของเราตอบสนองอะไรให้เขา มีสินค้าของเราแล้วชีวิตเขาจะดีขึ้นยังไง

ปรับเปลี่ยน BUSINESS MODEL ไปเรื่อยๆ เริ่มทำการตลาดในจุดที่ใช่ จนจุดที่เรียกว่าเราประสบความสำเร็จคือจุดที่เค้าดื่มแล้วได้ผล แล้วมาซื้อของเราซ้ำ

ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ ตอบรับ การมาของ มาดามมังคุด

ตอนนี้ Madame Mangouste มีจาหน่ายอยู่ตามร้านอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เกือบทั่ว กทม ค่ะ ถ้าใน Supermarket ก็ UFM Fuji super เพราะชาวต่างชาติเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เขาก็ชอบดื่ม เขาว่าดื่มต่อเนื่อง แล้วผิวของเขาชุ่มชื้นขึ้น รสชาติก็เป็นเอกลักษณ์บ้านเขาไม่มี ต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ๆก็มีแล้ว ที่เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น ภูเก็ต สุราษฎ์ธานี และเรากาลังขยายช่องทางจาหน่ายอยู่ค่ะ กลุ่มลูกค้าส่วนมากคือกลุ่มคนรักสุขภาพ เขามองเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มได้เรื่อยๆ สบายใจ มีรสชาติไม่เหมือนใคร ดื่มแล้วไม่อ้วนขึ้น เพราะเราไม่ใส่น้ำตาลเลย เป็นเนื้อมังคุดเพียวๆจากสวน ทานเป็นน้าผลไม้ตอนเช้าก็ได้ หรือเหนื่อยๆจากออกกาลังกายมา แช่

ฟรีซไว้แล้วดื่มก็สดชื่น มีคอลลาเจนร่วม ทางานกับวิตามินซีในขวดด้วย ผิวเขาก็ค่อยๆดีขึ้น ผู้หญิงชอบค่ะ เกือบทุกวัย ตอนนี้ก็ติดตามได้ที่

www.madamemangouste.com

Facebook.com/madamemangouste

Instagram : @madamemangouste

Official Line Account : @madamemangouste ค่ะ

ต้นแบบที่ดี คือที่มาของ “ความสำเร็จ”

สำหรับหลิน หลินคิดว่าการไม่เอาเปรียบผู้บริโภคค่ะ เพราะตั้งแต่เด็ก

หลินเห็นอากงทำสวนมา เขามีความตั้งใจที่จะปลูกมังคุด ดูแลตั้งแต่ราก ขึ้นมาเป็นต้น ออกกิ่งออกใบ กว่าจะเก็บแต่ละลูกก้อประณีต อยากจะส่งต่อให้ผู้บริโภคได้กินของอร่อยๆ

แต่คนสมัยก่อน พอไม่มีช่องทางการจาหน่ายก็ต้องไปพึ่งพ่อค้าคนกลาง ก็โดนกดราคาทาให้เป็นเหมือนมังคุดสวนอื่นๆทั่วไป พอมาสู่ยุคหลาน เราก็ยังยึดปรัชญานี้อยู่ ถูกปลูกฝังมาจากอากง จะดีแล้วก็ต้องดีให้สุด ในเมื่อผู้บริโภคมีกาลังที่จะซื้อ เราก็ไม่ควรไปเอาเปรียบเขา ให้เขาได้ของดีจริงๆ แล้วก็กลับมาซื้อที่เรา ซึ่งหลินคิดว่าปรัชญานี้มันสำคัญมาก แล้วก็เป็นจุดที่ทำให้ธุรกิจเรายั่งยืนด้วยค่ะ

ถนัดอะไรให้เขาทำอย่างนั้น

ตอนนี้เรายังเป็นบริษัทเล็กมากอยู่ค่ะ วิธีบริหารงานให้มีประสิทธิภาพ ส่งประสิทธิผลมากที่สุดก็คือ เราคอยสังเกตค่ะ ว่าแต่ละคนมีบุคลิกยังไง ใครถนัดอะไร จุดไหนคนไหนทำได้ดี ยกตัวอย่างเราเก่งเรื่องรูป เรื่องเขียน พอมีศิลปะอยู่บ้าง เราก็ปรับมุมมองของรูป ทามาเกตติ้งคอนเท้น ในมุมที่เราอยากนาเสนอ อย่างรูปและเรื่องราวในสื่อออนไลน์ทั้งหมด นี่หลินทาคนเดียว ส่วนคนที่มีทักษะงานเจรจา เราก็ให้เขาออกตลาด พบลูกค้า คนที่สามารถเพิ่มมูลค้าให้สินค้าได้ ชอบตกแต่ง ก็ให้ดูแลกระเช้า Madame Mangouste ซึ่งจริงๆแล้วจะถือว่าเป็นอีกไลน์ผลิตภัณฑ์ของเราเลยก็ได้ ด้วยความที่แพคเกจดูทันสมัย ข้างในอร่อย และมีประโยชน์ เราก็เลยมองว่าสามารถให้ Madame Mangouste เป็นตัวแทนดูแล บุคคลสำคัญ ในงานเทศกาล งานพิธีต่างๆได้คะ

ทำธุรกิจแบบรากหญ้า เข้าถึงหัวใจของพนักงานและลูกค้า

“รากหญ้า Marketing” เพิ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก ถึงกับต้องไป google กันเลยทีเดียว ถ้าตามคำจำกัดความของ www.taokaemai.lnw.mn แล้ว ต้องบอกได้ว่า Madame Mangouste เน้นการพัฒนาบุคลากรในบริษัทเรา พัฒนาความสัมพันธ์กับคู่ค้า และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อย่างทุกคนที่ทำงานกับ Madame Mangouste วันแรกที่ทำ ทำไม่ดี ทำไม่เป็นไม่เป็นไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะต้องมีพัฒนาการ ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง คุณจะไม่ทำงานซ้าๆด้วยเป้าหมายเดิมอีกแล้ว แต่จะเน้นเขยิบทีละนิด วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับคู่ค้า หลินมองว่าในเมื่อต้นน้ำเราดีแล้ว คู่ค้าของเราจะต้องเป็นเพื่อนค่ะ ไม่ใช่คู่ธุรกิจที่ผลประโยชน์ลงตัวแล้วจบ อย่างตอนที่เราไปออกบูธ เราก็ช่วยเขาขาย ไม่ได้เน้นขายของๆเราอย่างเดียว

ถ้าอุตสาหกรรมวันนี้มันจะไปรอด ก็ต้องรอดกันทั้ง CHAIN ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง

ส่วนลูกค้า ไม่จำเป็นต้องทานของเราอย่างเดียวนะ ทานของคนอื่นแล้ว Tag เรามาก็ได้ เน้นเป็นเพื่อนกันให้หมดทั้งวงการ มีอะไรดีๆก็แบ่งปัน เป็นห่วงกัน ไม่น่าเชื่อว่าด้วยหลักการคิดวิธีนี้ Madame Mangouste ทำให้หลินได้

รู้จักคนดีๆ คนใหม่ๆ อีกเยอะมาก วันหลังจะทำอะไรก็มีคนให้ถาม มี connection เพิ่มมากมาย

ไม่ต้องไปหาเองตั้งแต่ต้น นี่แหละคะ power ของ value chain ที่แท้จริง ดีตั้งแต่ต้นน้าจนถึงปลายน้ำ

เดินหน้าเล่าเรื่องราว ต่อยอดธุรกิจ ส่งออกต่างประเทศ

แผนในอนาคตสาหรับตลาดในประเทศ เราก็มองอยู่ว่าเราอาจจะเปิด Showcase ของ Madame Mangouste ค่ะ เป็นคล้าย the living exhibition เล็กๆ ที่มีเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของเรา มีสินค้าของเราขาย มีการทดลอง by products ของ Madame Mangouste ตัวอื่นๆ ภายใต้แบรนด์นี้ แล้วก็มองตลาดต่างประเทศไว้ด้วยค่ะ ช่วงนี้เราก็พยายามออกบูธ ร่วมกิจกรรมกับกรมส่งเสริมการส่งออก ก็มีความตั้งใจไว้ว่าจะพยายามยกระดับมังคุดไทยของเรา เข้าสู่เวทีต่างชาติ ให้ประเทศอื่นๆเขารู้จักให้ดีกว่านี้ และเห็นประโยชน์ของมังคุดจริงๆ เหมือนกับที่ มะพร้าว เค้าทาสำเร็จมาแล้วค่ะ

หาช่องว่างของธุรกิจให้เจอ แล้วลงมือทำ

สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มในตอนนี้ หลินมองว่ามันมาเร็วไปเร็วมากค่ะ product life cycle มันค่อนข้างสั้น ถ้าไม่ได้มีประโยชน์จริงๆ มีเจ้าใหญ่ในตลาดเยอะ ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้า แต่หลินมองว่า สิ่งที่คนยังขาดและถือเป็นโอกาสคือเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีแล้ว เช่นพวกน้าผลไม้สกัดเย็น แต่ราคายังค่อนข้างสูง หรือพวกสมุนไพรไทยนี่แหละค่ะ ที่ยังไม่มีคนนามาพัฒนา มะม่วงหาวมะนาวโห่ ก็ใช่ ประโยชน์เทียบเท่าผลไม้ตระกูลเบอรี่ แต่รสชาติมันฝาด และความรู้สึกของคนไทยคือ มันพื้นๆ ทานเมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยความคิดนี้แหละทาให้เราพลาดของดีของไทยเรามานักต่อนักแล้ว พอฝรั่งรู้เข้าก็เข้ามาจับจองหมด แล้วสุดท้ายเราก็บริโภคของไทยเราภายใต้ชื่อแปลกๆที่เขาตั้งมา ดังนั้นจึงเป็นโจทย์ของผู้ประกอบการไทยเลย โดยเฉพาะรุ่นใหม่ ของดีเรามีเยอะ ประเทศเรา

เป็นครัวของโลก ซึ่งถ้าพวกเรารุ่นใหม่ทาได้ ทาให้ทานสมุนไพร หรือดื่มสมุนไพรไทยแล้วรู้สึกอินเทรนด์ อุตสาหกรรมเครื่องดื่มนี้จะยังโตได้อีกมากเลยคะ

ช่องทางติดต่อ

ติดต่อทาง email ได้ที่ [email protected] ค่ะ หรือจะโทรมาก็ได้ สายตรง Madame Mangouste ยินดีให้บริการค่ะ เบอร์โทร 099-453-6563

www.madamemangouste.com

Facebook.com/madamemangouste

Instagram : @madamemangouste

Official Line Account : @madamemangouste

เถ้าแก่ใหม่รีวิว

เรียนสูงเป็นแค่เสือกระดาษรู้แค่ในตำรา ทำจริงก็วิ่งหนีทุกราย…

คงมีใครบางคนคิดแบบนี้

แต่สำหรับ “เถ้าแก่หลิน” เธอได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วครับว่า

การนำความรู้ มานำทาง ปฏิบัติ ย่อมได้ผลดีกว่าเรามั่วทำไปโดยไม่รู้อะไรเลย

“ความรู้” เป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ และใช้ชีวิตครับ

หากเราไม่รู้ โอกาสเราก็จะน้อยลง

หากเราไม่รู้ เราก็จะพลาดได้มากขึ้น

ลงมือทำไปคู่กันครับ ทั้งทฤษฏี และ ปฏิบัติ

แล้วระยะเวลาความสำเร็จเรามันจะ “สั้นลง”