จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์เกิดในปี 1839 ที่ฟาร์มเล็กๆ ในนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา มีพ่อเป็นนักการค้าหัวใสที่มีชื่อเสียงไม่ค่อยจะดีนัก

ภายหลังสงครามกลางเมือง และการเสียชีวิตของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอน หนึ่งในรัฐบุรุษของอเมริกา ในปี 1865 ส่งผลให้อเมริกาได้เข้าสู่สุญญากาศทางการเมือง และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นกลุ่มผู้บุกเบิกธุรกิจในด้านต่างๆ กลุ่มบุคคลเหล่านี้ถือได้ว่ามีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ และได้กลายเป็นผู้ที่มีส่วนอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนให้อเมริกาก้าวมาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกเหนือชาติอื่นๆ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และหนึ่งในนั้นก็คือ

“จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์” ราชาแห่งธุรกิจน้ำมัน

 

กำเนิด และชีวิตในวัยเด็ก

จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์เกิดในปี 1839 ที่ฟาร์มเล็กๆ ในนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา มีพ่อเป็นนักการค้าหัวใสที่มีชื่อเสียงไม่ค่อยจะดีนัก (ถ้าจะเรียกให้ถูก ก็คือ “นักต้มตุ๋น” นั่นเอง) อย่างไรก็ตามเขายังคงได้รับการปลูกฝังแต่สิ่งที่ดีๆอยู่เสมอ จากผู้เป็นแม่ที่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายแบ๊บติสอย่างเคร่งครัด

ในปี 1853 ครอบครัวของร็อกกี้เฟลเลอร์ได้ย้ายไปยังเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ และที่นี่เองที่ทำให้เขาได้เรียนรู้การหาเงินตั้งแต่เด็ก โดยการขายก้อนหินระบายสีให้เพื่อนๆ ทำให้เขาเก็บสะสมเงินได้ 50 ดอลลาร์ จากนั้นเขาได้นำเงินไปปล่อยกู้ให้แก่เพื่อนบ้าน โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี และนั่นเองที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า “เงินสามารถสร้างเงิน” ได้

จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ ตอนที่ยังเป็นเด็ก มีทักษะในการคำนวณที่ดีมาก และยังชอบจดบันทึกผลประโยชน์ต่างๆ ที่เขาได้รับในแต่ละวันอยู่เสมอ ซึ่งทักษะและนิสัยดังกล่าว ได้มีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างมากในภายหลัง

เข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน

ในปี 1855 ร็อกกี้เฟลเลอร์ อายุได้ 16 ปี ได้เริ่มทำงานครั้งแรกที่บริษัท ฮีวิทท์ ทัทเทิล ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าขายพืชผักและเมล็ด ในตำแหน่งผู้ช่วยพนักงานบัญชี ซึ่งเขาก็ทำงานอย่างขยันขันแข็งจนเป็นที่ประทับใจนายจ้าง จนได้รับเลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่การเงินและพนักงานบัญชีในที่สุด และจากนิสัยการทำงานหนักนี้เอง ที่ทำให้ลูกหลานของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ รวมถึงชาวอเมริกันหลายคนได้ยึดถือเอาเป็นแบบอย่างในการทำงาน

เริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง

ในปี 1859 เขาได้ตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจแรกของตัวเองเกี่ยวกับอาหาร (ตัวแทนจำหน่ายเมล็ดข้าว ฟาง เนื้อสัตว์ และสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ) ร่วมกับ มัวร์ส คล้าก ชื่อบริษัท คล้าก แอนด์ร็อกกี้เฟลเลอร์ หลักจากธุรกิจเริ่มดำเนินไปด้วยดี เขาจึงเริ่มมองเห็นโอกาสในการเข้าสู่ธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมัน

อย่างไรก็ตามในภายหลังร็อกกี้เฟลเลอร์กับคล้ากได้มีความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องการทำธุรกิจ จึงทำให้ร็อกกี้เฟลเลอร์ได้หันไปตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับ แซมมวล แอนดรูส์ และเฮนรี่ แฟล็กเลอร์ ชื่อบริษัทว่า ร็อกกี้เฟลเลอร์ แอนดรูส์ แอนด์แฟล็กเลอร์ และได้เข้าสู่ธุรกิจน้ำมันอย่างเต็มตัว

ราชาแห่งธุรกิจน้ำมัน และบุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1870 ร็อกกี้เฟลเลอร์และหุ้นส่วนได้ก่อตั้งบริษัท  สแตนดาร์ด ออยล์ ขึ้น โดยเขามีความคิดที่จะควบรวมธุรกิจน้ำมันรายย่อยต่างๆเข้าด้วยกัน ประกอบกับแซมมวล แอนดรูส์ (หุ้นส่วนของเขา) ได้ค้นพบวิธีการกลั่นน้ำมันที่ใช้ต้นทุนต่ำ จึงทำให้บริษัทมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และจากการที่บริษัทมีการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดสแตนดาร์ด ออยล์ ก็สามารถควบคุมธุรกิจน้ำมันได้เกือบ 90% ของประเทศ ซึ่ง

“การขยายกิจการบริษัท และการผูกขาดทางธุรกิจ” นี้เองที่ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ร็อกกี้เฟลเลอร์ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ

 

อย่างไรก็ตามในปี 1911 บริษัท  สแตนดาร์ด ออยล์  ได้ถูกฟ้องว่าละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาดและกีดกันทางการค้า  โดยศาลตัดสินให้ทำการแยกบริษัทออกเป็นบริษัทย่อยกว่า 30 บริษัท ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ExxonMobil, Chevron, BP ต่างก็มีต้นกำเนิดมาจากการแยกตัวของสแตนดาร์ด ออยล์ ในครั้งนั้น

จนถึงตรงนี้ใครหลายคนคงจะคิดว่าร็อกกี้เฟลเลอร์ได้กลายเป็นผู้พ่ายแพ้ไปเสียแล้ว แต่เปล่าเลย! เขายังคงขยายกิจการธุรกิจของเขาไปยังต่างประเทศ และได้กลายเป็นผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ทรัพย์สินของเขาถูกประเมินว่ามีมากกว่า 10 ล้านล้านบาท ซึ่งถือได้ว่า จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลกยุกใหม่เลยทีเดียว

หลักคิด และทัศนคติในการใช้ชีวิต

ในแง่ของการทำธุรกิจ ถือได้ว่า จอห์น ดี. ร็อกเกอร์เฟลเลอร์ คือบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนนึงของโลก ทั้งนี้ในแง่ของหลักการใช้ชีวิต และทัศนคติของเขาก็ถือว่ามีความน่าสนใจเช่นกัน

ร็อกกี้เฟลเลอร์เป็นคนที่ปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด เขาไม่ดื่นเหล้า ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนี้เขายังชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย และเป็นคนที่ประหยัดมาก

(จนแทบจะเรียกได้ว่าขี้เหนียวเลยทีเดียว) เขาไม่สนใจชีวิตที่หรูหรา เนื่องจากเขาให้ความสำคัญกับคุณค่าแท้ ไม่ใช่คุณค่าเทียม

 

บทเรียนชีวิตครั้งสำคัญ จากนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ สู่การเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง

ด้วยนิสัยที่ชอบทำงานหนัก จริงจัง เคร่งเครียดตลอดเวลา และไร้ซึ่งอารมณ์ขัน ทำให้ร็อกกี้เฟลเลอร์ในวัย 53 ปี  ได้ล้มป่วยหนัก และนั่นเองที่ทำให้เขาได้ตระหนักถึงสิ่งที่ไม่เคยได้ให้ความสนใจมาก่อน นั่นคือ สมดุลแห่งชีวิต

ธุรกิจใหญ่โตแล้วยังไง? มีเงินมากแล้วยังไง? มันไม่สามารถแลกกับสุขภาพ และความสุขที่แท้จริงได้เลย

นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้จอห์น ดี. ร็อกเกอร์เฟลเลอร์ ผู้ที่ถูกสังคมมองว่าเป็นนักธุรกิจหน้าเลือด ได้ผันตัวมาเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง

ในวัย 57 ปี ร็อกกี้เฟลเลอร์ได้เกษียณตัวเองจากการเป็นผู้บริหารบริษัท  สแตนดาร์ด ออยล์ แล้วให้ผู้อื่นบริหารแทน เขายังได้จัดตั้งมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ขึ้นเพื่อให้การช่วยเหลือด้านการกุศล ไม่ว่าจะเป็น ด้านการศึกษา การแพทย์ วิทยาศาสตร์ และกิจกรรมการกุศลต่างๆ อีกมากมาย ฯลฯ โดยปัจจุบันมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ได้มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก ซึ่งการแพทย์แผนตะวันตกที่เข้าสู่ประเทศไทย ก็เกิดจากความช่วยเหลือของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์นั่นเอง

จากคนใกล้ตายในวัย 53 ปี เมื่อเปลี่ยนความคิด และอุทิศชีวิตด้วยการเป็นผู้ให้ กลับทำให้ชีวิตของจอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ยืนยาวอย่างน่าประหลาด โดยเขาได้เสียชีวิตอย่างสงบในปี 1937 เมื่ออายุ 97 ปี เรื่องราวของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจและเป็นต้นแบบให้แก่คนรุ่นหลัง ทั้งในด้านการทำงาน การใช้ชีวิต และการรู้จักแบ่งปัน เราจะเห็นได้ว่าเศรษฐีในปัจจุบันหลายคน เช่น บิลล์ เกตส์, วอร์เรน บัพเฟต, มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เป็นต้น ที่นอกจากจะร่ำรวยมหาศาลแล้ว ก็ยังเป็นผู้ให้ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย

 

หลายคนอาจคิดว่า เงินจะเป็นสิ่งที่สามารถเติมเต็มทุกสิ่งทุกอย่างให้กับชีวิตได้ แต่เราคงจะได้เห็นบทเรียนจากชีวิตของจอห์น ดี. ร็อกเกอร์เฟลเลอร์แล้วนะครับ ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป

 

ความต้องการที่ไม่สิ้นสุด จะนำมาซึ่งความรู้สึกที่ขาดแคลนอยู่เสมอ

แต่ด้วยการให้ กลับทำให้เรารู้สึกเติมเต็ม

สิ่งที่ใครหลายคนเฝ้าตามหาอยู่ อาจไม่ใช่การได้รับ

แต่เป็นการได้ให้อะไรบางอย่างแก่โลกใบนี้ก็เป็นได้

บทความโดย

ผู้ผ่านรับการฝึกอบรม “ใช้เวลาว่างเขียนบทความสร้างรายได้”

คุณ  เอกภพ เด่นดวง

วิศวกรสิ่งแวดล้อม, เทรดเดอร์อิสระ